เป็นอีกหนึ่งเช้าที่ชีวิตของผมยังคงต้องดำเนินต่อไป กิจวัตรประจำวันหลังตื่นขึ้นมาในบ้านของรุ่นพี่นาคาจิมะดำเนินมาได้ 1 สัปดาห์แล้ว
ว่ากันว่าถ้าคนเราทำอะไรซ้ำๆ กันเกิน 21 วันขึ้นไปมันจะติดเป็นนิสัย ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 1 ใน 3 ของช่วงเวลานั้นแล้ว และผมก็ชักจะชินกับกิจวัตรประจำวันแบบนี้ไปซะแล้ว
เริ่มจากตื่นนอนขึ้นมาออกกำลังเบาๆ ด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้ง หลังจากนั้นก็เข้าครัวช่วยคุณแม่ของรุ่นพี่ทำอาหารเช้าและถือโอกาสแอบเรียนรู้การทำอาหารไปในตัว รอจนรุ่นพี่นาคาจิมะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็จะไปอาบบ้าง แล้วจึงเป็นการกินข้าวที่โดยปกติแล้วจะกินมื้อเช้าพร้อมกันทั้งครอบครัวแล้วจึงเดินทางไปโรงเรียน
“เดือนหน้านายจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วใช่มะ?”
รุ่นพี่นาคาจิมะเอ่ยถามตอนที่กำลังนั่งรถไฟไปโรงเรียน ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์ในมือ นึกขึ้นได้ว่าเคยบอกเรื่องนี้กับรุ่นพี่และสหายทั้งสามไว้
“ครับ คนที่เช่าบ้านผมจะย้ายออกตอนสิ้นเดือนนี้ ยังไงตอนปลายเดือนอาจจะต้องรบกวนรุ่นพี่สักวันสองวันนะครับ ช่วงที่รอของมาส่งที่บ้าน”
“นายจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ฉันไม่ว่าหรอก จริงๆ แม่บอกให้นายมาอยู่ที่บ้านเราตลอดไปเลยก็ดี ดูท่าแล้วแม่ฉันจะติดใจนายซะแล้ว”
“ใช้คำว่าเอ็นดูดีกว่านะครับ”
“เอาน่า อย่าคิดมากนักเลย”
แล้วรุ่นพี่นาคาจิมะก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้
เป็นความจริงที่ครอบครัวนาคาจิมะเอ็นดูผมมาก มากซะจนผมอยากให้พวกเขาเป็นครอบครัวของผมมากกว่าครอบครัวในนามที่ผมมีอยู่ตอนนี้ซะอีก
พวกเขาเรียกผมว่ามารุตามที่รุ่นพี่นาคาจิมะเรียก ผมไม่รู้ว่ามันมีความหมายพิเศษอะไรไหมแต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ แอบรู้สึกว่ามันดูเป็นคนพิเศษดีเลยปล่อยเลยตามเลย
ในขณะที่ครอบครัวของผมเองจริงๆ มักใช้คำว่าแกแทนตัวผม ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าพวกเขาจำชื่อผมไม่ได้หรือแค่ไม่อยากเรียกชื่อกันแน่ แต่ผมก็ไม่ได้แคร์นักหรอก
ประสบการณ์การสูญเสียในช่วงสามสี่ปีมานี้ทำให้ผมคิดและเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างที่พ่อกับแม่เคยสอนไว้ อย่างเช่น
-“ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไป ขอแค่ทำอย่างมีสติและความสุขนั้นไม่ตั้งอยู่บนความเดือดร้อนของใครก็พอ”-
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรคือชีวิตสั้น แต่รู้ว่าการอยู่กับพ่อนั้นมีความสุขมาก ผมเลยบอกพวกท่านไปว่าผมจะอยู่กับพวกท่านตลอดไป
กว่าจะเข้าใจว่าตลอดไปมันไม่มีจริงก็…
…เอาเป็นว่าผมสรุปคำสอนที่จดจำมาว่า คนเราอายุสั้นควรหาความสุขให้ตัวเองมากๆ ด้วยความมีสติและรอบคอบ
และก้าวแรกของการหาความสุขของผมคือออกมาจากครอบครัวของพ่อผม แต่ไม่ใช่ครอบครัวของผมนั่นเอง
ส่วนที่ว่าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนั่น ขอดูก่อนแล้วกันว่าคนที่ว่านั้นเป็นใคร สมควรแค่ไหนที่จะไม่ทำให้เขาเดือดร้อน…
—
การเรียนที่อาคิรุได้นั้นไม่ได้แตกต่างจากโรงเรียนอื่นนักถ้าว่ากันตามเนื้อหาบทเรียน แต่ถ้าว่ากันตามความเอาจริงเอาจังของนักเรียนแล้วต้องบอกว่านักเรียนของที่นี่ปล่อยตัวปล่อยใจกันเหลือเกิน
ที่ว่าปล่อยตัวปล่อยใจนั้นคือการปล่อยตัวให้อยู่ในอิริยาบถที่ตัวเองคิดว่าสบายที่สุดทั้งการนอนฟุบไปบนโต๊ะ การนั่งเหยียดแขนขาแผ่หลาอย่างกับรากโกงกาง หรือการลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายโดยไม่ขออนุญาต ส่วนการปล่อยใจก็คือปลดปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปตามแต่จินตนาการของตนเองด้วยการสะกดตัวเองให้หลับไป การเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแบบเท่ๆ หรือการเอางานอดิเรกของตัวเองอย่างการดูหนังสือหรือการ์ตูน 18+ มาเผยแพร่ให้เพื่อนที่โรงเรียน
ถ้าถามคนทั่วไปว่าการปล่อยตัวปล่อยใจนี้ดีหรือไม่ ร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่าไม่ดี แต่ถ้ามาถามผมที่ตอนนี้กำลังปล่อยใจไปนอกหน้าต่าง ผมบอกเลยว่ามันก็ตอบยากนิดหน่อย
“อาคิยามะ ตอบคำถามข้อนี้ซิ”
เสียงของอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ลอยเข้ามาขัดจังหวะการล่องลอยไปตามหมู่เมฆของผม
ผมหันไปมองโจทย์บนกระดานแวบนึงก่อนลุกออกไปหน้าห้องตามคำสั่งของครู
หลังการสอบกลางภาคที่ผ่านมารู้สึกว่าครูในโรงเรียนจะเห็นว่าผมมีความสามารถด้านการเรียน เลยมักจะเรียกผมให้ตอบคำถามบ่อยๆ
ผมเองก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหาเลยตอบๆ ไปให้มันจบๆ ไป
ออกมายืนหน้าชั้นเรียนข้างๆ ครูผู้สอน ด้านหลังผมเป็นเหล่านักเรียนชายผู้กำลังปล่อยตัวปล่อยใจและแทบไม่มีใครสนใจผมนัก ผมยืนพิจารณาโจทย์คณิตศาสตร์ตรงหน้าก่อนจะลงมือเขียนคำตอบลงไป เสร็จแล้วก็เดินกลับมามองท้องฟ้าต่อ นักเรียนคนอื่นก็ทำกิจกรรมของตนเองต่อ ครูก็สอนต่อ
…นี่ล่ะครับ ชีวิตปกติในชั่วโมงเรียนปกติในโรงเรียนของผม
พักเที่ยง…
พวกเราชาว F4 (โคสุเกะใช้เรียกพวกเรา 4 คน) กินข้าวเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหาร
ที่จริงผมมีข้าวกล่องที่แม่ของรุ่นพี่นาคาจิมะสอนทำมากินเป็นข้าวเที่ยง แต่เพราะพวกโคสุเกะไม่มี ทุกคนจึงตกลงมากินที่โรงอาหาร
“นี่ พรุ่งนี้ 9 โมงตรงเจอกันหน้าทางเข้างานนะ จากนั้น…”
โมโมสุเกะอธิบายกำหนดการเที่ยวงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนทันทีที่เขากินข้าวแกงกะหรี่ขนาดพิเศษของตนเองเสร็จ มีการทำแผนที่การเที่ยวชมงานจากใบปลิวแนะนำสถานที่จัดงานที่ทางผู้จัดงานจัดทำขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ทางเว็บไซต์ให้คนที่สนใจสามารถเข้ามาดูได้
ผมมองแผ่นใบปลิวที่ถูกโมโมสุเกะขีดเขียนเลอะเทอะ ถ้าคนทำใบปลิวนี้มาเห็นเขาคงจะโกรธโมโมสุเกะแน่ๆ
“…แล้วก็กลับบ้าน โอเค มีใครสงสัย?”
โมโมสุเกะจบการอธิบายแผนโดยโคสุเกะกับจินพยักหน้าหงึกๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้
อะไรมันจะกระตือรือร้นได้ขนาดนั้น
ผมคีบไก่ทอดเข้าปากพลางมองดูเพื่อนๆ วางแผนเที่ยวงานกัน ท่าทางที่เหมือนเด็กประถมตื่นเต้นกับการไปทัศนศึกษานั้นดูแล้วก็ตลกดี
“เออิชิ นายจะไปพร้อมพวกฉันไหม?”
โควสุเกะหันมาถามผมตอนที่ผมกำลังเก็บกล่องข้าว ผมคว้าน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะตอบเขา
“ไม่แน่ใจ ไม่รู้รุ่นพี่จะเอายังไง เดี๋ยวฉันบอกอีกที”
“ดูนายไม่ตื่นเต้นที่จะได้ไปงานเลยนะ”
โมโมสุเกะตั้งข้อสังเกตขึ้นมา คงเห็นว่าผมไม่ค่อยกระตือรือร้นล่ะมั้ง
“ก็เฉยๆ นะ ถามว่าอยากไปไหมก็เฉยๆ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ไม่เสียดาย เอาจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าจะไปทำไมน่ะ”
“หรือว่าจะมีความหลังกับงานเทศกาลนี้”
โคสุเกะเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา คราวนี้สายตา 3 คู่ 6 ข้างหันมาจ้องผมเขม็ง
“นายคิดอะไรของนายเนี่ย ของแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไงเล่า”
“ใครจะไปรู้ เห็นข่าวรายงานว่างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนของเมือง T นี่ขึ้นชื่อเรื่องเป็นเทศกาลที่คนรักมักจะพากันไปเที่ยว นายอาจจะเคยไปกับแฟนเก่านายก็ได้”
“ไม่เคยเฟ้ยยย..”
ตอบตัดบทโคสุเกะแล้วก็ถอนหายใจ เพลียจิตกับจินตนาการของเจ้าเพื่อนทั้ง 3 คนนี้จริงๆ
แล้วช่วงเวลาของการพักก็หมดไปกับการวางแผนเที่ยวอันสุดเพอร์เฟคของเจ้าเพื่อนทั้งสาม
คาบเรียนตอนบ่ายเป็นอะไรที่ไม่ค่อยถูกกับผมมาแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังท้องตึงหรือเพราะเหตุอะไร แต่ผลที่ได้คือหนังตาหย่อนเหมือนกัน
โชคดีที่โรงเรียนอาคิรุไดแห่งนี้ผมสามารถนอนหลับได้โดยไม่มีใครว่า
อา…สวรรค์จริงๆ
ผมหลับตั้งแต่คาบแรกของช่วงบ่ายจนถึงคาบสุดท้ายของการเรียน โดยจะตื่นขึ้นมาช่วงสั้นๆ ระหว่างเปลี่ยนคาบแล้วก็ฟุบหลับต่อ ตอนที่หมดคาบสุดท้าย หน้าผมข้างหนึ่งก็เต็มไปด้วยรอยแดงที่เป็นรอยยับย่นของแขนเสื้อ
แน่นอนว่าเจ้า 3 ตัวนั้นไม่พลาดโอกาสถ่ายรูปไว้แบล็กเมล์ผม
หลังจากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วพวกเรา 4 คนก็กลับบ้านด้วยกัน จริงๆ จะบอกว่ากลับด้วยกันก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะสุดท้ายก็ต่างคนต่างแยกกันไป วันนี้พวกโคสุเกะไม่ได้นัดกันไปเที่ยวที่ไหนพวกเราเลยเดินกันไปเรื่อยๆ จนถึงสถานี
“พวกนายว่าพรุ่งนี้ฉันจะหาแฟนได้สักคนไหม?”
อยู่ๆ โมโมสุเกะก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผม โคสุเกะ และจินหยุดการกินไทยากิในมือพร้อมกับหันไปมองคนถามอย่างพร้อมเพรียง
“อะไรทำให้นายคิดว่าตัวเองจะหาแฟนได้?”
โคสุเกะถามกลับไปแบบไม่ถนอมน้ำใจเพื่อนสักนิด แล้วเริ่มเคี้ยวไทยากิต่อ ส่วนผมกับจินที่เป็นผู้ฟังที่ดีได้แต่เดินฟังไปเงียบๆ ไม่คิดจะสอดปากไปยุ่งด้วย ปล่อยให้สองคนนั้นถกประเด็นปัญหาชีวิตวัยรุ่นกันไป
รถไฟเที่ยว 5 โมงเย็น กำลังวิ่งไปบนรางตามเส้นทางที่จะนำผมไปยังเมือง T เมืองที่ผมอาศัยอยู่มาตลอดจนกระทั่งเมื่อสองเดือนก่อน
ความรู้สึกโหยหาถาโถมเข้ามาทุกครั้งที่นั่งรถไฟคนเดียวกลับไปเช่นวันนี้ อยากจะกลับไปเจอแม่ อยากกลับไปขี่คอพ่อ อยากกลับไปทำอะไรๆ ที่มีความสุขกับทุกคนอีกสักครั้ง
…เป็นความอยากที่ไม่มีทางสมหวัง
ผมเอาหูฟังใส่หูแล้วเปิดบทสนทนาภาษาไทยฟัง ภาษาไทยเป็นภาษาบ้านเกิดของแม่ ตอนเด็กๆ แม่สอนผมพูดภาษานี้อยู่บ่อยๆ จนผมสามารถสื่อสารได้ในระดับที่สามารถใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันได้ แต่พอนานๆ ไปก็ไม่ค่อยได้ใช้ผมก็ชักจะลืมๆ ไปเหมือนกัน
บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องราวการทักทายพูดคุยกันของชายคนหนึ่งกับบุคคลต่างๆ ที่เขาพบเจอ
ผมชอบบทสนทนาแบบนี้ รู้สึกว่ามันเหมือนกับไดอารี่หรือบทละครเวอร์ชันที่มีเสียงบรรยาย และผมสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่าบทสนทนาที่พร่ำสอนเรื่องหลักภาษา
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ แล้ว 1 ชั่วโมงของการเดินทางก็จบลง ตอนนี้ผมกำลังรอให้โอโตเมะเดินออกมาจากโรงเรียน จากนั้นก็ตามเธอไปที่บ้าน เมื่อเธอเข้าบ้านอย่างปลอดภัยภารกิจของผมก็จะเสร็จสมบูรณ์
ถึงจะพูดว่าสมบูรณ์แต่เมื่อคืนผมก็ทำพลาดไปครั้งหนึ่ง ไม่คิดจะแก้ตัวหรอกว่าเพราะฝนตกเลยคลาดกัน แต่เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเพราะว่า
วันนี้ผมมาเร็วยังไงล่ะ
“ฮึๆ …”
เผลอหลุดเสียงหัวเราะน่าขนลุกแบบตัวร้ายในหนังเกรด B ออกมา แล้วก็พบว่ามีเด็กประถม…ละมั้ง กำลังมองผมอยู่
อึก…สายตาของหนูน้อยนั่น
ผมแก้เขินด้วยการกระแอมไอเล็กน้อยแล้วหันหน้าไปทางอื่นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กน้อยที่ยังจ้องมองมา
[‘อา…พี่ชายก็อายเป็นนะหนูน้อย’]
จนกระทั่งแม่ของหนูน้อยพาเธอเดินจากไป ผมถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เกิดมาก็เพิ่งจะรู้ว่าสายตาสงสัยของเด็กน้อยนั้นช่างทรงพลังเสียจริง
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา อีก 15 นาทีจะ 6 โมงเย็น ไม่รู้ด้วยว่าวันนี้โอโตเมะจะกลับบ้านตอนไหน ผมมองซ้ายมองขวาเลือกที่นั่งที่สามารถมองเห็นหน้าประตูโรงเรียนฮิบิยะได้ชัดเจน
แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่แค่ประตูโรงเรียนแต่เป็นผู้ชายสองเดินกำลังเดินไปทางเดียวกับทางกลับบ้านของโอโตเมะ
ผู้ชายน่าสงสัยสองคนเมื่อคืนนั่นเอง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมดูซีรี่ย์ดูหนังหรืออ่านข่าวอาชญากรรมมามากเกินไปหรือเปล่า ภาพที่ผู้ชายสองคนนี้ยืนคุยกันหน้าบ้านของโอโตเมะเมื่อคืนสร้างความสงสัยและไม่สบายใจให้ผมจนรู้สึกอยู่ไม่สุข
[‘อีก 15 นาทีถึงจะ 6 โมง ถ้ารีบหน่อยก็น่าจะทัน’]
ผมลุกขึ้นเตรียมจะตามสองคนนั้นไป มือล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะโทรบอกให้รุ่นพี่รู้ก่อน
“รุ่นพี่ครับ ผมเจอผู้ชายสองคนที่เคยบอกว่ามาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านโอโตเมะ…”
“ฉันกำลังตามอยู่”
“เอ๊ะ?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันกับมินะเตรียมการไว้แล้ว นายดูโอโตเมะไว้ดีๆ”
“อ่ะ…ครับ”
สายของรุ่นพี่วางไปแล้วแต่ผมยังงงๆ กับสถานการณ์อยู่
[‘นี่รุ่นพี่กับคุณคาวากุจิไปทำอะไรกันมาเนี่ย?’]
เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์จึงทำอะไรไม่ถูก ผมจ้องโทรศัพท์ในมือพลางคิดไปด้วยว่าจะเอาไงต่อดี
สำหรับประเทศที่มีอัตราการจัดการปัญหาอาชญากรรมได้สูงมากที่สุดประเทศหนึ่งบนโลกนี้แล้ว ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากระดับหนึ่ง
ตัวผมที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในประเทศนี้เข้าใจดีถึงสิ่งเหล่านั้น แต่ใจมันก็ยังอดเป็นห่วงรุ่นพี่นาคาจิมะไม่ได้อยู่ดี
สูดดด…เพี๊ยะๆๆ
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกและตบแก้มตัวเองเบาๆ ความกังวลใจทำให้สมองทื่อลง ขั้นแรกต้องเรียกสติตัวเองกลับมาก่อน
รุ่นพี่นาคาจิมะสั่งให้อยู่เฉยๆ คอยดูโอโตเมะให้ดี ถ้ามองตามคำสั่งนี้แสดงว่ารุ่นพี่วางแผนอะไรไว้สักอย่าง แต่ปกติรุ่นพี่เป็นสายใช้กำลังมากกว่าใช้หัว ฟังดูอาจจะเสียมารยาทกับรุ่นพี่ไปบ้าง แต่ถ้าเขาไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอก
งั้นคนที่วางแผนก็ต้องเป็นคุณคาวากุจิ แฟนสาวสุดสวยผู้มากด้วยความสามารถ
ผมไม่ได้รู้จักคุณคาวากุจิแฟนของรุ่นพี่มากนัก แต่เท่าที่รู้จักก็พอบอกได้ว่าเธอคุมรุ่นพี่ได้อยู่หมัด ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น คงไม่ต้องกังวลว่ารุ่นพี่จะบุกตะลุยไปเสี่ยงอันตรายอะไรโดยไม่จำเป็น
ฟู่…
เสียงผ่อนลมหายใจดังออกมาจากปากผม แม้จะคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้วสรุปได้ว่าไม่น่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงแต่ความกังวลก็ส่วนความกังวล
ห่วงก็คือห่วงละนะ
ผมนั่งเขย่าขาตัวเองไปเรื่อยระหว่างรอโอโตเมะกลับบ้าน ทำงานที่รุ่นพี่มอบหมายให้ด้วยความรับผิดชอบยิ่ง
“วันนี้กลับไวหน่อยไม่ได้หรอ…”
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ 15 นาที ราวกับ 1 ชั่วโมง ผมถึงกับเผลอคิดไปเองว่าหรือสนามโน้มถ่วงโลกของเราเกิดความแปรปรวนไปแล้วจริงๆ
แสงแดดยามเย็นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ มองดูแล้วเหมือนใครเอาเลือดมาสาดไปบนท้องฟ้า เสียงนกร้องดังมาจากต้นไม้ใกล้ๆ ฟังแล้วให้ความรู้สึกวังเวงยังไงพิกล
ระหว่างที่มองนักเรียนและผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา ผมยังคงถือโทรศัพท์ไว้ตลอด พยายามทำใจร่มๆ และคิดในแง่บวกแล้วแต่สมองของมนุษย์เราก็แปลกที่ยังแวบไปคิดเรื่องไม่ดีๆ ได้
หรือที่จริงแล้วผมจะชอบคิดอะไรลบๆ นะ
ถกเถียงกับตัวเองอยู่ในใจจนกระทั่งเป้าหมายของผมเดินออกมาจากประตูโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ
ผมไม่รอช้าดีดตัวผึงยืนขึ้นและออกเดินตามเธอไปห่างๆ ทันที อยากจะให้ภารกิจวันนี้เสร็จลงโดยไวเพื่อจะได้ไปหารุ่นพี่
“ขออย่าให้มีเรื่องอะไรเลย…”
แล้ว 15 นาทีต่อมาผมก็เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านของโอโตเมะ อามายะ
ใช่ครับ…หน้าบ้านของโอโตเมะ อามายะ แถมยังยืนอยู่ข้างๆ เธอด้วย
ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปสัก 2 นาที ก่อนหน้านี้
ผมในฐานะองครักษ์เงาติดตามอารักขาโอโตเมะอามายะกลับบ้านแบบห่างๆ ในระยะที่ห้ามให้เธอจับได้เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมา โดยในใจกำลังภาวนาไปด้วยว่าขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรกับพวกรุ่นพี่เลยนั่นเอง
ในทันใดนั้น…
ตอนที่ผมเห็นบ้านของโอโตเมะ ผมจึงได้ตระหนักรู้ว่ากฎของเมอร์ฟี่นี่โคตรจะศักดิ์สิทธิ์เลย
หน้าบ้านของเธอมีญี่ปุ่นมุงอยู่ไม่น้อย แต่มองไม่ออกว่าเกิดเรื่องอะไร โอโตเมะยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นจนผมวิ่งเข้าไปเรียกเธอ
“ยืนเหม่ออะไร ไปเร็ว!!”
“อ๊ะ!? เอ๊ะ??”
โดยไม่หยุดรอ ผมวิ่งต่อไปจนถึงหน้าบ้านของเธอ ที่นั่นเห็นคนยืนมุงชี้ไม้ชี้มือกันอยู่ พอแหวกคนเข้าไปได้ก็เห็นรุ่นพี่นาคาจิมะกับคุณคาวากุจิยืนอยู่กับผู้หญิงสาวคนหนึ่ง ข้างๆ เป็นตำรวจ ไม่รู้กำลังพูดคุยอะไรกัน
“อ๊ะ!? พี่…เกิดอะไรขึ้นคะ เอ๊ะ?? …รุ่นพี่ก็อยู่ด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
โอโตเมะ อามายะยืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ ผม ท่าทางจะวิ่งตามผมมาเต็มฝีเท้า
ผมมองเธอแล้วหันไปมองพวกรุ่นพี่สามคน เห็นผู้หญิงสาวคนนั้นหันไปคุยกับตำรวจเล็กน้อยแล้วก็เดินมาหาโอโตเมะจากนั้นก็พาเธอเดินเข้าไปในบ้าน
“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะเนี่ย?”
ผมละสายตาจากประตูบ้านหันมาให้ความสนใจต้นเสียงที่ทักผมขึ้นมา
“นั่นมันบทผมไม่ใช่หรอครับ ไหงรุ่นพี่ถึงมาแย่งบทพูดผมล่ะ”
รุ่นพี่นาคาจิมะหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ดูท่าทางแล้วสิ่งที่ผมกังวลก่อนหน้านี้จะไม่ได้เกิดขึ้น
“เรื่องมันยาวน่ะ เดี๋ยวกลับไปคุยกันที่บ้านละกัน เดี๋ยวฉันต้องไปโรงพักสักแปบ นายกลับไปก่อนนะ”
“เอ๊ะ ก่อเรื่องจนโดนจับหรอครับ?”
ผมเผลอหลุดคำพูดในใจออกมา รุ่นพี่นาคาจิมะหรี่ตามองผมเหมือนสัตว์ตระกูลแมวเจอศัตรู
“ขอโทษครับ”
“ฉันไม่ทำเรื่องไม่ดีอะไรแบบที่นายคิดหรอกน่า มินะก็อยู่ไม่เห็นหรือไง”
“…ก็ นั่นซินะครับ”
คุณคาวากุจิหันมามองทางเรา คงจะได้ยินชื่อตัวเองกระมัง ผมก้มหัวทักทายเธอเล็กน้อยแล้วหันมาฟังรุ่นพี่ต่อ
“เกิดเรื่องที่บ้านโอโตเมะนิดหน่อย ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เดี๋ยวต้องให้การกับตำรวจนิดหน่อยเพราะอยู่ในที่เกิดเหตุ”
รุ่นพี่นาคาจิมะอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ แล้วสั่งให้ผมกลับบ้านไปก่อน แถมบอกด้วยว่าห้ามบอกแม่ของเขาเด็ดขาด แน่นอนว่าผมตอบได้แค่คำว่า…
“ครับ”