ตอนที่ 24 สัปดาห์ที่ 11 อาคิยามะ เออิชิ (1)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ฟู่…ฟู่…ฟู่…

           ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาตี 5 ครึ่งเห็นจะได้ ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเริ่มสว่างแล้ว ทิวทัศน์สภาพแวดล้อมรอบตัวก็สว่างมากพอที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟ

           ผมวิ่งออกกำลังกายเบาๆ ก้าวหลบแอ่งน้ำฝนที่ขังอยู่บนพื้น ช่วงนี้ฝนเริ่มตกถี่มากขึ้น แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นช่วงบ่ายไปจนถึงค่ำ บางคืนเองก็ตกบ้างอย่างเช่นเมื่อคืน

           เพราะสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ต้องมาค้างที่บ้านรุ่นพี่นาคาจิมะเนื่องจากมีภารกิจตามสตอกเกอร์โอโตเมะ อามายะ ในช่วงที่เธอกลับบ้าน

           เพราะทำงานอยู่ในสภานักเรียน ทำให้เธอมักจะกลับบ้านช้ากว่านักเรียนคนอื่นๆ ประกอบกับเป็นหนึ่งในผู้ประสานงานสำหรับงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนของโรงเรียนทำให้เธอมีงานยุ่งกว่าปกติ

           โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะเป็นหนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตภูมิภาคนี้ ในโรงเรียนมีนักเรียนที่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมากมาย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งเสือซุ่มมังกรซ่อนจูเนียร์ของแท้

           และในงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนครั้งนี้ตัวแทนจากโรงเรียนฮิบิยะก็ถูกจับตามองไม่น้อยไปกว่าตัวแทนจากโรงเรียนดนตรีหรือตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เลย

           ผมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้รับบัตรเข้างานมาแบบฟรีๆ จึงต้องมาทำงานใช้หนี้ในภารกิจครั้งนี้นั่นเอง

ฟู่…..

           “กลับมาแล้วครับ” 

           “เออิชิรีบไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวได้แล้วลูก เดี๋ยวจะไปสายเอา ฝากปลุกเจ้าทานากะมันด้วยนะ” 

           เสียงแม่ของรุ่นพี่นาคาจิมะตอบรับกลับมาจากห้องครัว ผมตอบครับ กลับไปเบาๆ ก่อนเดินไปปลุกรุ่นพี่แล้วเข้าห้องน้ำอาบน้ำ

           ที่บ้านของรุ่นพี่นั้นจะตื่นกันค่อนข้างเช้า แม่ของรุ่นพี่เป็นคนแรกที่ตื่นก่อน เธอจะลุกขึ้นมาดูแลจัดการข้าวปลาอาหารของทุกคนให้พร้อมก่อนเวลา 6 โมงเช้าเสมอ คนต่อมาคือพ่อของรุ่นพี่ที่มักจะตื่นตอน 6 โมงเช้า แล้วลงมาทานกาแฟก่อน จากนั้นจึงเข้าห้องน้ำหลังจากรุ่นพี่นาคาจิมะอาบน้ำเสร็จ แต่ตอนนี้มีผมมาอยู่ด้วย ผมจึงต้องตื่นไวกว่าปกติและจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยก่อนคนอื่นเพื่อไม่ให้เจ้าของบ้านเสียความเคยชิน

           หลังจากถูกแม่รุ่นพี่นาคาจิมะยัดข้าวกล่องมาให้คนละกล่องกับรุ่นพี่ เราทั้งสองคนก็ออกเดินทางไปโรงเรียนกัน หนทางอันยาวไกลที่ใช้เวลานับชั่วโมงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งซึ่งถ้านับกันจริงๆ นี่ก็เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมเดินทางไปโรงเรียนโดยออกจากบ้านรุ่นพี่ บอกได้เลยว่ายังไม่ชินเสียทีเดียว

           “นายตื่นมาทำอะไรแต่เข้าฮึ มารุ?” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะถามผมในขณะที่ตัวเองกำลังปิดปากหาว เสียงเลยออกจากอู้อี้ไปบ้าง แต่ก็พอจะฟังรู้เรื่อง

           “วิ่งครับ” 

           “วิ่ง? นายยังวิ่งไม่พออีกหรอ เมื่อวานเราก็เล่นบาสถึงค่ำกันเลยนะ” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แต่ผมไม่ติดใจอะไรนัก ตั้งแต่รู้จักรุ่นพี่มาผมก็พอจะรู้แล้วว่ารุ่นพี่เขามีแนวความคิดบางอย่างที่ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้าน อ๊ะ…หรือว่าเป็นผมหว่าที่ไม่เหมือนชาวบ้าน

           “มันต่างกันครับ อีกอย่างผมชินกับการตื่นมาวิ่งตอนเช้าๆ น่ะ” 

           “เพราะงี้ไง นายถึงง่วงนอนตลอดเวลา” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะเชื่อมโยงการตื่นไปวิ่งตอนเช้าของผมกับการง่วงนอนบ่อยๆ เข้าด้วยกัน คิดตามด้วยเหตุด้วยผลแล้วก็เห็นว่ามีส่วนที่อาจจะจริง ผมเลยไม่ได้เถียงกลับไป และรุ่นพี่เองก็หันไปสนใจข้อความในโทรศัพท์แทนเสียแล้ว

           ท้องฟ้านอกหน้าต่างรถไฟสว่างไสวไปด้วยแสงแดดที่รู้สึกว่าจะแผดกล้าขึ้นทุกวัน ทั้งที่ยังไม่เข้าหน้าร้อนแต่ดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะแห่งนี้ก็ดูจะขยันขันแข็งทำงานซะเหลือเกิน ผมที่เป็นคนไม่ถูกกับหน้าร้อนรับไม่ค่อยจะได้

           ผมกับรุ่นพี่ลงรถไฟแล้วก็มุ่งหน้าไปยังประตูโรงเรียนต่อ เนื่องจากสถานีนี้อยู่ใกล้กับโรงเรียนอาคิรุไดจึงทำให้เห็นนักเรียนในชุดกักคุรันเดินไปเดินมาแถวนี้ค่อนข้างมาก และในตอนนี้ สายตาจากเด็กนักเรียนเหล่านั้นก็กำลังมองมาที่ผมและรุ่นพี่

           “เฮ้อออ…ไม่ชินเลยเนาะมารุ เวลามีคนมาจ้องมากๆ เนี่ย” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นพึมพำเรื่องที่ถูกคนอื่นๆ มองตาม

           “ทำไมรุ่นพี่ยังไม่ชินอีกล่ะครับ?” 

           ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาและก็ถามออกไปทันที ทำไมคนระดับราชาแห่งอาคิรุไดรุ่นปัจจุบันถึงได้ไม่ชินกับสายตาคนรอบข้าง

           “ก็มันไม่ชินอ่ะ ไม่รู้ทำไม ฮ่าๆๆๆ” 

           [‘หัวเราะร่าแบบนี้ ไม่ชินแต่ก็ไม่ได้แคร์มากมายซินะ’] 

           ผมเดินตามรุ่นพี่นาคาจิมะที่หัวเราะอารมณ์ดีเข้าประตูโรงเรียนไป ตอนนี้ผมเองก็เริ่มทำใจได้แล้วที่มีสายตาคนจ้องมองมามากๆ ถ้าไม่ใช่สายตาที่จ้องมองแบบจะเอาเป็นเอาตายก็ถือว่าทำอะไรผมไม่ได้แล้ว

           อีกอย่างหนึ่งที่ผมค้นพบหลังจากมีคนมาสนใจผมมากๆ ก็คือ เหมือนทุกคนในโรงเรียนนี้จะให้ความเกรงใจผมอยู่ไม่น้อย

           อันนี้แหละที่ผมชอบ

           โคสุเกะวิเคราะห์ให้ผมฟังว่าสาเหตุที่คนในโรงเรียนให้ความเกรงใจผมนั้นมาจากการที่ผมสนิทกับรุ่นพี่นาคาจิมะ นั่นก็หมายความว่าถ้าไม่มีรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่ ความเกรงใจนี้ก็จะหายไป แล้วอาจจะเพิ่มความลำบากใจให้ผมอีกด้วย ซึ่งผมเข้าใจดีแจ่มแจ้งเลย

           ดังนั้นแล้วพวกโคสุเกะ 3 คน จึงได้เริ่มวางแผนการป้องกันเหตุร้ายหลังไม่มีรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่ แต่ผมไม่ได้สนใจพวกเขา 3 คนนัก เพราะรุ่นพี่บอกไว้แล้วว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้ไปหารุ่นพี่ปี 2 ที่มาติดตามเขาได้ตลอดเวลา

           ผมปล่อยให้เพื่อนๆ ดำเนินการวางแผนตามจินตนาการกันไป ส่วนตัวเองนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

           โรงเรียนอาคิรุไดนั้นขึ้นชื่อเรื่องเด็กเกเรและปัญหาเด็กนักเรียนทะเลาะวิวาทกัน ผมที่ไม่เคยแม้แต่ด่าเพื่อนด้วยคำรุนแรงมาก่อนเข้าเรียนที่นี่มาได้ครึ่งเทอมแล้ว

           เป็นครึ่งเทอมที่ทั้งทุลักทุเล ทั้งสนุกสนาน จากเดิมที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความสุขกับการถูกบังคับให้มาเรียนที่นี่ แต่ตอนนี้ผมไม่คิดแบบนั้นแล้ว

           คิดแบบนั้นพร้อมกับเหลือบมองเพื่อนสนิททั้งสามที่เถียงกันเรื่องแผนความมั่นคงอะไรสักอย่างอยู่

                                                                  —

           พักเที่ยงมาถึงอย่างรวดเร็ว ผมที่เผลอหลับไประหว่างเรียนคาบละนิดคาบละหน่อยตื่นขึ้นมาในสภาพงัวเงีย มองไปทั่วห้องแล้วไม่เห็นอาจารย์ก็รู้สึกโล่งใจ นับเป็นโชคดีที่อาจารย์ของที่นี่ใจดี ถึงจะเผลอหลับไปบ้างแต่ถ้าไม่รบการสอนก็จะไม่ถูกลงโทษอะไรรุนแรง

           นี่ก็ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในโรงเรียนแห่งนี้

           หลังตื่นผมบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นไปทั้งตัว ทำเอาโมโมสุเกะที่ลากเก้าอี้มานั่งกินข้าวด้วยกันถึงกับอุทาน

           “นะ..นั่น…กระดูกนายยังดีอยู่ใช่ไหม?” 

           “กระดูกฉันแข็งแรงดีน่า” 

           ผมตอบเขาไปแล้วก็ก้มหยิบเอากล่องข้าวที่แม่ของรุ่นพี่นาคาจิมะห่อมาให้ เปิดดูข้างในก็พบว่าอัดแน่นไปด้วยข้าวและกับข้าวน่ากินหลายอย่าง

           โคสุเกะกับโมโมสุเกะหันมามองกันตาลุกวาว ไม่เว้นแม้แต่จินที่ปกติทำหน้าตายกับข้าวกลางวันของผม แต่หนนี้ทำโตขึ้นมาเชียว

           “ตอบชั้นมาตามตรงนะเออิชิ นายมีแฟนสาวสวยทำอาหารเก่งแอบซ่อนไว้ที่บ้านใช่ไหม?” 

           โคสุเกะถามผมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง เล่นเอาผมงงไม่เข้าใจคำถามเขาอยู่พักนึง…

           [‘เจ้าพวกนี้ความคิดบรรเจิดดีจริงๆ’] 

           “มันจะไปมีอะไรแบบนั้นได้ยังไง บ้านฉันมีแค่ปู่กับย่าแค่นั้น ส่วนอันนี้แม่ของรุ่นพี่นาคาจิมะทำมาให้” 

           ผมอธิบายเรื่องข้าวกล่องให้พวกเพื่อนๆ ที่เหมือนจะสนใจในข้าวกล่องของผมฟัง แต่ก็ยังไม่วายถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลง

           ผมเลิกสนใจสหายที่ชีวิตดูเหมือนจะผูกไว้กับมังงะต่อสู้หรือไม่ก็การ์ตูนเลิฟคอมมาดี้แล้วคีบอาหารตรงหน้าเข้าปาก

           รสมือของแม่รุ่นพี่นาคาจิมะยังคงให้ความรู้สึกอร่อยเหมือนเดิม แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่น ทุกครั้งที่ผมไปกินข้าวที่บ้านรุ่นพี่พร้อมกับครอบครัวของเขาผมจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นแบบที่เจออยู่ในกล่องข้าวนี้

           เป็นความอบอุ่นที่ชวนให้คิดถึงบ้าน

           เป็นความอบอุ่นที่ชวนให้คิดถึงครอบครัว

           เป็นความอบอุ่นที่ชวนให้คิดถึงเหลือเกิน…

           โมโมสุเกะเป็นคนแรกที่กินข้าวกลางวันหมดเหมือนเดิม หมอนี่กินไวมากแถมยังกินเยอะด้วย แต่น่าแปลกที่ไม่อ้วน คงเพราะอยู่ในช่วงวัยที่ระบบเผาผลาญยังทำงานดีกระมัง

           “พวกนายเอาน้ำอะไรไหม ฉันจะไปซื้อ” 

           โมโมสุกเกะลุกขึ้นและถามพวกเราที่นั่งกันอยู่ ผมส่ายหัวเพราะมีน้ำเปล่าอยู่แล้ว ส่วนโคสุเกะกับจินฝากซื้อน้ำผลไม้

           ระหว่างที่โมโมสุเกะหายออกจากห้องไป พวกเรา 3 คนที่เหลือก็กินข้าวเที่ยงของตัวเองเสร็จพอดี

           “เออิชิ นายไม่ได้แอบมีแฟนแล้วไม่บอกพวกเราหรอกใช่ไหม?” 

           โคสุเกะกับจินนั่งมองผมที่กำลังกระดกน้ำอยู่ ผมละสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้เจ้าพวกนี้คิดว่าผมมีแฟนกันนัก

           “ไม่มีหรอก ฉันเพิ่งจะถูกทิ้งมาได้แค่สองสามเดือนเองนะ ยังทำใจไม่ได้เลย นายจะให้ฉันหาแฟนใหม่แล้วเรอะ?” 

           “แล้วผู้หญิงที่นายเดินด้วยที่ห้างบันโชวเมื่อวันเสาร์ล่ะ ไม่ใช่แฟนนายหรอ?” 

           แค่กก..แค่กๆ

           คราวนี้ผมถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ หมอนี่รู้ได้ไงว่าวันเสาร์ผมไปเดินห้างกับผู้หญิง

           “นั่นรุ่นน้องของคุณคาวากุจิ คนที่ให้บัตรเข้างานเทศกาลพวกเรามา ไม่ใช่แฟนฉัน อีกอย่างฉันไม่ได้ไปกับเธอสองคน พวกรุ่นพี่ก็ไปด้วย” 

           ผมพยายามปรับลมหายใจตัวเองให้คงที่ขณะอธิบายให้โคสุเกะฟัง

           “อ่อออ…” 

           โคสุเกะลากเสียงยาว ดูท่าทางแล้วเหมือนไม่ค่อยเชื่อที่ผมพูดไปนัก จินเองก็มองผมนิ่งๆ หมอนี่อ่านอารมณ์ยากเกิน โดนมองแบบนี้ก็ชักทำตัวไม่ถูก ผมเลยต้องหาทางเบี่ยงประเด็นเล็กน้อย

           “ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าวันเสาร์ฉันไปเดินห้างมา” 

           ผมถามโคสุเกะกลับไปบ้าง จะได้ไม่เป็นฝ่ายที่ถูกถามจี้อยู่ฝ่ายเดียว

           “ฉันกับพี่เป็นคนเห็นน่ะ” 

           คนที่ตอบผมคือจินที่นั่งนิ่งมาตลอด

           “พอดีพ่อฉันไปทำธุระที่เมืองนั้น ฉันกับพี่เลยขอตามไปซื้อของที่นั่นด้วย เดินๆ อยู่ก็เห็นคนโวยวายอะไรกัน พอมองดีๆ ก็เห็นนายกับผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนทะเลาะกันอยู่ ตอนแรกฉันว่าจะเดินไปทักแต่พี่บอกว่าแฟนทะเลาะกันเราไม่ควรเข้าไปยุ่งน่ะ” 

           ฟังจินอธิบายมายืดยาว ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมผมกับโอโตเมะถึงได้กลายมาเป็นแฟนกันในความคิดของเจ้าพวกนี้ได้

           จิน…พี่นายนี่จินตนาการล้ำเลิศเกินไปแล้ว

           ผมเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ให้เพื่อนทั้งสองฟัง พอดีโมโมสุเกะกลับมาพอดีเลยร่วมฟังไปพร้อมกันเลย

           “แต่เมื่อกี้นายบอกว่าเพิ่งถูกทิ้งมา แสดงว่านายเคยมีแฟนซิ เล่าให้ฟังได้ไหม?” 

           โคสุเกะจุดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้โมโมสุเกะถึงกับหูผึ่งหันมามองผมอย่างสนอกสนใจ นี่เห็นเรื่องราวชีวิตรักผมเป็นละครหลังข่าวกันหรือไงเนี่ย

           ผมได้แต่ยิ้มอ่อนให้เพื่อนทั้งสามที่ดูจะสนใจในเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ เหมือนเหล่าเด็กสาววัยช่างฝัน ต่างกันตรงที่เพื่อนผมคนนึงตัวสูง ผมทอง มาดนักเลง คนนึงทรงเตี้ยล่ำมะขามข้อเดียว คนสุดท้ายนี่ไม่คล้ายคนแต่คล้ายหุ่นยนต์มากกว่า

           ภาพเหตุการณ์สมัยก่อนลอยขึ้นมาในหัว แม้จะผ่านไปเกือบ 2 ปีแล้ว แต่สมองที่มีลักษณะพิเศษของผมยังคงจดจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

           ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนตอนที่เล่าเรื่องราวพวกนั้นแต่คิดว่าคงกำลังยิ้มอยู่

           “ก็ประมาณนั้นแหละ ช่วงก่อนที่จะโดนบอกเลิกนั่นมันดีมาก แล้วฉันก็เคยคิดว่าเราจะคบกันแบบนั้นไปได้เรื่อยๆ จนสร้างครอบครัวได้ พอมาลองคิดดูตอนนี้ก็รู้สึกว่านั่นเป็นความคิดที่เด็กจริงๆ” 

           ผมจบการเล่าอดีตของตัวเองลงแค่นั้น ไม่ได้อธิบายว่าผมกับแฟนเลิกกันได้ยังไง พวกโคสุเกะเองก็ไม่ได้ถาม ซึ่งก็ต้องขอบคุณพวกเขาละนะเพราะว่าผมไม่อยากเล่าถึงเหตุการณ์นั้นเลย

           – “คือว่า…เอช..เราเลิกกันเถอะ” –

           – “เธอรู้ใช่ไหมว่าถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ฉันไม่เลิกกับเธอหรอกนะ’ –

           – “เอ่ออ…ฉันน…ฉันว่าฉันเจอคนที่ชอบมากกว่านายแล้วน่ะ..” –

           “เฮ้ เตรียมตัวเถอะ คาบต่อไปเราเรียนที่โรงยิม ไปเตรียมตัวกัน” 

           เสียงของโคสุเกะดึงผมกลับมาจากภวังค์ ผมหันกลับมามองเพื่อนๆ ที่เตรียมตัวลุกจากที่นั่งเพื่อไปโรงยิม ก้มมองนาฬิกาก็เห็นว่ายังเหลืออีกตั้ง 10 นาที กว่าจะเข้าเรียน กำลังจะทักเพื่อนเรื่องเวลาแต่พอมองหน้าทุกคนแล้วก็เข้าใจได้ในทันที

           ผมลุกเดินตามทุกคนออกไป ฟังโคสุเกะโม้ไปเรื่อยเปื่อย มีโมโมสุเกะคอยรับส่งมุกอยู่เป็นครั้งคราว โดยมีผมและจินเป็นผู้ฟัง อารมณ์ที่ก่อนหน้าเริ่มขมุกขมัวก็เริ่มแจ่มใสขึ้นมาบ้าง

           อ่า…อย่างน้อยๆ เพื่อนของผมก็ยังพอรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรละนะ จัดว่าเป็นคนดีพอสมควรเลย

                                                                  —

           18.30 น. ท้องฟ้าด้านนอกยังไม่มืดสนิท แสงสลัวสีแดงหม่นส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศลงมาพอให้มองเห็นสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวได้ สภาพพื้นทางเท้าที่ชื้นแฉะจากฝนที่น่าจะตกเมื่อช่วงบ่ายยังคงมีให้เห็นตลอดการเดินจากสถานีรถไฟมายังหน้าโรงเรียนฮึบิยะ

           วันนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ของภารกิจตามชีวิตการเดินทางกลับบ้านของโอโตเมะ อามายะ เด็กผู้หญิงที่เจอปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนจากบุคคลที่ไม่ชอบหน้ากันเพียงเพราะว่าเธอไปสนิทสนมกับเด็กผู้ชายที่เป็นที่หมายปองของนักเรียนหญิงคนอื่นๆ นิโนะมิยะ เรียว

           ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรมากมาย ก็แค่นิยายโรแมนติกดราม่าในรั้วโรงเรียนที่นางเอกถูกพวกนางร้ายกลั่นแกล้งเพราะไปสนิทสนมกับพระเอก ส่วนพระเอกก็มึนไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว นอกจากจะไม่ช่วยอะไรนางเอกแล้วยังหาปัญหามาให้เธอโดยไม่รู้ตัว

           ตามบทนิยายแล้วสุดท้ายพระเอกก็จะรู้ทุกอย่างและใช้พลังของพระเอกเข้ามาจัดการให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและครองรักกับนางเอกในตอนจบ มันควรจะเป็นแบบนั้น..ถ้านี่เป็นนิยายน่ะนะ

           แต่บังเอิญเหลือเกินที่มันไม่ใช่นิยาย และการกลั่นแกล้งนั่นก็ดูเหมือนจะไม่จบลงง่ายๆ แค่ในโรงเรียน ผมซึ่งก็คือตัวประกอบ Z เลยได้โอกาสเดบิวส์เป็นองครักษ์เงาให้กับเจ้าหญิงโอโตเมะอยู่ในขณะนี้

           เรื่องที่ผมได้ยินกลุ่มเด็กผู้หญิงคุยกันตอนที่นั่งกินอาหารกลางวันที่ห้างเมื่อวันเสาร์ถูกรายงานไปให้คุณคาวากุจิผ่านทางรุ่นพี่นาคาจิมะเรียบร้อยแล้ว และภารกิจก็เพิ่มความเข้มข้นทันที

           “ตามดูโอโตเมะเร็วหน่อย เพื่อไม่ให้เกิดการคลาดกัน มารอเธอตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดี” 

           คุณคาวากุจิบอกมาแบบนั้น ผมก็เลยต้องมายืนด้อมๆ มองๆ หน้าประตูโรงเรียนฮิบิยะตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดดี

           “ถ้าเราคืนตั๋วเข้างานไป รุ่นพี่กับคุณคาวากุจิจะเลิกใช้งานเราไหมนะ?” 

           เพราะมีเวลาเหลือเฟือ เลยคิดฟุ้งซ่านได้เต็มที่ ปกติโอโตเมะจะกลับบ้านตอนประมาณ 6 โมงเย็น แต่ได้ยินว่าสัปดาห์นี้จะมีการคัดเลือกตัวแทนนักเรียนที่จะเข้าร่วมการแสดงในงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน เป็นไปได้ว่าเธออาจจะกลับช้ากว่าปกติเล็กน้อย

           เล็กน้อยนั่นผ่านมาได้ราวๆ 30 นาทีแล้ว

           และแล้ว โอโตเมะ อามายะ ก็เดินออกมาจากโรงเรียน แต่เธอไม่ได้เดินออกมาคนเดียว เธอออกมาพร้อมเพื่อนกลุ่มใหญ่ หลังจากแยกย้ายกันหน้าโรงเรียนก็เห็นมีคนเดินกลับทางเดียวกันกับเธออยู่สามสี่คนนิโนะมิยะก็เป็นหนึ่งในนั้น

           ผมที่อยากจะกลับเต็มที่โทรรายงานรุ่นพี่นาคาจิมะว่าโอโตเมะกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง จะขอกลับตอนนี้เลยได้ไหม แต่คำตอบที่ได้กลับมากลับเป็นเสียงของคุณคาวากุจิ

           “ช่วยตามไปดูหน่อยนะ เธอถึงบ้านนายก็กลับได้เลย ตอนนี้ฉันกำลังสืบเรื่องที่นายได้ยินมาเมื่อวันเสาร์ ถ้าที่นายได้ยินมาไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด โอโตเมะก็น่าจะมีอันตรายอยู่พอสมควร ยังไงก็ฝากด้วยนะ” 

           ตื๊ด  ตื๊ด

           ตัดสายไปแล้ว เป็นคำขอร้องที่ไม่รับคำปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ผมเริ่มจะสงสารรุ่นพี่นาคาจิมะที่ได้แฟนเข้มงวดแบบนี้ขึ้นมานิดๆ แล้ว

           เฮ้อออ…แล้วก็สงสารตัวเองด้วย

           ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ก้มหน้าก้มตาทำงานไปตามที่ได้รับมอบหมาย ในหัวก็แวบคำกล่าวหนึ่งของแม่ขึ้นมา

           – “คนเรานั้นเกิดมาตามกรรม และเป็นไปตามกรรม” –

           – “แล้วอะไรคือกรรมครับแม่” –

           – “กรรมคือการกระทำจ้ะ การที่เราทำสิ่งต่างๆ ไป มันจะส่งผลให้เกิดสิ่งต่างๆ ตามมา จะมองว่ามันเป็นเหตุและผลของกันและกันก็ได้” –

           ตอนนั้นผมไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูดเลยสักนิด เอาจริงๆ ตอนนี้เองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร บางอย่างก็เหมือนจะเข้าใจ แต่บางอย่างก็ยังไม่เข้าใจ อย่างเช่นว่ากรรมใดที่ทำให้ผมต้องมาเดินตามกลุ่มนักเรียนข้างหน้าอยู่นี่อันนี้ไม่เข้าใจเลยสักนิด

           เดินตามไปเรื่อยๆ โดยทิ้งระยะห่างพอสมควร เพื่อไม่ให้เกิดความน่าสงสัย จนสุดท้ายคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปเหลือแค่โอโตเมะและนิโนะมิยะ 2 คน

           ทั้งคู่เดินกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้หยุดคุยกันเหมือนครั้งก่อน แต่จะบอกว่าไม่มีการพูดคุยกันก็ไม่ได้เพราะผมอยู่ห่างไกลออกมามากเกินกว่าจะเห็นหรือได้ยินอะไรละเอียดขนาดนั้น

           “เธอเข้าบ้านแล้วครับ ผมกำลังกลับแล้ว” 

           ผมโทรรายงานรุ่นพี่นาคาจิมะเสร็จแล้วก็หันหลังกลับ

           “อ๊ะ…ขอโทษครับ” 

           ข้างหลังผมมีผู้ชายสองคนเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และผมเกือบจะชนพวกเขาตอนที่หันกลับไป

           “ระวังหน่อยเจ้าหนู” 

           1 ใน 2 คนนั้นเรียกผมว่าเจ้าหนูทั้งที่ดูแล้วทั้งสองคนก็ไม่น่าจะอายุมากกว่าผมเท่าไร น่าจะอยู่แค่มหาวิทยาลัยกันทั้งคู่ ผมมองพวกเขาทั้งสองคนอีกครั้งหนึ่ง คนนึงตัวเตี้ยกว่าผมเล็กน้อยน่าจะสัก 170 เซนติเมตรปลายๆ อีกคนน่าจะสูงพอๆ กับโคสุเกะ คนตัวสูงตัดผมสั้นเกรียนสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ อีกคนสวมเสื้อแขนยาวมีฮูดคลุมหัว มองเห็นหน้าไม่ชัดเท่าไร

           “ขอโทษครับ” 

           ผมขอโทษทั้งสองคนไปอีกครั้งแล้วเดินเลี่ยงออกมา ไม่ค่อยอยากจะมามีปัญหาอะไรเพิ่ม สองคนนั้นก็แค่มองผมเดินผ่านไปโดยไม่ว่าอะไร

           แล้วหนึ่งวันของผมก็หมดไปแบบนั้น