ตอนที่ 25 สัปดาห์ที่ 11 อาคิยามะ เออิชิ (2)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

เช้านี้ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปแต่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินไปเหมือนเดิม ยกตัวอย่างเช่นผมที่ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะออกไปวิ่งเหมือนทุกวันแต่วันนี้ไปไม่ได้เพราะฝนตก

          สายฝนยามเช้านำพาความชุ่มชื้นมาสู่ผิวดิน บรรดาต้นไม้ใบหญ้าคงจะชื่นชอบกันไม่น้อยแต่ผมไม่ค่อยชอบเลย

          อย่างแรก ฝนในตอนเช้าทำให้ผมเดินทางไปโรงเรียนลำบาก ไม่ต้องพูดถึงขนาดที่ว่าต้องฝ่าฝนไปโรงเรียน เอาแค่ความเฉอะแฉะหลังฝนตกนี่ก็สร้างความลำบากและรำคาญใจให้ไม่น้อยแล้ว

          อย่างที่สอง บรรยากาศตอนฝนตกมันสร้างความขี้เกียจให้ผมเพิ่มขึ้น 200% อันนี้ไม่รู้คนอื่นๆ เป็นไหม แต่ฝนตกทีไรผมง่วงทุกที

          ผมที่ลุกออกมาแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะกลับไปนอนต่อเลยถือโอกาสเข้าครัวไปเป็นลูกมือแม่ของรุ่นพี่นาคาจิมะทำอาหารซะเลย

          เพราะมาอาศัยอยู่บ้านรุ่นพี่เกือบจะสัปดาห์แล้วระดับความคุ้นเคยกับครอบครัวของรุ่นพี่จึงถือว่าไม่น้อย พ่อกับแม่ของรุ่นพี่เองก็ต้องนับว่าใจดี แม้จะบ่นรุ่นพี่ทุกวันแต่กลับชมผมทุกวันด้วยเหมือนกัน ไม่รู้แล้วว่าใครลูกใครเพื่อนลูกกันแน่

          เท่าที่ผมรู้ เดิมทีบ้านนาคาจิมะมีกันอยู่ 4 คน คือพ่อกับแม่รุ่นพี่ ตัวรุ่นพี่ แล้วก็น้องชายรุ่นพี่อีกคน แต่ดูเหมือนน้องชายรุ่นพี่จะเสียชีวิตไปแล้ว ผมเองก็ไม่กล้าถามว่าเรื่องราวจริงๆ มันเป็นยังไง ทำได้แค่คาดเดาเอาเท่านั้น

          ในขณะที่กำลังช่วยแม่รุ่นพี่ทำอาหารอยู่นั้น ท่านก็ชวนผมคุยไปต่างๆ นานา หลายครั้งก็เอาเรื่องตลกๆ ของรุ่นพี่ตอนเด็กๆ มาเล่าให้ผมฟัง ดูแล้วท่านรักรุ่นพี่นาคาจิมะมาก

          “ฝากยูทากะด้วยนะเออิชิ” 

          ทุกครั้งที่จบบทสนทนาแม่ของรุ่นพี่จะบอกผมแบบนี้เสมอ และผมก็จะยิ้มรับและพยักหน้าตอบรับทุกครั้ง ผมสัมผัสได้ว่าคำพูดของแม่รุ่นพี่มันมีอะไรหลายๆ อย่างแฝงอยู่ ในน้ำเสียงนั้นมีทั้งความรัก ความเป็นห่วง ความเศร้า แล้วก็ความหวัง ซึ่งผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ แต่ผมคิดว่าใครก็ตามที่ได้ยินคำขอของแม่รุ่นพี่แล้วคนคนนั้นยังเป็นคนปกติที่มีหัวใจ ผมว่าคงไม่มีใครปฏิเสธคำขอของท่านได้แน่ๆ

          เวลาผ่านไป วันนี้ทั้งวันสายฝนยังคงโปรยปรายไม่เห็นทีท่าว่าจะหยุดตกแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้วก็ตาม

          สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีเพราะฝนตกในวันนี้คือการที่พวกเราไม่ต้องลงไปวิ่งที่สนามในชั่วโมงเรียนพละ แต่อย่างที่ผมบอกไปวันนี้ผมก็ง่วงทั้งวันเหมือนกัน

          “เออิชิ นี่นายแพ้ฝนขนาดนี้เลยหรอ?” 

          โมโมสุเกะถามผมที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาหลังหมดคาบเรียนสุดท้าย อันที่จริงผมก็ตื่นขึ้นมาเรียนเป็นพักๆ แต่เพราะอาจารย์ที่โรงเรียนนี้ไม่เคี่ยวเหมือนตอน ม.ต้น ผมเลยไม่ฝืนตัวเอง แล้วในห้องก็ดูเหมือนจะมีคนไม่ฝืนตัวเองแบบผมเยอะพอสมควรเลย

          “ฉันไม่ได้แพ้ฝนหรอก แค่บรรยากาศมันได้ เลยง่วงเฉยๆ” 

          ผมเก็บกระเป๋าไป ตอบโมโมสุเกะไป ถึงจะยังงัวเงียแต่ก็ต้องรีบเก็บของและเตรียมตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้โอโตเมะต่อ

          [‘หวังว่าที่เมือง T ฝนจะไม่ตกนะ’] 

          ผมเดินลงมาที่ล็อกเกอร์ด้านล่างพร้อมกับเพื่อนๆ เปลี่ยนรองเท้า หยิบร่มแล้วก็เดินกลับพร้อมกัน ช่วงนี้ผมกลับบ้านพร้อมเพื่อนๆ บ่อยเนื่องจากต้องกลับไปบ้านรุ่นพี่จึงจำเป็นต้องขึ้นรถไฟไปซึ่งเป็นทางเดียวกับทางกลับบ้านของเพื่อนๆ ส่วนรุ่นพี่นาคาจิมะไม่รู้กลับไปตอนไหน บางครั้งที่ผมโทรไปเขาก็อยู่บนรถไฟแล้ว

          อันที่จริงการเดินกลับบ้านพร้อมเพื่อนๆ ก็เป็นอะไรที่สนุกดี โคสุเกะกับโมโมสุเกะมักจะมีร้านดีร้านเด่นให้แวะได้ทุกวัน อย่างวันนี้ก็ชวนผมไปเกมอาร์เคดแต่ที่นั่นอยู่ค่อนข้างไกลผมกลัวจะไปไม่ทันสตอกเกอร์โอโตเมะ เลยได้ปฏิเสธไป

          “นายเนี่ยน๊า ชวนไปไหนก็ไม่ค่อยไป ไม่ใช่ว่ามีนัดไปเดตกับสาวที่ไหนหรอกหรอ?” 

          โคสุเกะยังคงแซะผมเรื่องแฟนเก็บลับๆ ที่ตัวเองมโนกันขึ้นมา แล้วหันมามองผมด้วยสายตาแบบจับผิด

          [‘นัดเดตสาวอะไร ถ้าเป็นนัดสตอกเกอร์สาวล่ะก็ใช่อยู่’] 

          คิดในใจแบบนั้นแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ เลยได้แต่เลี่ยงๆ ไป

          “เดือนหน้าฉันย้ายออกมาอยู่คนเดียวเมื่อไรค่อยไปละกัน ตอนนี้มันไม่ค่อยสะดวกนัก” 

          ““บู่…””

          โคสุเกะและโมโมสุเกะที่เดินคลุมร่มขนาบข้างผมอยู่กันมาทำเสียงประหลาดใส่ผมพร้อมกันเหมือนเด็กๆ ส่วนจินแค่มองมาแบบหน้าตายเหมือนปกติ

          เจ้าพวกนี้นี่มันอยู่ ม.ปลายจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย เฮ้ออ..

          สุดท้ายแล้วผมก็พาตัวเองเดินออกจากรถไฟที่เพิ่งจอดสนิทในสถานีที่อยู่ไม่ใกล้จากโรงเรียนฮิบิยะนัก

          ผู้คนในสถานีค่อนข้างพลุกพล่านเพราะเป็นเวลาเลิกงาน บางส่วนก็เป็นพวกนักเรียนและนักศึกษาที่ยังอยู่ในชุดเครื่องแบบรวมถึงผมด้วย

          ผมเดินออกจากสถานีรถไฟเพื่อไปรอโอโตเมะกลับบ้านตามปกติ ใช้คำว่าปกติเพราะสามสี่วันมานี้ผมทำแบบนี้ทุกเย็นจนชักจะเริ่มชิน แต่เย็นนี้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชินเกิดขึ้นเสียแล้ว

          ซู่วววว…

          คำภาวนาของผมไม่เป็นผล เมือง T เองก็เจอฝนไม่ต่างกัน ผมเดินคลุมร่มออกจากสถานีรถไฟ มุ่งหน้าสู่โรงเรียนฮิบิยะ ร่มคันใหญ่สีดำสนิท กับชุดกักคุรันดำสนิทรวมกับคนที่อยู่ใต้ร่มมีส่วนสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยคนทั่วไปเดินฝ่าไปท่ามกลางสายฝนเกิดเป็นภาพที่ใครผ่านใครก็มอง

          ผมไม่ได้อยากจะโดดเด่นจะสะดุดตาใครๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรให้คนอื่นมองผ่าน โชคดีที่พอเดินห่างจากสถานีมาสักระยะหนึ่งผู้คนก็เริ่มบางตาลง สายตาที่มองมาที่ผมจึงน้อยลงด้วย

          เพราะกังวลถึงความเป็นจุดเด่นใต้ร่มของตนเอง ผมจึงเลือกที่จะยืนอยู่ห่างจากโรงเรียนฮิบิยะมากกว่าปกติ แต่แม้จะทำแบบนั้นแล้วก็ยังไม่วายโดนมองจากบรรดานักเรียนกำลังเดินกลับบ้าน

          [‘นี่เราดูน่าสงสัยขนาดนั้นเลยหรอ??’] 

          ผมก้มมองดูตัวเองตั้งแต่เท้าไล่ขึ้นไปจนถึงร่ม ก็…แค่ดำสนิททั้งตัวเท่านั้นเอง

          ยืนก้มๆ เงยๆ อยู่สักพักฝนก็เทลงมาหนักกว่าเดิมอีกจนผมต้องเดินหาที่หลบฝนที่มั่นคงกว่าร่มที่อยู่ในมือ แน่นอนว่าที่นั่นมีนักเรียนของฮิบิยะหลบฝนกันอยู่ก่อนแล้ว

          “เครื่องแบบอาคิรุไดนิ” 

          ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร ผมหันไปมองตามทิศทางที่คิดว่าเสียงน่าจะมาจากตรงนั้น

          “…” 

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหลบสายผมทั้งหมด บางคนก้มหน้าลงทำเป็นล้วงโทรศัพท์ออกมากดเล่น บ้างเฉไฉมองไปทางอื่น ผมก้มลงมองเครื่องแบบนักเรียนของตัวเองอีกครั้งแล้วก็มองพวกนักเรียนโรงเรียนฮิบิยะที่ยืนอยู่ พอมองดูดีๆ ตอนนี้ผมถูกเว้นระยะห่างอย่างเงียบๆ รอบๆ ตัวเกิดพื้นที่ว่างพอที่คนสองคนยืนซ้อนกันได้สบายๆ

          [‘นี่นักเรียนของอาคิรุไดน่ารังเกียจขนาดนี้เลยหรอ?’] 

          ผมคิดในใจเงียบๆ ขณะมองไปที่พวกเขา แล้วเสียงของเด็กผู้หญิงคนนึงก็ลอยขึ้นมาในหัว

          -“นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?”-

          โอโตเมะ อามายะ ถามผมในครั้งแรกที่เราเจอกัน แม้เหตุการณ์จะผ่านมาสองเดือนแล้วแต่ผมยังจำได้ดี สายตาของเธอในตอนนั้นคล้ายคลึงกับบางคนที่อยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้

          ผมหันหน้ากลับมา สายฝนยังคงเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย ไอฝนฉ่ำชื้นถูกลมพัดมาปะทะผิวหน้าให้ความรู้สึกเย็นสบายแต่แฝงไว้ด้วยความเปียกชื้น

          มองทอดไกลออกไปยังบริเวณที่น่าจะเป็นประตูโรงเรียนฮิบิยะตอนนี้มองอะไรไม่ออกซะแล้ว ภาพประตูโรงเรียนที่เป็นฝ้าเหมือนภาพขาวดำเก่าๆ มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไร คิดว่าคงไม่มีใครบ้าพอจะฝ่าสายฝนแบบนี้กลับบ้านรวมถึงยัยโอโตเมะนั่นด้วย

          ผมยืนดื่มด่ำไปกับบรรยากาศฝนตก ปล่อยให้ละอองฝนลอยมาปะทะตัวเองเพื่อรับเย็นจากฝนอย่างเต็มที่ ผมชอบไอเย็นจากฝนแต่ไม่ชอบความชื้นแฉะหลังฝนตกเท่าไร อาจจะฟังดูย้อนแย้งกันแต่ผมรู้สึกว่ามันแบ่งแยกกันได้ชัดเจน

          คิดเรื่อยเปื่อยหาสาระอะไรไม่ได้ไปจนกระทั่งฝนเริ่มซา หลายคนที่หลบฝนอยู่ตรงนั้นด้วยกันเริ่มกางร่มและเดินออกไป ผมเองก็กางร่มและเดินออกมาด้วยเช่นกัน

          ท้องฟ้าสีดำที่ยังพอจะมองออกว่าเต็มไปด้วยก้อนเมฆดำทะมึนบางครั้งก็มีแสงแปลบปลาบของฟ้าแลบให้เห็นเป็นครั้งคราว ดูแล้วให้ความรู้สึกสงบเงียบแต่แฝงไว้ด้วยความดุดันเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะปะทุออกมา

          ผมเดินมาถึงจุดที่ตัวเองมักจะมารอโอโตเมะกลับบ้านในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วก็ยืนรอ

          รอ…

          [‘ทำไมวันนี้ช้าผิดปกติ’] 

          ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ตัวเลขบนหน้าจอบอกว่า 18.40 น. แล้ว

          [‘หรือใกล้วันงานเลยกลับช้า’] 

          ผมคิดหาเหตุผลที่โอโตเมะยังไม่ออกมาไปต่างๆ นานา สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเลือกโทรถามรุ่นพี่นาคาจิมะให้รู้คำตอบชัดเจนไปเลยดีกว่า

          “รุ่นพี่ไม่เห็นบอกว่าวันนี้เธอจะกลับช้า” 

          พึมพำไปกดโทรศัพท์หารุ่นพี่ไป สัญญาณรอสายดังอยู่ไม่นานรุ่นพี่นาคาจิมะก็รับสาย

          “ไงมารุ ทำไมเพิ่งจะโทรมาล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า?” 

          ประโยคหลังรับสายของรุ่นพี่ทำเอาผมยืนงง อะไรคือทำไมเพิ่งจะโทรมา ไม่ใช่ว่าส่งโอโตเมะเข้าบ้านแล้วค่อยรายงานหรอกหรอ

          “ผมยังไม่เห็นโอโตเมะเลยนะครับ ตอนนี้ก็ยังยืนอยู่หน้าโรงเรียนฮิบิยะ” 

          “…” 

          รุ่นพี่นาคาจิมะเงียบ ผมก็เงียบ เราทั้งคู่เงียบ รอบๆ ตัวผมก็เงียบ

          “แปบนะ ขอฉันเช็กกับมินะก่อน” 

          แล้วรุ่นพี่นาคาจิมะก็วางสายไป ผมจ้องมองโทรศัพท์ในมืออย่างงงๆ แล้วความคิดนึงก็ผุดขึ้นมาในหัว

          [‘หรือยัยนั่นกลับไปแล้ว?’] 

          วืด…..

          แล้วโทรศัพท์ในมือก็สั่น ผมรับสายรุ่นพี่นาคาจิ ทันทีที่โทรศัพท์แนบหูเสียงของรุ่นพี่ก็แทรกเข้ามา

          “มินะบอกว่าโอโตเมะจังกลับไปแล้ว เธอยังบอกมินะว่ารู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม ฉันยังคิดว่านายโดนจับได้ซะแล้ว” 

          ผมยืนทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง รุ่นพี่นาคาจิมะบอกว่ายัยโอโตเมะกลับบ้านแล้ว กลับไปตอนไหน ทำไมถึงได้คลาดกันได้ล่ะ แต่คิดแล้วก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา

          “งั้นโอโตเมะก็กลับบ้านโดยสวัสดิภาพซินะครับ” 

          “อื้ม เธออยู่บ้านแล้ว กลับถึงได้สักพักละมั้ง” 

          [‘เฮ้อ…แล้วฉันมายืนรออะไรเนี่ย’] 

          “ครับ งั้นเดี๋ยวผมกลับไปครับ” 

          ผมวางสายจากรุ่นพี่ ถอนหายใจแล้วจึงออกเดินจากตรงนั้น เท้าไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะแต่พาตัวเองไปในอีกทิศทางหนึ่ง เป็นทิศทางที่คุ้นเคย เป็นทิศทางที่ทั้งสัปดาห์นี้ผมเดินตามผู้หญิงคนนึงกลับบ้านทุกวัน และเป็นทิศทางที่มีบ้านหลังนั้นตั้งอยู่

          สายฝนโปรยปรายหายไปแล้วคงเหลืออยู่แค่ละอองบางเบา ผมหุบร่มถือไว้ในมือซ้าย ชุดเครื่องแบบสีดำบนตัวกลมกลืนไปกับความมืดรอบๆ ตัว หากไม่ได้แสงไฟจากเสาไฟและบรรดาบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมถนนที่มีอยู่เป็นระยะ ผมสงสัยว่าตัวเองอาจจะจมหายไปกับความมืดรอบตัวแล้วก็ได้

          มัวแต่เดินก้มหน้าคิดไร้สาระเพ้อเจ้อกับมองทางที่เฉอะแฉะไปด้วยน้ำฝน พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าตัวเองเดินมาเกือบถึงบ้านของโอโตเมะแล้ว

          [‘หืมมม…’] 

          ผู้ชาย 2 คน กำลังยืนชี้มือชี้ไม้อยู่หน้าบ้านของโอโตเมะ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันพอผมเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองก็หันมามองผม ผมเองก็มองพวกเขา

          [‘สองคนที่เจอวันนั้นนิ?’] 

          ภาพเหตุการณ์ที่ผมเกือบจะเดินชนกับผู้ชาย 2 คน หลังจากตามโอโตเมะมาถึงบ้านในเย็นวันนึงลอยขึ้นมา

          ผมเดินผ่านทั้งสองไป ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจำผมได้หรือไม่ รู้แค่ว่าทั้งคู่มองผมแปลกๆ จนกระทั่งผมเดินเลยมาสักพักแล้วก็ยังรู้สึกได้ว่ายังถูกมองอยู่

          “ว่าไง มารุ อยู่ไหนแล้ว?” 

          เสียงรุ่นพี่นาคาจิมะลอดออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ผมกดปุ่มเบาเสียงลงเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป

          “เจอคนน่าสงสัยอยู่หน้าบ้านโอโตเมะครับ เดี๋ยวจะลองเฝ้าดู” 

          รุ่นพี่นาคาจิมะเงียบไปแปบนึง เหมือนตัดสินใจอะไรอยู่

          “อย่าเข้าปะทะเด็ด เกิดเรื่องให้รีบหนีเอาตัวรอดก่อน โทรหาฉันทันทีที่เกิดเรื่อง ภายใน 15 นาทีหลังวางสายให้โทรหาฉัน ถ้าอีก 15 นาทีนายยังไม่โทรมาฉันจะแจ้งตำรวจ เข้าใจไหม?” 

          “เอ่ออ..ตามบทรุ่นพี่ควรจะห้ามไม่ใช่หรอครับ?” 

          “ห้ามแล้วนายจะทำตามไหมล่ะ?” 

          “ถ้าห้ามแบบจริงๆ จังๆ ก็อาจจะทำนะครับ” 

          “งั้นฉันห้ามนายเข้าไปยุ่ง กลับมาเดี๋ยวนี้เลย” 

          “เดี๋ยวอีกแปบผมโทรรายงานนะครับ รอรับสายผมด้วย อ่อ บอกคุณคาวากุจิด้วยดีไหมครับ?” 

          “เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายระวังตัวด้วย” 

          “รับทราบครับ” 

          เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า มองซ้ายมองขวาหาจุดอับสายตาที่มองเห็นหน้าบ้านของโอโตเมะได้ถนัด แล้วรู้สึกสงสัยตัวเองว่ากำลังเบียวเล่นเป็นสายลับหรืออะไรอยู่กันแน่ถึงได้คิดทำอะไรบ้าบอแบบนี้ รุ่นพี่นาคาจิมะก็อีกคน นอกจากไม่ห้ามแล้วยังช่วยให้คำแนะนำเสร็จสรรพ บ้าบอพอกันทั้งคู่

          พึมพำเบาๆ คนเดียวระหว่างเดินเข้าไปในเงามืดหลังเสาไฟฟ้าที่ไม่มีแสงไฟส่องถึงต้นหนึ่ง ระยะห่างจากบ้านของโอโตเมะพอสมควร ถ้ามองจากตรงนั้นก็ไม่น่าจะเห็นผมที่ใส่ชุดดำทั้งตัวได้

          ผู้ชายน่าสงสัย 2 คนนั้นยังยืนอยู่หน้าบ้านของโอโตเมะ เหมือนกำลังปรึกษาอะไรกันอยู่ แล้วก็หันซ้ายหันขวาชี้ไม้ชี้มือราวกับกำลังถกเถียงกันเรื่องเส้นทาง

          ผมเฝ้ามองดูทั้งคู่อยู่พักนึง สุดท้ายเมื่อเห็นทั้งคู่เดินกลับไปทางสถานีจนลับสายตาแล้วผมจึงได้เดินย้อนกลับมา

          “ครับ…รุ่นพี่ ดูเหมือนคนหลงทางที่กำลังหาเส้นทางกันตรงนี้พอดีครับ…ครับ…ครับ…สงสัยไว้ก่อนก็ดีครับ…คราวก่อนผมเจอ 2 คนนี้แถวนี้ครั้งหนึ่งครับ…ครับ…ทราบแล้วครับ…เดี๋ยวเจอกันครับ” 

          วางสายจากรุ่นพี่ไปแล้วผมหันไปมองบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างๆ แสงไฟจากในบ้านสว่างออกมาจนมองเห็นรอบข้างได้อย่างชัดเจน ถ้าสองคนนั้นคิดอะไรไม่ดีก็ไม่น่าจะมายืนวางแผนให้เห็นกันชัดแจ้งขนาดนี้

          “แล้วไอ้ความรู้สึกไม่สบายใจนี่มันอะไรกัน” 

          ความคิดหมุนวนอยู่กันชายสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ตรงนี้เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ดูจากท่าทางแล้วก็ไม่น่ามีอะไรแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรไม่ถูกต้องตรงไหนสักอย่าง

          สมองพยายามรีดความทรงจำทั้งหมดในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อหาสาเหตุของความไม่สบายใจเมื่อเห็นผู้ชาย 2 คนนั้น แต่ก็นึกอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่ต้องสรุปว่าคิดมากไปเอง

          “เอาล่ะ พรุ่งนี้อีกวัน สู้เขา เออิชิ” 

          เส้นทางขากลับที่เดินจนชินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ไม่รู้สึกว่าแถวนี้ดูน่ากลัวแต่อย่างใด หนำซ้ำยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยและเติมเต็มความคิดถึงที่มีอยู่ลึกๆ ในใจได้เป็นอย่างดี

          นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ผมยอมช่วยรุ่นพี่ตามดูโอโตเมะ เพื่อให้ตัวเองได้เดินกลับบ้าน ขอแค่ได้เห็นบ้านแม้จะยังไม่สามารถเข้าไปในตอนนี้ได้ แต่ได้เห็นก็ชวนอบอุ่นใจเหลือเกินแล้ว