บทที่ 18 สหายที่ดีที่สุดของภรรยา (ปลาย)
เตียวหยาง รีบเดินไปหาหัวหน้าของเขาทันทีและเอ่ยว่า “หัวหน้า พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกให้เขาไปที่หอบรรพชน ทว่านอกจากปฏิเสธ เขายังทำร้ายข้าอีก! ท่านดูข้าสิ! เขาต่อยจมูกของข้าจนหัก!”
ซูอันเพียงมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอย่างใจเย็น แสดงเก่งจริง ๆ ทักษะการบิดเบือนข้อเท็จจริงของเขากนับว่าน่าประทับใจมากเลยล่ะ
เยว่ซานขมวดคิ้วเข้าหากัน เขามองจมูกที่เลือดออกของเตียวหยาง จากนั้นจึงมองไปยังซูอันที่ร่างกายเปียกโชกและถังน้ำที่อยู่บนพื้น จากสิ่งที่เห็นพวกนี้ เขาก็พอจะสามารถบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่
“ทุกคนกำลังรออยู่ที่หอบรรพชน แต่พวกเจ้าทั้งหมดกลับมาสร้างปัญหาขึ้นที่นี่น่ะหรือ? รีบไปที่นั่นโดยเร็ว! อย่าปล่อยให้นายท่านและนายหญิงต้องรอนาน” เยว่ซานเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ เขาไม่คิดจะสนใจเรื่องแบบนี้
เขาเองก็รู้ถึงนิสัยของเตียวหยางและรู้สึกเช่นกันว่าอีกฝ่ายสมควรถูกต่อยแล้ว แต่เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพูดปกป้องซูอันเช่นกัน เพราะเขาเองก็รู้สึกเหยียดหยามบุตรเขยผู้ขี้ขลาดตรงหน้า และมันก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับลูกน้องของตัวเองเพียงเพราะซูอัน
ซูอันกลอกตาอย่างใช้ความคิด และทันใดนั้นเขาก็ทรุดตัวลงและส่งเสียงร้องครวญครางออกมา “โอ้ยยย! ข้าเจ็บ เจ็บจนลุกจากเตียงไม่ไหวแล้ว!”
“เจ้าบาดเจ็บงั้นเหรอ?” เยว่ซานเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อดูอาการ แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นรอยแส้บนร่างของซูอัน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ซูอันลอบชื่นชมในความฉลาดของตัวเองที่ตัดสินใจที่จะเข้านอนด้วยชุดที่เปื้อนเลือดชุดนี้ในใจ จากนั้นจึงพูดว่า “ใช่แล้ว! เมื่อคืนนี้ คุณหนูรองมาที่นี่และฟาดข้าด้วยแส้คร่ำครวญของนางอยู่หลายครั้ง”
สีหน้าของคนทั้งหมดเองก็เปลี่ยนไปเช่นกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเองก็เคยลิ้มรสความทรมานจากแส้ของฉู่ฮวนเจามาแล้วเช่นกัน
มีเพียงเตียวหยางเท่านั้นที่ไม่เชื่อและเอ่ยว่า “เหลวไหล! เมื่อครู่นี้ที่เจ้าต่อยข้าเจ้ายังมีแรงอยู่เลย เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางที่เจ้าจะบาดเจ็บอะไรทั้งนั้น!”
“ทุกคนกำลังรออยู่ที่หอบรรพชน รีบไปที่นั่นก่อน ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าทะเลาะเบาะแว้งกันค่อยว่ากันทีหลังตอนนี้พวกเจ้าช่วยพยุงซูอันลุกขึ้นและแบกเขาไปที่หอบรรพชนซะ!” เยว่ซานเอ่ยขัดทั้งคู่
หลังจากที่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปนำเปลหามมา เขาจึงหันไปบอกให้เตี่ยวฉานไปทำแผล ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างหัวชนฝาและใช้ผ้าพันแผลที่จมูกเอาไว้ก่อนจะยืนยันที่จะไปที่หอบรรพชนเช่นกัน
เมื่อเยว่ซานหันกลับ เตียวหยางก็เดินเข้าไปหาซูอันและกระซิบข้างหูของอีกฝ่าย “อย่าได้ใจไป อีกไม่นาน เจ้าก็จะไม่ได้เป็นคนของตระกูลฉู่อีกต่อไป และเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะได้รู้ว่า ‘ชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าความตาย’เป็นยังไง!”
ซูอัน มึนงง ทำไมคน ๆ นี้ถึงได้มั่นใจนัก? หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องที่เขาปีนขึ้นเตียงของฉู่ฮวนเจาในคืนแต่งงาน? แต่ดูจากปฏิกิริยาของฉู่ชูเหยียนแล้ว ตระกูลฉู่ก็น่าจะไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนี้นัก…และนอกจากนี้ เขาก็ได้รับบทลงโทษจากฉู่ฮวนเจาแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ด้วยคำถามมากมายที่ในหัว เขาปล่อยให้ตัวเองถูกหามไปที่หอบรรพชนแต่โดยดี หอบรรพชนนั้นมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และตรงกลางของผนังด้านหลังก็มีป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘หอรำลึก’ ติดอยู่ ทุกตัวอักษรล้วนถูกแกะสลักอย่างประณีต มั่นคง และมีกลิ่นอายของความน่าเกรงขามแผ่ออกมา
ถัดลงมาจากป้ายคือภาพวาดเสมือนของคนสองคนแขวนอยู่ โดยมีบทกลอนเขียนไว้ด้านข้าง พวกเขาคือบรรพบุรุษของตระกูลฉู่ ส่วนถัดลงมาจากภาพมีกระถางธูป ป้ายชื่อ และเครื่องสักการะต่าง ๆ วางอยู่
ที่นั่งสองที่ถูกวางไว้เบื้องหน้าของกระถางธูป และพวกมันก็ถูกจับจองโดยชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ฝ่ายชายมีหนวดเครา แต่ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยนและดูภูมิฐาน
ส่วนฝ่ายหญิงนั้นมีคิ้วโก่งได้รูป ดวงตาที่นิ่งสงบราวกับสายน้ำ ผมของนางถูกม้วนเป็นมวยและปักด้วยปิ่นสีทอง รูปขนนกยูงทำให้นางดูเปล่งประกายอย่างผู้สูงศักดิ์
ซูอันรู้ทันทีว่าทั้งสองน่าจะเป็นผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลฉู่ ฉู่จงเทียนและภรรยาของเขา ฉินว่านหรู เมื่ออีกฝ่ายมองมาที่เขา เขากลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างแปลกประหลาด เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าของร่างคนก่อนคงจะเกรงกลัวหญิงวัยกลางคนอย่างมาก แม้กระทั่งตอนนี้ ความกลัวนั้นก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกาย
ทันใดนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นว่าผู้ชายคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นั่งต่างลอบมองไปที่ใครสักคน และวินาทีนั้น เขาก็เห็นว่าฉู่ชูเหยียนกำลังนั่งติดอยู่กับหญิงสาวอีกคนหนึ่งในชุดเสื้อสีแดงและกระโปรงสีดำ
คำเดียวที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ได้ก็คือ…สวย! ใบหน้ารูปไข่ดูนุ่มนวล และดวงตาที่ได้รูปราวเม็ดอัลมอนด์ของนางดูราวกับจะสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ ทุกตารางนิ้วของนางล้วนเปล่งรัศมีบางอย่างออกมา มีเสน่ห์เพียงพอที่จะสามารถทำให้ผู้ชายที่พบเห็นมีความคิดสกปรกเกี่ยวกับนางได้อย่างง่ายดาย
พระเจ้า! ใหญ่มาก! สายตาของซูอันจับจ้องไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงมองไปที่นาง!
ราวกับรู้สึกถึงสายตาของซูอัน ทว่านางไม่มีท่าทีไม่พอใจเลยสักนิด กลับกัน ใบหน้างามกลับปรากฏรอยยิ้มบางเบา และรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของนางก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกดีอย่างไม่รู้ตัว
จากที่ซูอันจำได้ ผู้หญิงคนนี้คือสหายรักของฉู่ชูเหยียน เพ่ยเหมียนหมาน นางคือคุณหนูแห่งตระกูลเพ่ยที่โด่งดังแห่งเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ นางได้เดินทางมาเที่ยวที่เมืองจันทร์กระจ่างและค่อนข้างที่จะสนิทกับฉู่ชูเหยียน
ในความจริงแล้ว มันยังมีคนอื่น ๆ ที่อยู่ในหอบรรพชนด้วย แต่เขาไม่มีเวลาที่จะมองดูให้ทั่ว สิ่งเดียวที่สามารถบอกได้มีเพียงใบหน้าที่บูดบึ้งของพวกเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ ดูจะพึงพอใจกับอาการบาดเจ็บของเขา
ใบหน้าของคุณหนูแห่งตระกูลฉู่ปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนจำนวนมากที่จ้องมองไปที่หน้าอกของเพ่ยเหมียนหมาน นางกระแอมออกมาเล็กน้อยและนั่นก็เหมือนจะทำให้ฉู่จงเทียนตกใจเช่นกัน ชายวัยกลางคนจึงรีบเอ่ยว่า “ซูอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงถูกเรียกตัวมาที่นี่?”
“ที่ข้าถูกเรียกมาที่นี่ก็เพราะว่าข้าแอบปีนขึ้นเตียงของน้องสะใภ้ในคืนวันแต่งงาน” ซูอันตอบ
“อุ๊บ!…” เสียงกลั้นหัวเราะดังขึ้น เพ่ยเหมียนหมานยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าของนางแดงขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดเลยว่านางไม่คิดว่าจะมีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่บนโลก
คนอื่น ๆ เพียงมองไปที่ซูอันด้วยแววตาขุ่นเคือง ไม่เพียงแต่ได้ทำสิ่งที่ไร้ยางอายลงไปเท่านั้น แต่ชายหนุ่มยังทำให้พวกเขาต้องเสียหน้าต่อหน้าตระกูลเพ่ยอีกด้วย ช่างสารเลวซะจริง ๆ!
แต่ก่อนที่ผู้นำตระกูลฉู่คนปัจจุบันจะได้มีโอกาสพูดอะไร นายหญิงของตระกูลก็เดือดดาลจนปาถ้วยชาในมือลงกับพื้น “ชั่วช้ายิ่งนัก! เจ้าภูมิใจกับเรื่องเลวทรามที่ตนเองได้ทำลงไปมากขนาดนั้นเลยเหรอไง?”
นางเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองของนางมาอย่างเคร่งครัด แต่เวลานี้ หนึ่งในนั้นกำลังถูกรังแก และมันผู้นั้นทก็กำลังพูดถึงสิ่งที่ตัวเองกระทำอย่างไม่รู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น!
———————————————————————————————
ท่านยั่วโมโหฉินว่านหรูได้สำเร็จ
คะแนนความโกรธแค้น +254!
———————————————————————————————
ทั่วทั้งหอบรรพบุรุษตกลงความเงียบ พวกเขาต่างรู้ดีว่าถึงแม้นายหญิงของพวกเขาจะเป็นคนที่มีเมตตามากแค่ไหนแต่นางก็เป็นคนที่เรียกได้ว่าอารมณ์ร้อนมากคนหนึ่งเช่นกัน