เดินแหวกฝูงชนตรงทางเข้าโดมไปก็พอดีกับที่พิธีกรบนเวทีประกาศคิวการแสดงของโรงเรียนฮิบิยะ คิวแรกเป็นของนิโนะมิยะกับพวกรุ่นพี่ชมรมดนตรี ตอนที่ฉันเดินไปถึงก็พอดีกับที่พวกนั้นเริ่มแสดง

           ทันทีที่นิโนะมิยะจับไมโครโฟนและเริ่มการแสดงโชว์ เสียงกรี๊ดของบรรดาผู้หญิงในโดมก็ดังกระหึ่ม ปกติก็เป็นคนหล่ออยู่แล้ว ยิ่งแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วมาจับไมค์ร้องเพลงแบบนี้ยิ่งเพิ่มความเท่เข้าไปอีก

           คิดถึงตอนที่เดินกลับบ้านแล้วถูกสารภาพความรู้สึกเมื่อวันก่อนแล้วใจก็เต้นตึกตัก รู้สึกหน้าร้อนวูบแปลกๆ ถึงจะไม่ใช่การสารภาพรักอย่างเป็นทางการแต่ก็เรียกได้ว่ากึ่งๆ ทางการแล้ว

           ทำไมกันนะ คนที่หล่อและเท่ขนาดนั้นถึงได้มาสนใจฉัน หรือจริงๆ แล้วเขาแค่สนใจกันในฐานะเพื่อนไม่ใช่สนใจในฐานะคนรัก

           -“ผมสนใจคุณโอโตเมะน่ะ อย่าเพิ่งเข้าใจอะไรผิดนะ ผมสนใจคุณในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ผมอยากจะรู้จักคุณให้มากกว่านี้ เลยพยายามเข้าหาคุณ”-

           -“…ผมคิดว่าผมชอบคุณโอโตเมะนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก คือผมไม่เคยเข้าหาผู้หญิงก่อนเลย มีแต่ผู้หญิงเข้ามา แต่ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนก็เคยรู้สึกดีกับผู้หญิงคนอื่น แต่พอเพื่อนบอกว่าชอบผู้หญิงคนนั้นอยู่ผมก็ตัดใจได้ เลยไม่คิดว่านั่นคือความรู้สึกชอบ แต่พอฟังเพื่อนๆ คุย ผมก็รู้สึกกว่าความรู้สึกของผมตอนนั้นน่าจะเรียกว่าชอบได้ ผมสับสนพอสมควรเลย แล้วตอนนี้ผมก็รู้สึกดีกับคุณโอโตเมะอีก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าแบบนี้เรียกว่าชอบได้ไหม เลยอยากจะลองรู้จักคุณให้มากขึ้นน่ะ”-

           เสียงเพลงดึงสติที่ล่องลอยไปของฉันกลับมา บนเวทีนิโนะมิยะและพวกรุ่นพี่กำลังแสดงกันอย่างสุดฝีมือ ดูแล้วไม่อาจเทียบกับวงดนตรีมืออาชีพได้ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยสำหรับมือสมัครเล่น

           การแสดงแบบ non-stop รวดเดียว 4 เพลง คงสร้างภาระให้ร่างกายพอสมควร หลังจากขอบคุณคนดูแล้วฉันสังเกตว่านิโนะมิยะดูหายใจหอบแล้วก็มีเหงื่อออกมากพอสมควร

           แต่การแสดงก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยเฉพาะบรรดาสาวๆ นี่กรี๊ดกร๊าดกันหนักมาก เอาแค่รอบๆ ตัวฉันที่อยู่ในโซนเดียวกันก็มีเสียงตะโกน ‘นิโนะมิยะคูงงง’ กันแบบไม่มีใครยอมใคร

           แล้วการแสดงต่อจากนั้นก็ดำเนินต่อไป แต่ไม่มีทีมไหนที่เรียกเสียงจากสาวๆ ได้เท่าทีมของนิโนะมิยะอีกแล้ว

           ฉันและเพื่อนๆ ชมการแสดงกันจนเวลาประมาณ 11.30 น. เห็นจะได้ จากนั้นจึงเป็นช่วงพักกลางวันของการแสดงดนตรี คุณซาโต้หนึ่งในทีมสภานักเรียนจึงชวนทุกคนไปกินข้าวที่ร้านของเธอ

           เอาให้ถูกต้องคือร้านของทางบ้านของเธอที่มาออกบูธขายอาหารอยู่ในงาน และเพราะว่ามันใกล้จะเที่ยงแล้ว ทุกคนจึงไม่มีใครปฏิเสธ พวกเรา 5 คนจึงมุ่งหน้าไปหาแหล่งพลังงานให้ร่างกายตามที่คุณซาโต้บอก

           ร้านของทางบ้านคุณซาโต้หาไม่ยากเท่าไรนัก อยู่ไม่ห่างจากจุดที่เราอยู่เมื่อกี้สักเท่าไร ดังนั้นการเดินทางไปที่นั่นจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญญามันอยู่ตรงที่ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยงและทุกคนก็พักพร้อมกัน ดังนั้นร้านของคุณซาโต้จึงเต็มไปด้วยผู้คน

           “ขอโทษทีนะคะ ฉันไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” 

           คุณซาโต้ขอโทษพวกฉัน 4 คน ที่พามาเสียเวลา แต่ว่าก็ไม่ได้มีใครไม่พอใจ เราคุยกันว่าไหนๆ ก็มาแล้ว รออีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร คุณพ่อของคุณซาโต้ได้ยินดังนั้นก็รีบออกมาจัดการให้ แล้วในเวลาไม่นานเราก็ได้ที่นั่งในร้านมา 1 โต๊ะ นี่ซินะ อภิสิทธิ์ชน

           ด้วยความเกรงใจฉัน คุณทาเคโนะอุจิ และเพื่อนอีก 2 คนตัดสินใจสั่งราเมนที่เหมือนกันเพื่อความรวดเร็วในการทำ ส่วนคุณซาโต้ไปช่วยงานหลังร้านแล้ว

           ราเมนค่อนข้างจะถูกปากฉันพอสมควร ฉันเลยกินเร็วกว่าปกตินิดหน่อย เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเพื่อนๆ ยังกินไม่หมด พอยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำก็เกือบจะสำลักเพราะสายตาของคนรอบๆ ที่จ้องมองมา

           [‘ไม่เคยเห็นคนสวยกินราเมนหรือไงกันนะ’] 

           ฉันคิดอยู่ในใจ แล้วก็หันไปทางคุณทาเคโนะอุจิ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอไม่รู้ตัวหรือว่ารู้ตัวแล้วไม่สนใจ แต่ถ้าเป็นอย่างหลังฉันล่ะนับถือใจของเธอจริงๆ

           การที่สามารถมองข้ามสายตามากมายที่จ้องมองมาที่เราได้โดยไม่รู้สึกอะไรนับว่ามีจิตใจเข้มแข็ง โดยเฉพาะสายตาที่รับรู้ได้ว่ามองมาด้วยความไม่เป็นมิตร สายตาแทะโลม สายตาดูถูกเหยียดหยาม หรือโกรธเกลียด อาฆาตแค้น ฉันก็ยังไม่เคยเห็นคุณทาเคโนะอุจิจะใส่ใจกับมันเลยสักครั้ง เทียบกับฉันที่เจอกับสายตาที่จ้องมองมาตอนที่เกิดข่าวลือกับนิโนะมิยะแล้ว รู้สึกตัวเองรับมือได้ห่วยมากจริงๆ

           และเพราะตัวเองกินเร็วมากไปเลยทำให้ตอนนี้ว่าง ฉันมั่งมองไปรอบๆ ร้านโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน สังเกตได้ว่าตั้งแต่เข้ามาจนตอนนี้ร้านยังไม่ว่างแถมยังมีลูกค้ารอต่อคิวอยู่ ถือได้ว่าร้านของคุณซาโต้นี่ก็ขายดีอยู่ไม่ใช่น้อย

           พอมองเลยออกไปข้างนอกฝั่งตรงข้ามก็เห็นร้านขายของแฮนด์เมดจำพวกเครื่องประดับ ถัดไปอีกหน่อยเป็นร้านเสื้อผ้า อีกฝั่งหนึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับเช่นกัน

           กำลังมองดูเพลินก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา พอหันไปมองตรงตำแหน่งนั้นก็เห็นผู้ชาย 4 คน กำลังชี้ไม้ชี้มือมาทางโต๊ะพวกเรา ทั้งสายตาทางท่าทางพูดได้คำเดียวว่าน่าขยะแขยง

           ฉันละสายตากลับมาเพราะไม่อยากจะเสียสายตากับภาพที่เป็นมลพิษแบบนั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนอื่นๆ กินเสร็จพอดี 

           พวกเราสี่คนออกมาจากร้านโดยปล่อยให้คุณซาโต้ช่วยงานทางร้านตัวเองต่อไป ตั้งใจกันว่าจะเดินเล่นรอบๆ งานให้ทั่ว

           เนื่องจากท้องอิ่มแล้วทุกคนจึงลงความเห็นกันว่าเราจะผ่านร้านของกินที่มีอยู่ไปก่อน และเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเห็นควรเดินดูร้านที่ขายของน่ารักๆ กันจะดีที่สุด

           “งั้นก็ไปกันเลยย” 

           “““อื้มมม””” 

           ร้านที่มาเปิดบูธกว่า 70% เป็นร้านที่ขายอาหาร ที่เหลือจะเป็นร้านเสื้อผ้า ของใช้ ของที่ระลึก และร้านเกมชิงโชคต่างๆ ในประมาณที่เท่าๆ กัน

           ฉันและเพื่อนๆ เดินดูของน่ารักๆ ไปเรื่อยๆ และแวะร้านเกมชิงโชคที่มีรางวัลน่าสนใจบ้างเป็นบางร้าน

           คุณทาเคโนะอุจิได้พวงกุญแจเป็นรูปน้องหมาชิบะจากเกมยิงปืน แม้จะไม่ใช่รางวัลใหญ่แต่ก็ไม่ใช่จะยิงถูกกันง่ายๆ เพราะมันเล็ก ตอนที่เธอยิงได้ทำเอาคนที่มายืนดูและเจ้าของร้านฮือฮากันไม่น้อย

           เพื่อนอีกสองคนก็ได้ของติดไม้ติดมือกันมาบ้างคนละอย่างสองอย่าง ส่วนตัวฉันแห้วจากเกมปาลูกดอกที่มีรางวัลใหญ่เป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่พอๆ กับเด็กประถม เลยหาของปลอบใจตัวเองที่ร้านขายของที่ระลึก

           เห็นว่าเป็นของแฮนด์เมดชิ้นเดียวในโลกทั้งร้าน แถมราคาก็เป็นกันเองกับกระเป๋าสตางค์ของฉัน เลยตัดสินใจเดินเลือกสักสองสามชิ้นไปฝากพี่ด้วย

           แล้วหน้าร้านก็มีเสียงเอะอะลอยมา…

           ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก น่าจะเป็นพวกนิสัยไม่ดีที่ทำตัวไม่ดีตามนิสัยธรรมดา แต่พอเงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นว่าพวกเพื่อนๆ โดนล้อมไว้หมดแล้ว

           “เอ๊ะ!?” 

           ฉันยืนประมวลผลภาพที่เห็นตรงหน้าเล็กน้อยเพราะตามสถานการณ์ไม่ทัน ผู้ชาย 4 คนยืนล้อมเพื่อนๆ ฉันอยู่หน้าร้าน คุณทาเคโนะอุจิยืนประจันหน้ากับผู้ชายหัวทองที่มองยังไงก็ไม่เห็นออร่าของคนดี

           ข้างหลังเธอมีคุณซาโต้ที่เพิ่งกลับมาและเพื่อนอีกสองคนที่ดูท่าทางเหมือนจะกลัวกันอยู่ไม่น้อย

           [‘แล้วไหงคุณทาเคโนะอุจิถึงนิ่งขนาดนั้นล่ะ?’] 

           มองไม่เห็นความกลัวจากเด็กสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพธิดาประจำโรงเรียน จะมีก็แต่สายตาและการแสดงออกทางใบหน้าที่ชี้ชัดว่ารำคาญใจ

           “ไปกับพวกพี่ดีกว่าน่า รับรองว่าจะดูแลอย่างดีเลย ฮิๆๆ …” 

           ไม่พูดเปล่า หมอนั่นยื่นมือมาจะจับแขนคุณทาเคโนะอุจิแต่ไม่เห็นวี่แววทางท่างเธอจะหลบ หรือว่าเธอจะกลัวแต่ไม่แสดงออกนะ ไม่ได้การละ…

           “ช่วยด้วยค่า!! มีคนกำลังลวนลามพวกหนูค่า!!” 

           ทันทีที่ฉันร้องตะโกนออกไปทุกอย่างพลันหยุดนิ่ง เอิ่มมม…ทำเกินไปหรือเปล่านะ

           แต่จะมัวมาใส่ใจคนอื่นไม่ได้ ฉันเดินออกจากร้านขายของที่ระลึกไปยืนข้างคุณทาเคโนะอุจิ

           “พวกคุณจะลวนลามพวกเราหรอ? ชะ..ช่ว..ช่วยด้วยค่า” 

           ตีเนียนเล่นละครที่ใครก็มองออกว่าไม่เนียนแต่ฉันไม่สนใจ แค่ไล่พวกผู้ชายหน้าม่อพวกนี้ไปได้ก็พอ

           “ยัยบ้า ใครจะไปลวนลามเธอกัน หยุดร้องไปได้แล้ว” 

           ผู้ชายตรงหน้าที่เมื่อกี้ทำท่าเหมือนจะจับคุณทาเคโนะอุจิตวาดสวนมาทันที แล้วก็ดูเหมือนจะคิดไว้ว่าทำพลาด เขาหันไปมองรอบๆ ก่อนจะฟึดฟัดไม่พอใจแล้วพากันหนีไป

           “เฮ้อออ…ตกใจหมดเลย” 

           พอพวกนั้นเดินไปจนลับสายตาฉันก็ถอนหายใจออกมา ความกล้าเมื่อกี้เหมือนจะปลิวหายไปไหนหมดแล้ว

           “ยอดไปเลยคุณโอโตเมะ” 

           “ใช่ๆ สุดยอดเลย” 

           “ขอบคุณนะที่มาช่วย เมื่อกี้ฉันกลัวจนทำอะไรไม่ถูกเลย” 

           “นั่นซิ ขอบคุณที่มาช่วยฉันนะคะ” 

           “อะ..แฮะๆๆ ไม่หรอกๆ เพราะเห็นคุณทาเคโนะอุจิไม่กลัวน่ะ เลยกล้าฮึดขึ้นมาบ้าง…ว่าแต่คุณทาเคโนะอุจิไม่กลัวหรอ?” 

           “ก็นิดหน่อยค่ะ แต่เจอแบบนี้บ่อยจนชินแล้ว ถ้ามีการแตะเนื้อต้องตัวก็จะใช้กำลังตอบโต้ค่ะ เห็นแบบนี้แต่ฉันฝึกยูโดมาเหมือนกันนะคะ ตัวแค่นั้นน่ะทุ่มได้สบายเลย” 

           “““เอ๋?!….””” 

           ได้ยินคำอธิบายจากปากคุณทาเคโนะอุจิและพวกฉันก็ทำได้เพียงแค่อุทานพร้อมกัน คุณทาเคโนะอุจิหัวเราะเบาๆ ที่พวกเราทำเสียงประหลาดแบบนั้น อ่า…ผู้หญิงอย่างฉันยังเกือบใจเต้นเพราะรอยยิ้มของเธอเลย อยากสวยมั่งจังเลยยย…

           หลังผ่านเหตุการณ์ให้ตื่นเต้นกันไปแล้วพวกเราจึงกลับไปชมการแสดงดนตรีต่อ ดูจากเวลาแล้วใกล้ถึงคิวของโรงเรียนพวกเราอีกทีมหนึ่ง

           แล้วในที่สุดการแสดงดนตรีของโรงเรียนมัธยมก็จบลงทั้งสองทีม หลังจากพวกประธานกล่าวขอบคุณทางคณะผู้จัดเรียบร้อยแล้วเราก็หมดหน้าที่

           ใครอยากจะอยู่ต่อก็อยู่ได้ ส่วนใครจะกลับก็ไม่ว่ากัน ฉันมองท้องฟ้าที่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะเสียงฮึ่มกับเมฆดำใหญ่ๆ นั่น จึงตัดสินใจกลับบ้านพร้อมคนในสภานักเรียนส่วนใหญ่

           หลังแยกย้ายกันฉันก็รีบเดินกลับทันที สาเหตุที่ต้องรีบขนาดนี้เพราะเจ้าเมฆดำนั่นเคลื่อนตัวมาปกคลุมเหนือหัวฉันแล้ว

           ลมเย็นๆ ที่รู้สึกเหมือนมีละอองน้ำปะปนมาปะทะใบหน้าช่วยขับไล่ความร้อนอบอ้าวให้หายไปได้ แต่กลับเพิ่มความร้อนใจเพราะว่าฉันไม่ได้เอาร่มมาด้วย

           “รู้งี้เอาร่มมาด้วยซะก็ดี” 

           แต่ถึงจะบ่นไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะยังไงก็น่าจะเปียกฝนแน่ๆ ถ้ายังเดินต่อไปแบบนี้ หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือต้องหาร่ม

           นึกขึ้นมาได้ว่าทางไปสถานีมีร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ถ้าเร่งเท้าหน่อยน่าจะทันก่อนฝนตก

           ระหว่างรอข้ามถนนที่มีร้านสะดวกซื้ออยู่ฝั่งตรงกันข้ามฝนก็เริ่มปรอยลงมา พอสัญญาณไฟมาฉันมองซ้ายมองขวาอีกรอบแล้วจึงรีบวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อทันที

           “อ๊า…ฉิวเฉีย…!!” 

           ประตูร้านที่อยู่ตรงหน้าห่างไปแค่สามก้าวเปิดออก พร้อมกับกลุ่มผู้ชาย 4 คนเดินออกมา จังหวะเดียวกันกับที่ฉันหยุดพวกเขาก็หันมามองพอดี

           “อ๊ะๆๆ อ้าววว…น้องสาวเมื่อตอนนั้นนี่” 

           ผู้ชายผมทองคนก่อนหน้านี้ร้องทักขึ้นมาทันทีที่เห็นฉัน ดูจากท่าทางแล้วคงจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม แถมไม่พูดเปล่า ทั้ง 4 คน เดินมาล้อมฉันไว้แบบเงียบๆ

           ฉันหันหลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกปิดทางหนีเสียแล้ว

           [‘จะซวยอะไรขนาดนี้’] 

           หันซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นใครนอกจากรถยนต์ที่ขับผ่านไปมาบางคัน

           “จะไปไหนล่ะครับ อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนซิ ก่อนหน้านี้ยังตะโกนเสียงแจ๋วอยู่เลย” 

           “นั่นน่ะซิ เล่นเอาพวกเราถูกเข้าใจผิดไปเลย แบบนี้จะชดเชยให้พวกเรายังไงดีล่ะจ๊ะ” 

           “ถ้ายังไงไปหาที่เงียบคุยกันดีไหม เดี๋ยวพวกพี่เลี้ยงเอง” 

           วงล้อมถูกบีบเข้ามา ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเห็นว่ามีคนอยู่เยอะเลยกล้าที่จะไล่เจ้าพวกผู้ชายพวกนี้ไป แต่ตอนนี้บอกเลยว่าในใจฉันสั่นรัวไปหมด

           ความกลัวเป็นหนึ่งในอารมณ์ที่ทำให้คนเราเกิดการวัฒนาการย้อนกลับ ไอคิวลดต่ำ สติปัญญาหดหาย และมักทำอะไรๆ ผิดพลาดได้ง่าย หรือไม่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยเหมือนฉันในตอนนี้

           “เอ๊ะ!?!” 

           รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายสัมผัสเส้นผมซะแล้ว ฉันผวาหลบออกมาแต่ก็เกือบจะเข้าไปสู่อ้อมแขนของอีกคนแทน

           ขยะแขยง รังเกียจ กลัว อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ อารมณ์ต่างๆ ประดังประเดเข้ามา ฉันคิดว่ามันคงจะออกมาทางสีหน้าพวกผู้ชายที่ล้อมฉันอยู่ถึงได้หัวเราะชอบใจ

           ต้องตั้งสติ ต้องหาทางหนี ถึงสมองจะบอกแบบนั้น แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง คนพวกนี้ดูแล้วไม่น่าจะพูดคุยตกลงกันได้ ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ไม่ได้ จะเอายังไงดี…

           สมองพยายามคิดหาวิธีไปพร้อมๆ กับหลบเลี่ยงการแตะสัมผัสจากฝ่ายตรงข้ามที่พยายามจะเอื้อมมือมา