“กึก… ฮึก… ดีใชมากเลยค่ะ… เพราะ… คุณเจียนา… ยิ้มอยุ่… เวดมน… เกือบตาย… ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก…”

“เราเสียใจกับเรื่องที่เจ้าต้องเผชิญมานะ ไม่เป็นไรแล้ว เราอยู่ที่นี่แล้วนะ”

“…ฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นะคะ แต่ตอนที่ได้เห็นใบหน้าของท่านลีนที่กำลังร้องไห้อยู่แล้ว มีความรู้สึกบางอย่างครอบงำตัวฉันเลยค่ะ ท่านจอมมารพอจะทราบหรือไม่ค่ะว่านั่นคืออะไร?”

“กรี๊ด!!!”

“เอาล่ะๆ พอแค่นั้นแหละ เลิกทำให้ลีนกลัวได้แล้ว เธอเพิ่งจะ 5 ขวบเองนะ!”

 

พอท่านจอมมารมาถึง คุณเทียน่าก็ปล่อยฉันออกจากเถาวัลย์ที่มัดตัวฉันอยู่

สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อถูกปล่อยตัวคือวิ่งไปหลบข้างหลังท่านจอมมาร

คุณเทียน่าน่ากลัว ตลอด 22 ปีที่ผ่านมา ฉันยังไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย…

 

“ดูสิ เทียน่า! เธอตัวสั่นไปหมดแล้ว! เราบอกให้เจ้าสอนเวทมนตร์ให้ ไม่ได้ให้เจ้ามาทำให้เธอต้องเจอประสบการณ์ที่เลวร้ายไม่ใช่รึ!”

“คือ ฉันเห็นว่าเวทมนตร์นั้นจำเป็นต้องมีสัมผัสถึงอันตราย เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญมากสำหรับการใช้เวทมนตร์ ฉันจึงคิดว่าจะสอนสิ่งนั้นให้ร่างกายของเธอก่อนเลย…”

“นี่เจ้าไม่รู้จักคำว่า ‘ขอบเขต’ เลยหรือ? จริงอยู่ที่ไม่มีทางจะเสียชีวิตได้ แต่เวทมนตร์ของเจ้าก็เป็น 1 ใน 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพนะ! หัดรู้จักประมาณเสียบ้าง!”

“ข- ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ…”

 

…หือ? ‘1 ใน 3 ที่แข็งแกร่งที่สุด’?

 

“…เออ …คุณเทียน่าไม่ใช่จอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพจอมมารเหรอคะ?”

“เอ๋? ไม่ใช่ค่ะ มีนักเวทอย่างน้อยอยู่ก็ 1 คนที่เก่งกว่าฉันค่ะ เขาคือหลานชาย (ลูกของพี่สาว) ของฉันเอง เขาเป็นว่าที่ผู้บริหารของกองทัพจอมมารนี่แหละค่ะ”

“อ้อ เราไม่ได้อธิบายให้เจ้าสินะ ลำดับชั้นในกองทัพจอมมารนั้นไม่ได้เรียงตามความสามารถแบบ [12 อัครสาวก] ของพวกมนุษย์หรอกนะ”

 

ไม่ได้เรียงตามความสามารถงั้นเหรอ… แสดงว่าคุณเทียน่าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับ 3 ในกองทัพจอมมาร นอกเหนือจากจอมมาร ไม่ใช่แบบนั้นสินะ

 

“แต่อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเทียน่าก็นับเป็นบุคลากรชั้นยอดอยู่ดี กล่าวคือ ลำดับชั้นในกองทัพจอมมารนั้นขึ้นกับ ‘ผลงาน’ ที่พวกเขาได้ทำให้กับกองทัพ จำนวนมนุษย์ที่พวกเขาปราบได้ จำนวนเพื่อนพ้องที่ช่วยเหลือได้สำเร็จ และความสามารถในการบัญชาการของปัจเจก เกณฑ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสิน นอกจากนั้นก็มีงานเอกสารจำนวนมาก ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นจะต้องมีสติปัญญาอันดีด้วย เพียงสมองกล้ามอย่างเดียวไม่อาจเป็นผู้บริหารได้หรอกนะ”

 

…นี่แสดงว่าอารอนที่ถูกจอมมารซัดไปนั่น เขาก็เป็นคนฉลาดงั้นเหรอเนี่ย? เขาดูเป็นพวกสมองกล้ามมากกว่านะ สำหรับฉัน

 

“…ผลงานเป็นอันดับ 3 ของกองทัพ…”

“…ถึงเธอเป็นคนแบบนี้ (แอบเป็นสาย S) ก็เถอะ แต่กองทัพของเรานั้นก็ไม่อาจขาดฝีมือของเธอได้เลย เจ้าอยากรู้มั้ยว่าฉายาที่พวกมนุษย์ตั้งให้เธอคืออะไร?”

“…รู้สึกกลัวที่จะถามจัง …แล้วเธอถูกเรียกว่าอะไรเหรอคะ?”

“[ปีศาจ]… ตั้งฉายาแบบนั้นทั้งที่มีเผ่าปีศาจอยู่แล้วแท้ๆ”

“เป็นฉายาที่เหมาะมากเลยค่ะ”

“ทำไมทั้ง 2 คนถึงชมฉันขนาดนั้นล่ะคะ?”

““ไม่ได้ชมเจ้า/คุณเลย (ค่ะ)””

 

◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆◇◆

 

“คราวนี้ ฉันจะสอนเวทมนตร์ให้ท่านลีนแล้วนะคะ แต่ว่า…”

 

ท่านจอมมารให้บทลงโทษกับคุณเทียน่าไว้ว่าจะ ‘เปลี่ยนงานที่มอบหมายนี้ หากเธอทำอะไรแปลกๆ อีก’ ก่อนจะเดินทางกลับปราสาท

สำหรับคนที่เพิ่งประสบเหตุสะเทือนใจมาอย่างหนักมาเมื่อครู่ และพัฒนาความกลัวต่อคุณเทียน่ามาโดยสมบูรณ์ ฉันกังวลมากที่ต้องแยกจากท่านตอมมาร ฉันเลยพยายามอ้อนวอนไปทางสายตาระหว่างที่เราสบตากัน

ความหมายที่ถูกสื่อถึงกันในชั่วพริบตา แถมฉันยังได้การตอบสนองมาด้วย

 

(ได้โปรดเถอะนะ อยู่กับฉันต่อเถอะนะคะ)

(ขอโทษนะ เรายังมีงานอื่นต้องทำ)

 

และคำขอร้องเงียบๆ ของฉันก็ไม่เป็นผล ท่านจอมมารก็กลับไป

ส่วนฉันกับคุณเทียน่าก็เคลื่อนย้ายเข้ามาในห้องที่ดูคล้ายๆ ห้องเลคเชอร์ในมหาลัย

เธอบอกฉันว่าเธอจะสอนบทเรียนเวทมนตร์ที่นี่

 

“…เออ ท่านลีนคะ นั่งอยู่ไกลไปหรือเปล่าคะ? ขยับเข้ามาอีกหน่อยน่าจะ-”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

 

ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ฉันได้ยินคุณพูดเสียงดังชัดเจน จากเก้าอี้แถวสุดท้ายนะคะ

 

“อ- โอเคค่ะ ถ้างั้น ฉันจะเริ่มอธิบายเลยนะคะ อย่างที่ฉันเคยบอกไปก่อนหน้านี้ เวทมนตร์นั้นคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากพลังของการประมวลสูตรเวทมนตร์และพลังจินตนาการค่ะ จอมเวทชั้นหนึ่งนั้นจะสามารถรับมือกับทั้ง 2 สิ่งนี้พร้อมกันได้อย่างชำนาญ สามารถประกอบภาพขึ้นในหัวจนสมบูรณ์ได้ในทันที และก็ประมวลสูตรเวทมนตร์ให้เสร็จสิ้นได้ในชั่วพริบตาต่อมา และทำให้เกิดเวทมนตร์นั้นขึ้นมาค่ะ”

 

พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราสร้างภาพในจินตนาการขึ้นมาและประกอบสูตรเวทมนตร์ขึ้นตามภาพที่สร้างขึ้นมานั่น เวทมนตร์ก็จะเกิดขึ้นตามที่ตั้งใจไว้สินะคะ

 

“ในหมู่เผ่ามารของเรา ก้าวแรกของการเป็นผู้ใช้เวทมนตร์นั้นคือการพัฒนาพลังจินตนาการค่ะ”

“ในหมู่เผ่ามาร… แสดงว่าพวกมนุษย์ไม่เหมือนกันเหรอคะ?”

“ใช่ค่ะ มนุษย์นั้นล้าหลังกว่าพวกเรามากในด้านเวทมนตร์ แม้ว่าจะมีนักเวทคนอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเราเช่นกัน แต่ว่าพวกนักเวททั่วๆ ไปนั้นอ่อนด้อยกว่าพวกเราอยู่มากโขค่ะ”

 

อาชีพของคุณเทียน่าก็เป็นสายนักเวท แสดงว่าศัตรูของคุณแม่… ไอ้นอยน์หรือพวก [12 อัครสาวก] บางตัวก็คงจะเป็นอาชีพสายนี้เหมือนกันสินะ

 

“เวทมนตร์นั้นสามารถสร้างสรรค์ได้ทุกอย่างขึ้นกับจินตนาการของผู้ใช้เลยค่ะ แน่นอน ยิ่งมีความยากสูง ความอันตรายก็ยิ่งมากตามไปด้วย แต่ทางทฤษฎีแล้ว เราสามารถสร้างเวทมนตร์ต้นตำหรับได้อย่างไร้้ขีดจำกัดเลยค่ะ… อย่างไรก็ตาม พวกมนุษย์ร้องกู่ว่าเวทของพวกตนนั้นแข็งแกร่ง แต่กลับปิดกั้นตัวเองไว้จากความเป็นไปได้เหล่านั้นเสีย เทียบกับพวกเราที่ให้ความสำคัญกับจินตภาพและความสามารถในการประยุกต์แล้ว พวกมนุษย์กลับใช้งานเวทมนตร์ด้วยการท่องบทเพลงอะไรซักอย่างออกมาที่พวกมันเรียกเอาเองว่า ‘การร่ายเวท’ ค่ะ”

 

…ร่ายเวทเหรอคะ? นึกถึงพวกสาวน้อยเวทมนตร์เลย

 

“ดังนั้น เจ้าพวกนั้นจึงคิดในหัวว่า ‘ถ้าเราร่ายเวทบทนี้ เวทมนตร์แบบนี้จะเกิดขึ้น’ แล้วก็ร่ายบทเวทมนตร์ตามที่คิดอยู่ออกมา วิธีดังกล่ามีจุดเด่นในแง่ของความเร็วในการเรียนรู้ แต่ในระยะยาวแล้ว ฉันขอบอกเลยว่านั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาค่ะ เพราะมันกลายเป็นว่า ‘หากไม่ร่ายบทนั้น เวทมนตร์ก็จะไม่ทำงาน’ แทน”

 

โง่จริงๆ เจ้าพวกมนุษย์

 

“งั้นเราก็มาทดลองกันค่ะ ฉันจะลองประมวลสูตรเวทมนตร์ให้ดูก่อน ท่านลองดูแล้วเลียนแบบฉันดูนะคะ”

“อ่าว? จะดีเหรอค่ะ? ฉันนึกว่ามันจะอันตรายนี่คะ…”

“เวทที่เราจะลองกันคือ {ซอฟต์ วินด์ (ลมโชย)} ซึ่งแทบจะไม่มีอันตรายเลยค่ะ งั้น มาเริ่มกันเลยค่ะ”

 

จากนั้น คุณเทียน่ายกมือขึ้น และฉันก็รู้สึกถึงพลังเวทที่เข้มข้นขึ้นมาในมือของฉัน… อ้อ นี่เหรอคือการประมวลสูตรเวทมนตร์สินะเนี่ย ขนาดฉันยังรู้สึกได้ขนาดนี้เลย

แล้วความรู้สึกถึงสูตรเวทมนตร์ที่หายไปก็ถูกแทนที่ด้วยลมเบาๆ ที่พัดอยู่ในห้องเรียน

 

“นั่นคือวิธีการประมวลสูตรเวทมนตร์ค่ะ จับสัมผัสได้มั้ยคะ?”

“พอได้ค่ะ คิดว่างั้นนะคะ ฉันจะลองดูค่ะ”

 

อย่างที่คุณเทียน่าทำไปเมื่อกี้นี้ ฉันลองยกมือขึ้นก่อนจะประมวล ―――

อา…ประมวลอะไรหว่า?

 

“เออ… คุณเทียน่าคะ ฉันทำไม่ได้ค่ะ…”

“แหม ก็จริงนะคะ ฉันยังไม่ได้สอนพื้นฐานให้ท่านเลยซักนิด เพราะฉะนั้นถ้าท่านสามารถทำได้เลยจากการแค่มองครั้งเดียวแล้วทำตามล่ะก็ นั่นก็เหนือกว่าระดับอัจฉริยะไปแล้วล่ะค่ะ”

“ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แล้วยังจะให้ฉันทำแบบนั้นทำไมล่ะคะ!?”

“แหม ก็ฉันคิดว่าไม่แน่ ท่านลีนอาจจะเป็นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถเข้าถึงดินแดนนั้นก็ได้ค่ะ… เพราะดูแล้ว ท่านลีนมีพรสวรรค์ทั้งการต่อสู้ระยะประชิดทั้งการใช้เวทมนตร์ที่สูงเหมือนกันทั้งคู่ ถ้าท่านเป็นปีศาจขนานแท้เลยล่ะก็ ท่านก็อาจจะเข้าไปอยู่ในดินแดนนั้นก็ได้ค่ะ”

 

ว้าว ฉันนึกว่าเป็นเพราะความ S ในตัว แต่กลับเป็นเหตุผลที่ดีงั้นเหรอคะ

ขอโทษจากใจจริงเลยค่ะ

 

“จะว่าไป แล้วอัจฉริยะที่ว่านั่นคือใครเหรอคะ?”

“หลานชายของฉันที่ฉันเคยพูดถึงไงล่ะคะ เขายังเกิดมาไม่ถึง 100 ปีเลย แต่กลับมีความสามารถก้าวข้ามฉันไปแล้วค่ะ ในพวกเราเผ่าเอลฟ์ เราเรียกเขาว่า ‘อัจฉริยะฟ้าประทาน’ เลยล่ะค่ะ เพียงแค่ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ในการควบคุมหรือสั่งการผู้คนเลย ฉันเลยต้องรับหน้าที่นั้นแทนค่ะ”

 

สัตว์ประหลาดชัดๆ คนที่มีเวทมนตร์เหนือยิ่งกว่าคุณเทียน่าเนี่ยนะ

แถมเอลฟ์ยังมีอายุขัยยาวนานด้วย

แต่ฉันคงจะไม่ถามอายุของคุณเทียน่าดีกว่า ฉันไม่เหมือนพวกพระเอกที่ไม่มีความละเอียดอ่อนพวกนั้น ฉันเป็นผู้หญิงที่เข้าใจในมารยาทและความเหมาะสมนะ

 

“ฉันมั่นใจว่าเขาน่าจะเรียนรู้เวทมนตร์ชั้นสูงพิเศษได้หลายบทที่แม้แต่ฉันก็ไม่สามารถใช้ได้ด้วยค่ะ หากกองทัพจอมมารจะลองหยุดยั้งเขาล่ะก็ จำเป็นต้องใช้บุคลากรระดับหัวหน้าหน่วยซัก 2-3 คนที่มีพลังพอๆ กับฉันค่ะ… เผื่อท่านกำลังสงสัย นี่คือความสามารถของฉันค่ะ {สเตตัส}”

 

เทียน่า ฟอเรสเตอร์, ไฮเอลฟ์ Lv 141

คลาส (อาชีพ) : นักปราชญ์

สภาพ : สมบูรณ์

 

ความแข็งแกร่ง: 750

การป้องกัน: 2,400

พลังเวท: 14,280

การป้องกันเวท: 12,470

ความเร็ว: 6,480

 

เวทมนตร์: เวทมนตร์ธาตุ (ทั้งหมด), เวทพื้นที่, เวทจิต, เวทมนตร์แสง, เวทมนตร์ความมืด, เวทพินาศ, เวทสภาพแวดล้อม

 

…อะไรกันเนี่ย

ฉันกลัวจัง เวทพินาศนั่นมันอะไรกันน่ะ แถมยังพลังเวทที่เกินหมื่นนั่นอีก อย่างน่ากลัวเลย นี่ฉันถูกคนแบบนี้โจมตีใส่มาเหรอเนี่ย?

ขนาดคืนจันทร์เต็มดวง ฉันยังไม่มีทางชนะได้เลย