ปกติแล้วในวันหยุดฉันมักจะนอนตื่นสายเล็กน้อย แต่ในวันหยุดที่มีภารกิจต้องทำจะให้นอนตื่นสายคงเป็นอะไรที่ไม่ดี

           ตอนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลานั้นพบว่าตนเองตื่นเร็วกว่าที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เกือบครึ่งชั่วโมง

           ภายในห้องมืดสนิท แสงสว่างเดียวที่มีให้เห็นคือแสงที่มาจากหน้าจอโทรศัพท์ หันไปมองหน้าต่างที่ปิดไว้ด้วยผ้าม่านตัดแสงก็ไม่เห็นร่องรอยของแสงสว่างจากภายนอกจะเล็ดลอดเข้ามา

           [‘หรือว่าวันนี้จะมีฝน?’] 

           ฉันลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเดินไปกดเปิดสวิตต์ไฟ แสงขาวจากหลอดแอลอีดีสว่างวาบขึ้นมาทันทีจนต้องหยีตา

           อาการสะลึมสะลือส่งผลให้สมองเอื่อยเฉื่อย ฉันนั่งเหม่ออยู่บนที่นอนตัวเองพักใหญ่จนกระทั่งสายตาชินกับความสว่างภายในห้อง หลังจากหาวฟอดใหญ่แล้วจึงลุกไปเข้าห้องน้ำ

           อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าภารกิจของฉันก็จะเริ่ม การติดต่อประสานงานระหว่างตัวแทนนักเรียนกับผู้จัดงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน

           ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ เหมือนเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วแค่ไปช่วยงานพวกรุ่นพี่และประธานเท่านั้น จะเรียกว่าเป็นการไปดูงานของพวกสภานักเรียนก็ไม่ผิดนัก

           ระหว่างสมองที่ยังมึนงงคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ร่างกายก็จัดการตัวเองไปในรูปแบบกึ่งอัตโนมัติ แต่สุดท้ายทั้งสองอย่างก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ในตอนที่ฉันอาบน้ำเสร็จ

           “อื้มมมม…คืนชีพแล้ววว…” 

           เสียเวลาฟื้นพลังหลังตื่นนอนในห้องน้ำอยู่พักใหญ่ ฉันพันห่อร่างกายด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำ

           ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศในห้องนั่งเล่นโชยมาปะทะให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น เวลาที่หยดน้ำบนตัวระเหยไปเพราะลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศมันให้ความรู้สึกสบายตัว เป็นความเย็นที่ชื้นๆ แห้งๆ ยังไงก็บอกไม่ถูก ฉันชอบความรู้สึกนี้และชอบตากเครื่องปรับอากาศหลังอาบน้ำใหม่ๆ โดยไม่เช็ดตัวให้แห้ง แต่แม่ชอบบ่นว่ามันจะไม่สบายเอาได้

           ภายในห้อง พี่กำลังดูโทรทัศน์พร้อมกับดื่มกาแฟหลังอาหาร เสียงของผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์กำลังรายงานสภาพอากาศ

           [‘หืมม…ฝนแค่ร้อยละ 40 เองหรอ’] 

           “…ตกมากในช่วงบ่ายและค่ำ…” 

           เสียงผู้ประกาศข่าวสาวยังคงดังออกมาจากโทรทัศน์ แต่ฉันเลิกสนใจแล้วเดินกลับห้องเพื่อไปแต่งตัวให้เรียบร้อย

           ถ้าฝนตก งานเทศกาลปีนี้ก็อาจจะมีปัญหาได้ แม้ว่าตัวเลข 60% จะมากกว่า 40% แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าฝนจะไม่ตก แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าจะตกตอนบ่ายหรือค่ำ ถึงตอนนั้นฉันก็น่าจะเสร็จงานและกลับบ้านแล้ว งานเทศกาลจะเป็นไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันแล้ว งั้น…

           “เอาร่มไปดีไหมนะ?” 

           หลังจากผ่านการคิดพิจารณาและไตร่ตรองอย่างรอบด้าน ฉันก็ออกจากบ้านโดยไม่ได้เอาร่มไปด้วย

           ท้องฟ้าสดใส แสงแดดที่ส่องลงมาเองก็ดูเหมือนจะแรงกล้าเป็นพิเศษ ยังหน้าฝนอยู่แท้ๆ ทำไมทำตัวเหมือนเป็นแสงแดดหน้าร้อนไปได้ ไม่เข้าใจพระอาทิตย์เลยจริงๆ

           ฉันคิดแบบนั้นขณะเดินมุ่งหน้าไปสถานี แล้วความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว

           …แดดแรงขนาดนี้ เขาทำการแสดงกันยังไง?

           เป็นความสงสัยที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้คิดถึงมาก่อน เนื่องจากได้ยินมาว่าครั้งนี้เป็นการจัดเทศกาลแบบเอาท์ดอร์ครั้งแรก สมองก็คิดเพียงว่าเป็นการแสดงโชว์กลางแจ้งตามปกติ แต่พอออกมาเจอแดดแบบนี้ก็อดฉุกคิดขึ้นมาไม่ได้

           “นิโนะมิยะ ขึ้นแสดงตอน 11 โมง ส่วนพวกปี 3 แสดงตอนบ่ายโมง แดดแบบนี้ได้เป็นลมกันหมดแน่ๆ” 

           ฉันเดินขึ้นรถไฟไปพร้อมกับความกังวลที่เกิดขึ้นจากข้อสังเกตที่ตัวเองเพิ่งค้นพบมุ่งหน้าสู่สถานที่จัดงาน

           แต่พอมาถึงสถานที่จัดงานฉันกลับพบว่าตัวเองเหมือนจะกังวลเกินเหตุ แล้วก็ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของการจัดงานแบบเอาท์ดอร์ผิดไปนิดหน่อย

           โดมแบบเปิดโล่งขนาดมหึมาที่น่าจะจุคนได้เป็นพันคนถูกเซตไว้ด้วยระบบไฟสุดอลังการ บนเวทีมีทั้งเครื่องเสียงและเครื่องดนตรีเซตไว้ให้พร้อมสรรพ

           รอบด้านรายล้อมไปด้วยร้านรวงมากมายที่มาออกบูธขายของ มองด้วยสายตาคร่าวๆ คงไม่ต่ำกว่าร้อยบูธ

           ส่วนทางเข้างานถูกกั้นด้วยรั้วเหล็กเป็นแนวยาว ตรงช่องประตูทางเข้ามีเจ้าหน้าที่สองคนเฝ้าอยู่ ข้างประตูเป็นป้อมเล็กๆ ที่ดูเหมือนทำจากกระดาษแข็ง ตามความเห็นส่วนตัวของฉันมันไม่น่าจะทนแดดทนฝนเท่าไรนัก

           ฉันยื่นบัตรนักเรียนเพื่อขอเข้าไปในพื้นที่จัดงาน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยื่นมือมารับบัตรแล้วมองดูเพียงเล็กน้อยก็ปล่อยให้ฉันผ่านเข้าไปได้

           ขณะที่กำลังเก็บบัตรนักเรียนที่ได้รับคืนมาก็มีเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง พอหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นเทพธิดากำลังลอยลงมา…

           ใบหน้าที่เรียบเนียนสวยได้รูปไม่แพ้ดารานักแสดง รูปร่างที่ได้สัดส่วนงดงามไม่แพ้นางแบบ ผมยาวดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ ให้ความรู้สึกเบาสบายและเป็นกันเอง

           เทพธิดาสุดคูล ทาเคโนะอุจิ ยูบิ

           ที่บอกว่าเห็นเทพธิดาก็ไม่ใช่ว่าฉันพูดเกินความจริง เพราะคนที่โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะต่างรับรู้กันว่าเธอมีฉายาแบบนั้น

           อันที่จริงหลังจากที่ได้รู้จักกับเธอ ฉันคิดว่าฉายานี้ไม่ค่อยจะเหมาะกับเธอเท่าไร ไม่ใช่ว่าเธอไม่สวยหรอกนะ ความสวยของเธอนั้นถ้าไม่นับรุ่นพี่คาวากุจิแล้วล่ะก็ ฉันว่าในโรงเรียนคงไม่มีใครเทียบเธอได้แล้ว แต่ที่บอกว่าเธอไม่เหมาะกับฉายาก็เพราะว่านิสัยจริงๆ ของเธอไม่ได้คูลอะไรขนาดนั้น

           ทาเคโนะอุจิ ยูบิ ก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงมัธยมปลายธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง แต่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ดึงดูดมากเกินไป ตอนที่อยู่ในที่สาธารณะเธอจึงต้องใส่หน้ากากเพื่อปกป้องตัวเองก็เท่านั้น

           ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงรู้…นั่นก็เพราะว่าเกือบสองเดือนมานี้ฉันกับคุณทาเคโนะอุจิเราทำงานสภานักเรียนด้วยกันและสนิทกันค่อนข้างมาก ถึงจะไม่มากเท่าเซริ แต่ก็มากกว่าเพื่อนร่วมห้องบางคนซะอีก

           “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณโอโตเมะ” 

           “อรุณสวัสดิ์คุณทาเคโนะอุจิ” 

           เราทักทายกันหน้าประตูทางเข้างาน ฉันรอให้เธอตรวจบัตรเสร็จแล้วจึงเดินเข้างานพร้อมกัน แม้จะรู้สถานที่นัดรวมตัวแต่เพราะไม่เคยมาสถานที่จริงทำให้ต้องเสียเวลาเดินหา และการมีเพื่อนร่วมเดินหาย่อมดีกว่าเดินหาคนเดียวอยู่แล้ว

           ฉันกับคุณทาเคโนะอุจิเดินคุยกันไปเรื่อยๆ หัวข้อส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดงานในครั้ง และในช่วงหนึ่งของการสนทนาฉันก็พูดถึงข้อกังวลของตนเองแล้วก็ต้องแปลกใจที่คุณทาเคโนะอุจิก็คิดแบบเดียวกัน

           [‘…หรือที่จริงคนอื่นๆ ก็คิดเหมือนกันนะ?’] 

           “อันที่จริงตอนที่ฉันเห็นโดมนั่นครั้งแรก ฉันก็เริ่มสับสนแล้วว่าเอาท์ดอร์กับกลางแจ้งนี่มันต่างกันยังไง” 

           “เอ๊ะ…คุณโอโตเมะก็สงสัยเหมือนกันหรอคะ?” 

           “เอ๊ะ?!…คุณทาเคโนะอุจิก็ด้วย?” 

           “หุๆๆ เรานี่มีอะไรเหมือนๆ กันหลายอย่างเลยนะคะเนี่ย” 

           คุณทาเคโนะอุจิยกมือข้างนึงขึ้นมาปิดปากนิดๆ ตอนหัวเราะ ดวงตาหยีลงเป็นแนวโค้งทำให้ใบหน้าที่อ่อนหวานอยู่แล้วดูอ่อนหวานขึ้นไปอีก

           ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังรู้สึกว่าเธอสวยมาก ถ้าบรรดาผู้ชายมาเห็นภาพตรงหน้าฉันตอนนี้คงได้มีใจละลายกันบ้างแน่ๆ

           “…ที่จริงถ้าสวยได้เหมือนคุณทาเคโนะอุจิอีกอย่างนี่ฉันว่าน่าจะดีมากเลยล่ะค่ะ” 

           ช่วงหนึ่งหัวข้อสนทนาเราเปลี่ยนมาเป็นเรื่องความสวยความงาม

           “แต่คุณโอโตเมะก็สวยอยู่แล้วนะคะ” 

           “สวยอะไรล่ะคะ ตั้งแต่จำความได้นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่มีใครที่บอกว่าฉันสวยเลย…” 

           – “เธอมีดวงตาที่สวยมากนะ “-

           คำพูดของเด็กผู้ชายร่างสูงดังขึ้นในหัว อาคิยามะ เออิชิ คนนอกครอบครัวเพียงคนเดียวที่บอกว่าฉันมีดวงตาที่สวย แบบนี้จะถือว่าเขาชมว่าฉันสวยได้ไหมนะ?

           “…คุณโอโตเมะ?” 

           “อ๊ะ…ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ถ้าสวยแบบคุณทาเคโนะอุจิก็คงดี” 

           คุณทาเคโนะอุจิยิ้มเฝื่อนให้ฉันแล้วถอนหายใจ

           “อันที่จริงฉันเองก็มีปัญหาเหมือนกันนะคะ” 

           “ปัญหา?” 

           “ใช่ค่ะ จะให้พูดเองก็ยังไงอยู่ แต่ฉันพอรู้ตัวว่าตัวเองมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตา เพราะแบบนั้นก็เลยเจอคนเข้าหาเพราะรูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างเยอะ บอกตรงๆ เลยค่ะว่าฉันไม่ชอบอะไรแบบนั้นเลย” 

           คุณทาเคโนะอุจิเล่าปัญหาของการเป็นคนสวยให้ฉันฟังด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ ฟังดูแล้วก็น่าเห็นใจเธออยู่ไม่น้อย

           “ลำบากแย่เลยนะคะ” 

           “แต่ตอนนี้ก็ชินแล้วล่ะค่ะ ไม่ลำบากเหมือนตอนที่ต้องรับมือเองคนเดียวแรกๆ” 

           รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณทาเคโนะอุจิอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่เธอจะยิ้มให้เพื่อนเท่านั้น เห็นแบบนั้นแล้วฉันก็ยิ้มตามพลางคิดในใจว่าคุณทาเคโนะอุจินี่เหมาะกับรอยยิ้มหวานแบบนี้มากกว่ารอยยิ้มหวานแบบการค้าที่เธอยิ้มตอนอยู่ที่โรงเรียน

           เราทั้งคู่เดินไปคุยไปจนถึงจุดนัดหมาย ไม่นานหลังจากนั้น งานของพวกเราก็เริ่มขึ้น

                                                                  —

           ก่อนอื่นเลยต้องยอมรับว่าประธานและรองประธานทำงานกันได้เก่งมากๆ พวกเธอและรุ่นพี่อีกสามสี่คนภายใต้การให้คำแนะนำของรุ่นพี่คาวากุจิสามารถทำงานต่างๆ ได้เสร็จเรียบร้อยโดยที่พวกฉันไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย

           “ดูแล้วก็ศึกษางานไว้ให้มากๆ ล่ะ ปีหน้าโรงเรียนก็ต้องพึ่งพวกเธอแล้ว” 

           ฟูจินาริ เมย์ ประธานนักเรียนคนปัจจุบันพูดกับพวกเราเหล่านักเรียนปีหนึ่งที่เป็นทีมสภานักเรียนของโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ ดูแล้วเป็นการฝากฝังงานล่วงหน้าที่นานพอดู

           หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตามที่วางแผนไว้ประธานก็อนุญาตให้พวกเราแยกย้ายกันไปตามใจชอบ เพราะเตรียมงานกันมาตลอดทั้งเดือนวันนี้จึงเป็นวันที่จะพักผ่อนให้เต็มที่

           ฉันกับคุณทาเคโนะอุจิและเพื่อนผู้หญิงอีกสามคนตัดสินใจเดินวนรอบๆ โดมจัดแสดงซึ่งมีร้านรวงมากมายมาตั้งขายของ

           มีทั้งร้านยากิโซบะ ทาโกยากิ ไทยากิ ราเมน น้ำปั่น ไอศกรีม ฯลฯ เยอะแยะไปหมด เห็นแล้วตาลาย น้ำลายก็พลอยจะไหลไปด้วย

           แม้จะกินมื้อเช้าง่ายๆ มาแล้ว แต่พอเห็นของกินแล้วก็ชักจะอยากกินขึ้นมาอีก แต่เพื่อนๆ คนอื่นไม่มีใครสนใจของกินเลย ฉันเลยไม่กล้าไปซื้อมากินคนเดียว

           พวกเรา 5 คนเดินเล่นดูของกระจุกกระจิกตามประสาเด็กสาว แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่มองมา เป้าของสายตาไม่ได้มุ่งมาที่ฉันโดยตรง แต่น่าจะพุ่งเป้าไปที่คุณทาเคโนะอุจิซึ่งอยู่ในกลุ่มเรา

           แต่เห็นเธอไม่ได้รู้สึกอะไร ฉันก็เลยไม่ต้องคิดกังวลอะไรให้มากความ ตามจริงแล้วฉันก็ค่อนข้างจะชินกับสายตาที่มองมาแบบนี้ เพราะตอนที่ออกไปข้างนอกกับรุ่นพี่คาวากุจิก็เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้บ่อยๆ

           เดินเล่นไปมาได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็พบว่าเป็นเวลาที่ใกล้จะถึงคิวขึ้นแสดงของพวกนิโนะมิยะแล้ว หลังพูดคุยกันพวกเรา 5 คนจึงตัดสินใจมุ่งหน้ากลับไปยังโดมการแสดงกัน

           ในตอนที่เดินกลับนั่นเองที่ฉันบังเอิญไปเห็นตู้คีบตุ๊กตาที่ข้างในมีตุ๊กตาหมีแฟรี่แบร์ ตัวการ์ตูนหมีสุดน่ารักที่มาพร้อมปีกและไม้กายสิทธิ์นางฟ้าวางตั้งอยู่

           [‘งื้ออออ อยากได้’] 

           ฉันร้องครวญครางในใจแต่จะบอกคนอื่นๆ ว่าอยากไปคีบตุ๊กตาตอนนี้ก็เกรงใจ แต่ใจมันก็อยากได้จริงๆ คิดไปคิดมาใช้เวลาไปราวสองวินาทีก็ตัดสินใจได้

           “เอ่อ…ทุกคน ฉันขอไปห้องน้ำแปบนะ ไปกันก่อนเลย เดี๋ยวตามไป” 

           พอบอกไปแบบนั้นคนอื่นๆ ในกลุ่มก็หันมาเออออแล้วบอกให้รีบตามมา ไม่งั้นจะไม่ทันดูนิโนะมิยะร้องเพลงะ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก

           พอโดนแซวแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนั้นฉันก็เกิดอาการแก้มกระตุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากหัวเราะกลบเกลื่อนไปก็แยกตัวออกมาได้สำเร็จ

           [‘จะให้คนอื่นรู้ว่าอยากมาคีบตุ๊กตาหมีน่ารักๆ แบบเด็กๆ ทั้งที่อยู่ ม.ปลายแล้วแต่ก็รู้สึกอายนิดๆ แฮะ รีบๆ จัดการให้เสร็จแล้วกัน’] 

           ฉันพกความมุ่งมั่นเต็มพิกัดควักเหรียญร้อยเยนออกมาแล้วหยอดตู้ทันที

           เสียงเหรียญกลิ้งลงไปในตู้ดังคลุกๆๆ สัญญาณไฟแสดงสถานะพร้อมทำงานสว่างขึ้นที่ปุ่มกดคีบ ฉันขยับคันโยกไปยังเจ้าแฟรี่แบร์ที่หมายตาไว้ เล็งอย่างดีก่อนจะกดปุ่มปล่อยที่คีบลงไปยังเป้าหมาย หึๆๆ …ของกล้วยๆ แค่จะสักเท่าไรเชียว…

           …ก็ ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ตอนที่เหรียญร้อยเยนเหรียญที่ 5 เพิ่งจะถูกใช้ไปแล้วยังคีบแฟรี่แบร์ขึ้นมาไม่ได้นั่นฉันก็คิดว่าตัวเองคงไม่มีวาสนากับเจ้าตุ๊กตาเหล่านี้แล้ว

           พอพลาดซ้ำกรรมก็ซัดต่อ หันหลังกลับมาก็พอดีเจอกับสายตาที่มองมาทางตัวเองพอดี

           แวบแรกฉันคิดว่าตายแล้ว แต่พอเห็นเขาหันไปมองทางอื่น หันไปหันมาเหมือนมองหาใครสักคน ฉันถึงได้ถอนหายใจออกมาว่าเขาคงไม่เห็นสภาพตอนที่ฉันพ่ายแพ้ย่อยยับให้กับเจ้าตู้คีบข้างหลังนี่

           แล้วเขาก็มองมาทางฉันอีก คราวนี้ไม่ผิดแน่ๆ มองมาที่ฉันชัวร์ๆ

           อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งเหมือนคนเล่นกีฬากลางแจ้งที่ดูแล้วมีมาดออกไปทางแบดบอยนิดๆ กำลังมองมาที่ฉัน

           ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเขามอง นั่นก็เพราะเรากำลังประสานสายตากันอยู่นี่ไง…เอาไงดี รีบหนีก่อนดีกว่า

ฉันค้อมศีรษะเล็กน้อยพยายามทำให้ดูเป็นการทักทายแล้วรีบเดินหนีออกมา สงสัยอยู่เหมือนกันว่าตัวเองพยายามหนีอะไรอยู่