ความคิดเรื่อยเปื่อยที่ทำให้ใบหน้าร้อนวูบขึ้นมา อยู่ๆ ก็ใจเต้นแรง พอรับรู้ความผิดปกติของตัวเองแล้วก็ตกใจ

           [‘เป็นบ้าอะไรของฉันเนี่ย หมอนี่มีแฟนแล้วนะ…อ๊ะ? …มีแฟนแล้ว? …แล้วคุณหมีนี่ล่ะ?’] 

           แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่าเหมือนตัวเองกำลังทำเรื่องไม่ดีอยู่

           “เจ้าตัวนี้น่ะ ให้ฉันจะดีหรอ” 

           เผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปซะแล้ว อ๊า..ฉันละอยากจะบ้า อาคิยามะก้มมองฉันที่เดินอยู่ข้างๆ

           “ถ้าเธอไม่ชอบจะให้คนอื่นหรือทิ้งไปก็ได้” 

           เขาตอบคำถามฉันแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิด เวลาตานั่นไม่ได้มีแววของการล้อเล่น ทำเอาฉันสำนึกผิดแทบไม่ทันเลย

           “เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย ของที่คนอื่นตั้งใจให้มาก็ต้องเก็บไว้ดีๆ ซิ” 

           พอพูดไปด้วยท่าทางจริงจัง อาคิยามะกลับทำท่าทางเหมือนลำบากใจ เขาบอกว่าฉันสามารถทิ้งมันไปก็ได้เพราะมันไม่ใช่ของที่เขาตั้งใจหามาให้ฉันตั้งแต่แรก

           ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่ก็อดโหวงๆ ในใจไม่ได้ ฉันก้มหน้าตอบรับเขาไปเบาๆ ไม่รู้เขาสังเกตเห็นอารมณ์ของฉันหรือเปล่าแต่เขาก็ยังพูดต่อ

           “ที่จริงฉันเองก็ต้องขอโทษเธอด้วยที่อยู่ๆ ก็ยัดเยียดของไปให้ เพราะงั้นถ้าเธอไม่ชอบ ก็ไม่ต้องฝืนเก็บไว้หรอก” 

           “ไม่หรอก ที่จริงฉันชอบตุ๊กตาหมีมาก แถมตัวใหญ่ขนาดนี้เพิ่งเคยได้เป็นครั้งแรก แต่ก็อย่างที่นายว่านายไม่ได้ตั้งใจเอามาให้ฉันตั้งแต่แรก ฉันเลยกังวลว่าถ้าฉันเอาไปมันจะดีจริงๆ น่ะหรอ” 

           ความรู้สึกโหวงในใจเหมือนจะขยายใหญ่ออกไป ตอนแรกก็ไม่เข้าใจนักว่ามันเกิดจากอะไร แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันเข้าใจสาเหตุแล้ว

           “แบบนี้แฟนนายจะไม่ว่าหรอ?” 

           ที่มาของความรู้สึกผิดที่ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องไม่ดี แล้วก็ความรู้สึกโหวงๆ กลวงๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองได้รับของเหลือมาจากคนอื่น

           [‘นี่ฉันได้ของที่คนอื่นเขาไม่เอางั้นหรอ?’] 

           พอถามออกไปจริงๆ ก็รู้สึกเสียใจ แต่ปฏิกิริยาของอาคิยามะที่ได้ยินคำถามกลับเป็นการเดินสะดุดพื้นซะงั้น อารมณ์ที่กำลังดิ่งลงของฉันเลยหยุดชะงักไปด้วย

           [‘หมอนี่จงใจหรือเปล่าเนี่ย?’] 

           อาคิยามะมองหน้าฉันด้วยสีหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์ แต่หน้ากลับแดงนิดๆ สงสัยจะเขินแต่เก๊กเอาไว้ หลังทรงตัวได้เขาก็ตอบคำถามฉัน

           “ฉันว่าฉันบอกไปแล้วนะว่าตอนนี้ฉันไม่ได้คบกับใคร ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้เธอเพิ่งจะว่าฉันไปเองหน้าว่าหน้าตาเถื่อนไม่น่ามีแฟนน่ะ” 

           [‘ฮึ เจ้าผู้ชายเจ้าคิดเจ้าแค้น’] 

           ฉันบ่นในใจพอเป็นพิธีแล้วก็ตีหน้ายิ้มให้

           “ขอโทษ อันนั้นล้อเล่นน่ะ แต่เมื่อกี้ตอนที่เจอเพื่อนนายหน้าร้านสะดวกซื้อ เขาบอกให้นายกลับไปหาแฟนก่อนได้เลยน่ะ ไม่ได้หมายถึงแฟนนายหรอ?” 

           “หา??” 

           อาคิยามะทำหน้าเหวอๆ ออกมา สีหน้าประมาณว่าเธอพูดอะไรน่ะ สายตาของเขาที่มองมาที่ฉันเหมือนจะบอกว่าเขางงจริงๆ

           “เอ๊ะ??” 

           แล้วเราก็หยุดเดิน ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ไม่พูดไม่จา ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ใต้ร่มเดียวกัน ถ้าเป็นในการ์ตูนโชโจตาหวานที่เซริชอบอ่านนี่คงจะเป็นเหตุการณ์ก่อนสารภาพรักแล้วเดี๋ยวก็คงจูบกัน

           [‘เอ๊ะ จูบ? …นี่ฉันคิดอะไรเนี่ย?’] 

           “ใครเป็นคนพูดว่าให้ฉันกลับไปหาแฟนก่อนล่ะน่ะ” 

           ต้องขอบใจอาคิยามะที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนหลังจากเรายืนเงียบกันอยู่สักพัก ฉันเลยหยุดคิดเรื่องบ้าบอในหัวได้

           “ก็…เพื่อนนายไง น่าจะเป็นคนที่ตัวเตี้ยๆ หน่อยที่เดินออกมาคนแรกน่ะ” 

           ฉันตอบเขาไปแบบนั้น เพราะไม่รู้จักชื่อเพื่อนของเขาเลยบอกลักษณะไป แต่ไปบอกว่าเตี้ยนี่จะถือว่าบูลลี่กันไหมนะ

           พออาคิยามะนิ่วหน้า ฉันก็คิดว่าตัวเองคงเผลอทำเรื่องเสียมารยาทกับเพื่อนของเขาเลยทำให้เขาไม่พอใจ แต่พอมองดูดีๆ แล้วก็ดูเหมือนเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เพราะตอนนี้เขาเงยหน้ามองร่มเสียแล้ว

           “เพื่อนฉันพูดตอนไหน ตอนแรกที่พวกเขาออกมาจากร้านสะดวกซื้อ หรือตอนที่พวกเราจะหนีมา” 

           “อ๊ะ เอ่ออ ตอนที่เราจะหนีมาล่ะมั้ง อืมม..ใช่แหละ ตอนที่พวกเรากำลังจะออกมา” 

           ฉันตอบเขาตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะต้องนึกย้อนเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ แล้วก็เห็นเขาทำตาโตอ้าปากเหมือนจะร้อง อ้อ ออกมา แต่มันกลับไม่มีเสียงซะงั้น

           “โคสุเกะไม่ได้บอกว่าให้ฉันกลับไปหาแฟนก่อน แต่บอกให้ฉันพาแฟนกลับไปก่อน” 

           อาคิยามะทวนประโยคที่เพื่อนเขาบอกให้ฉันฟังอีกรอบหนึ่ง กลายเป็นว่าฉันฟังผิดไปซะอย่างงั้น

           [‘อะไรกันล่ะเนี่ย ไม่มีแฟนจริงๆ นี่นา ฮิๆๆ’] 

           “อ้าวหรอ ฉันก็นึกว่าให้นายกลับไปหาแฟนก่อน งี้นี่เอง ฉันฟังผิดซินะ แต่นายไม่มีแฟนแล้วบอกให้นายพาแฟนกลับบบ…” 

           พอโล่งใจแล้วก็รู้สึกอายที่ฟังอะไรผิดๆ เลยตั้งใจจะอธิบายไป แต่พอนึกได้ถึงความหมายของประโยคนั้นหัวใจดันเต้นรัวขึ้นมาซะเฉยๆ ความเขินอายในแบบที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีก็แล่นพรึบขึ้นมา คิดว่าหน้าคงจะแดงแน่ๆ

           “ฉันไม่ได้เป็นแฟนนายนะ!!” 

           ฉันหันกลับไปตะคอกใส่เขา อาคิยามะถึงกับชะงัก เผลอพูดปฏิเสธไปซะเต็มรูปแบบจนแม้แต่ตัวเองก็ยังตกใจ

           “ขะ..ขอโทษ” 

           อาคิยามะเพียงแค่มองฉันยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง เราสองคนเดินกันไปตามทางที่ฝนกำลังตก ละอองฝนที่ลอยมาปะทะใบหน้าเหมือนกับมีความน่าอึดอัดใจปะปนอยู่

           “ไม่ต้องขอโทษก็ได้ยังไงก็เป็นเรื่องจริงที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างฉันก็รู้มาว่าเธอกำลังมีฤดูใบไม้ผลิกับเด็กผู้ชายที่โรงเรียนอยู่” 

           “เอ๊ะ??” 

           “ขอโทษถ้าพูดอะไรที่เป็นการก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากคุณคาวากุจิ เหมือนเธอจะกังวลกับความรักของเธอครั้งนี้พอสมควร” 

           [‘อ๊ะ อะไรเนี่ย? ทำไมเรื่องมันถึงไปโผล่ตรงนั้นได้ล่ะ?’] 

           ฉันมองอาคิยามะที่หันมาขอโทษ แล้วก็คิดในใจว่าที่แท้คนอื่นก็คิดกันแบบนี้นี่เอง จริงอยู่ว่านิโนะมิยะบอกว่ารู้สึกดีกับฉันแต่เขาไม่ยังไม่ได้สารภาพรักมาตรงๆ หรือว่าขอคบเป็นแฟน ตัวฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขาด้วย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าถ้าเขามาสารภาพรักและขอคบกันจริงๆ จะเป็นยังไง

           [‘ไม่อยากให้เข้าใจอะไรกันไปเองแบบนี้เลย…อึดอัดจัง’] 

           เหลือบตาไปมองอาคิยามะก็เห็นเพียงแค่เขามองตรงไปข้างหน้า ขาก้าวไปสม่ำเสมอในความเร็วที่ดูเหมือนจะปรับให้เข้ากับฉัน

           “ฉันกับนิโนะมิยะคุงเราเป็นแค่เพื่อนกันน่ะ ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคนรักอะไรแบบนั้น” 

           พอพูดออกไปแบบนั้นก็รู้สึกแปลกเลยกอดคุณหมีแน่นขึ้น รู้สึกได้ว่าอาคิยามะกำลังมองมา

           “งั้นหรอ…” 

           เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรต่อแต่ก็เงียบไป เราเดินกันไปเงียบๆ ท่ามกลางเสียงฝนที่ตกลงมา ความชื้นแฉะและความเย็นจากฝนทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด

           “ส่งแค่นี้ก็ได้” 

           หลังจากเดินมาจนถึงสถานีรถไฟ อาคิยามะก็ไม่มีวี่แววว่าจะขอแยกตัวกลับไป เขาเดินนำฉันไปที่ช่องตรวจตั๋วและกำลังจะผ่านเข้าไปตอนที่ฉันร้องทัก

           “แต่เธอจะเปียกเอานะตุ๊กตาก็จะเปียก ตัวใหญ่ขนาดนั้นทำความสะอาดยากเอาเรื่องเลยนะ” 

           อาคิยามะหันมาพูดกับฉันแล้วก็เดินย้อนกลับมา คงกลัวว่าจะขวางทางคนอื่นๆ

           “กว่าจะถึงฝนก็น่าจะหยุดแล้ว หรือถ้ายังไม่หยุดเดี๋ยวฉันซื้อร่มที่หน้าสถานีเอาก็ได้” 

           “ไม่อยากให้ไปส่ง?” 

           “เปล่า ฉันเกรงใจ แค่ที่นายช่วยฉันออกมาจากผู้ชายสี่คนนั้นก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว” 

           “ไม่ได้ลำบากใจที่ฉันจะไปส่งที่บ้านใช่ไหม?” 

           “เปล่า ไม่ได้คิดแบบนั้น แค่…เกรงใจ” 

           “งั้นไปกันเถอะ เรื่องเกรงใจก็ไม่ต้องคิดมากหรอก แค่เธอช่วยรับตุ๊กตาหมีไปก็ช่วยฉันได้มากแล้ว ก็ถือว่าเราหายกันก็แล้วกัน ป่ะ…” 

           อาคิยามะตัดบทสนทนาแค่นั้นแล้วก็เดินนำผ่านช่องตรวจตั๋วไป ทั้งที่ตัวเองไม่ต้องลำบากมาวุ่นวายกับฉันก็ได้แต่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วยกัน

           คิดถึงตอนที่ถูกพวกผู้ชายไม่ดีพวกนั้นล้อมไว้ใจก็สั่นจนมือไม้อ่อน ถ้าตอนนั้นอาคิยามะไม่เข้ามาช่วยฉันจะเป็นยังไงกันนะ

           เงยหน้ามองไปข้างหน้าก็เห็นอาคิยามะยืมมองมาจากอีกฝั่งของเครื่องกั้น

           [‘เหหห…ทำหน้าแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี่ย?’] 

           เป็นใบหน้าดูทั้งกังวลและคาดหวังแต่ก็อ่อนโยนอยู่ในที เป็นสีหน้าที่มีอารมณ์มากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็น

           ฉันก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนรอยยิ้มไว้หลังหัวของคุณหมี ก่อนจะเดินตามอาคิยามะไป

           ทว่าสุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไรกับฉันอีกเลย จะไปโทษเขาก็ไม่ได้เพราะฉันเองก็นึกหาเรื่องพูดกับเขาไม่ออกเหมือนกัน บรรยากาศผ่อนคลายก่อนหน้านี้เลยอึดอัดขึ้นมา

           [‘ทำไมรู้สึกคุ้นๆ กับสถานการณ์นี้จังเลยนะ’] 

           ฉันคิดในใจในขณะที่แอบมองอาคิยามะไปด้วย เขายืนพิงประตูและมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าที่อ่านอารมณ์ไม่ออก บอกตรงๆ ว่าฉันไม่ค่อยชอบสีหน้าแบบนี้ของเขาเลย เพราะมันทำให้เขาดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้

           พอเลื่อนสายตาลงมาก็สังเกตเห็นว่าแขนเสื้อกับกางเกงข้างขวาของเขาเปียกอยู่ ถึงจะไม่ได้เปียกชุ่มแต่ก็คงน่ารำคาญไม่น้อย ส่วนสาเหตุที่เปียกก็คงเพราะแบ่งร่มมาให้ฉัน

           ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจ ทั้งได้เขาช่วยจากพวกคนไม่ดี พามาส่งถึงสถานีแบบไม่เปียกฝนสักเม็ด แล้วก็ยังได้ตุ๊กตาคุณหมีตัวอย่างใหญ่ที่ถึงจะได้มาแบบฟลุ๊คๆ แต่เขาก็ตั้งใจให้ฉัน

           แบบนี้จะขอโทษแล้วก็ขอบคุณเขายังไงดี

           เราลงจากรถไฟที่สถานีใกล้โรงเรียนจากนั้นจึงเดินต่อไปยังบ้านฉัน เมฆฝนที่เคยบดบังท้องฟ้าหายไปแล้วเผยให้เห็นแสงแดดแรงกล้าที่ส่องลงมา

           อาคิยามะเดินตามมาส่งฉันเงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่เดินออกจากช่องตรวจตั๋วตอนนั้น ฉันอยากจะชวนเขาคุยแต่ใบหน้านิ่งๆ นั่นก็ไม่รู้คิดอะไรอยู่ จนพลอยทำให้ฉันนึกเรื่องคุยไม่ออก

           [‘อยากคุยแต่นึกเรื่องคุยไม่ออกนี่มันอึดอัดดีแท้ เฮ้อ…’] 

           ถอนหายใจเงียบๆ อยู่ในใจคนเดียว ถึงจะอึดอัดที่ไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเดินด้วยกัน เป็นความย้อนแย้งที่แปลกจริงๆ

           “ขอโทษที่รบกวนนะ ขอบคุณที่มาส่ง แล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องอื่นๆ ด้วย ทั้งที่ช่วยฉัน ทั้งเรื่องคุณหมี” 

           ฉันบอกอาคิยามะที่ยืนอยู่ตรงหน้า ข้างหลังคือประตูบ้านของฉันเอง หรือก็คือเราทั้งคู่มาถึงแล้ว

           อาคิยามะทำหน้างงๆ แล้วก็พูดว่า “คุณหมี?” เบาๆ เหมือนกำลังสงสัย เห็นแบบนั้นฉันเลยฉุกคิดได้ว่าตัวเองเผลอระเบิดตัวเองออกไปซะแล้ว

           เป็นความจริงที่ความชอบส่วนบุคคลเป็นเรื่องของใครของมัน และความจริงที่ฉันชอบตุ๊กตาหมีมากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร แต่การที่จะให้เด็ก ม.ปลาย มาเรียกตุ๊กตาว่าคุณอย่างนั้น คุณอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นมันก็น่าอายเกินไป ไม่ใช่เด็กประถมแล้ว

           ฉันรู้ตัวว่าความอายไต่ระดับขึ้นมาแล้วไม่รอช้ารีบส่งแขกก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาให้ตัวเองอายไปมากกว่านี้

           “อะ…อื้ม ไงก็ขอบคุณนะ กลับดีๆ ล่ะ บาย” 

           แล้วก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านทันที

           “อ๊า…ทำบ้าอะไรไปเนี่ยตัวฉ้านนน…งื้ออออ…” 

           ซุกหน้าลงไปบนหัวคุณหมีหวังว่ามันจะช่วยดับความร้อนที่เห่อขึ้นมาบนใบหน้าได้ แต่พอคิดถึงคนที่ให้คุณหมีมากลับกลายเป็นว่าหน้าได้ร้อนยิ่งกว่าเก่า

           “ไม่รู้ไม่ชี้ด้วยแล้ว” 

           พูดกับคุณหมีที่อยู่ในมือ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองตอบมาที่ฉัน ขนนุ่มฟู หูเล็กๆ กับปากที่เย็บเป็นรอยหยักยิ้ม ยิ่งจ้องมองก็เหมือนยิ่งถูกจ้องกลับจนเผลอยิ้ม

           “แฮะๆ น่ารัก”