ตอนที่ 31 สัปดาห์ที่ 11 อาคิยามะ เออิชิ (4)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

วันนี้เป็นเช้าไร้ฝนที่หาได้ยากสำหรับช่วงเดือนมิถุนายนที่ฝนมักจะตกบ่อยๆ

           นาฬิกาชีวิตปลุกผมให้ตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมยามเช้าที่ตนคุ้นเคย

           หลังจากนอนกะพริบตาเฉยๆ อยู่สักราวๆ นาทีสองนาที ผมก็ลุกขึ้นค่อยๆ เก็บฟูกนอนแล้วออกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน

           ในตอนที่ร่างกายกำลังปฏิบัติกิจส่วนตัวไปอย่างอัตโนมัติ ในหัวของผมก็ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปพลางๆ

           เมื่อวานนี้ที่บ้านของโอโตเมะ อามายะ เกิดเรื่องขึ้น

           ผู้ชายสองคนพยายามบุกเข้าบ้านของเธอตอนที่ไม่มีใครอยู่ แถมผู้ชายสองคนนี้ยังไม่ใช่ใครอื่นไกลแต่เป็นสองคนที่ผมเคยเจอเมื่อก่อนหน้านี้ คนที่ทำท่าทางน่าสงสัยอยู่หน้าบ้านโอโตเมะนั่นเอง

           ทันทีที่ผมบอกเรื่องคนน่าสงสัยกับรุ่นพี่นาคาจิมะ พวกรุ่นพี่ก็ติดต่อกับพี่สาวของโอโตเมะทันทีและช่วยกันวางแผนจนนำมาสู่การจับกุมคนร้ายได้ในที่สุด

           ตอนที่ฟังเรื่องราวจบ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือนี่มันใช่เรื่องจริงหรือเปล่า ทำไมเรื่องราวมันเหมือนกับภาพยนตร์ที่พวกแก๊งตัวเอกที่เป็นนักเรียน ม.ปลาย วางแผนจับผู้ร้ายไร้สมองที่มักโชคร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ

           “อย่างกับละครหลังข่าวเลยครับ” 

           ผมคอมเมนท์ไปหลังฟังจบ และรุ่นพี่นาคาจิมะก็พยักหน้าเห็นด้วย รุ่นพี่บอกว่าพวกเขาแค่จะลองเฝ้าจับตาดูเฉยๆ แต่กลายเป็นว่าคนร้ายดันเดินเข้ามาให้จับเองซะงั้น

           ส่วนเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังจะเป็นอย่างไร ทำไมสองคนนั้นต้องพยายามแอบเข้าบ้านของโอโตเมะคงต้องรอตำรวจสอบปากคำทั้งคู่อีกที ซึ่งเรื่องนี้ได้ความอย่างไรตำรวจจะรายงานไปที่เจ้าของบ้านเอง

           ผมวางความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แค่นั้น ก่อนจะสวมรองเท้าแล้วเปิดประตูบ้านออกไป

           ท้องฟ้าที่ยังไม่สว่างดีมีเมฆค่อนข้างมาก ความชื้นในอากาศที่ค่อนข้างมากทำให้ไม่รู้สึกว่าอากาศร้อนจนเกินไป แต่ก็ทำให้เหงื่อที่ออกมาไม่ระเหยไปโดยง่ายเช่นกัน

           ผมกลับจากการจ๊อกกิ้งในสภาพที่เหงื่อท่วมเต็มตัว รุ่นพี่นาคาจิมะยังไม่ตื่นนอน ส่วนพ่อแม่ของรุ่นพี่กำลังนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

           “กลับมาแล้วครับ” 

           “อ้าว…ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วมากินข้าวกันลูก” 

           “ครับ อรุณสวัสดิ์ครับคุณพ่อ” 

           “อรุณสวัสดิ์เออิชิ ขยันแต่เช้าเหมือนเดิมนะ” 

           ผมพูดคุยกับพ่อของรุ่นพี่นาคาจิมะอีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปชำระล้างร่างกายตัวเอง ความเย็นจากน้ำช่วยให้ความเหนอะหนะหายไปแทนที่ด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

           หลังแต่งตัวเสร็จผมจึงกลับมาเข้าครัวช่วยแม่ของรุ่นพี่ทำอาหาร

           กว่ารุ่นพี่นาคาจิมะจะลงมาจากห้องนอนก็ปาไปเกือบแปดโมงเช้า เขาเข้ามาทักทายผมที่เตรียมตัวสำหรับการออกไปเที่ยวงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนเสร็จแล้วและกำลังนั่งกินข้าวเช้าอยู่

           “ไหนว่าไม่สนใจ แล้วทำไมเตรียมพร้อมแต่เช้าเชียว” 

           “อ๊ะ อรุณสวัสดิ์ครับ…ก็เจ้าพวกนั้นส่งข้อความมาตามไม่หยุดน่ะซิครับ” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะฟังคำตอบผมแล้วร้องอ่อออกมาคำนึง เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ และรับถ้วยซุปมิโซะที่ผมส่งให้

           “แล้วรุ่นพี่นัดคุณคาวากุจิไว้ตอนไหนหรอครับ” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะพ่นลมร้อนจากการซดซุปออกจากปาก ก่อนจะหันมาตอบผม

           “มินะให้ไปถึงตอน 10 โมงครึ่ง เห็นว่าตัวแทนโรงเรียนทีมแรกที่ขึ้นโชว์จะเริ่มตอน 11 โมงน่ะ” 

           ผมพยักหน้าตอบเพราะไม่สามารถพูดตอบได้เนื่องจากยังมีไก่อยู่ในปาก รุ่นพี่เองก็ไม่ได้สนใจจะมองผมมากไปกว่ามองชามข้าว

           “แล้วนายจะไปตอนไหน ออกไปพร้อมฉันเลยไหมล่ะ” 

           “ก็ดีครับ พวกนั้นนัดผมตอน 9 โมง แต่บอกตรงๆ เลยว่าไม่รู้จะไปทำอะไรตั้งแต่ไก่โห่ขนาดนั้น” 

           รุ่นพี่นาคาจิมะพึมพำว่า นั่นซินะ พร้อมกินข้าวไปด้วย ผมเองก็กำลังอร่อยกับกับข้าวฝีมือแม่รุ่นพี่ บทสนทนาจึงจบลงแค่ตรงนั้น

                                                                  —

           ตอนที่เดินไปบนทางเท้าที่มีผิวตะปุ่มตะป่ำผมก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจว่าคนออกแบบคิดอะไรอยู่ตอนที่ออกแบบมัน

           แม้จะอ้างว่ามันมีส่วนช่วยให้เลือดลมที่เท้าไหลเวียนได้ดีเป็นการนวดเท้าไปในตัว แต่หากมองถึงความลำบากในการเดินโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่พื้นมักจะเปียกชื้นและมีตะไคร่ขึ้นนั้น บอกเลยว่าไอ้พื้นตะปุ่มตะป่ำนี่นวดก้นให้ใครต่อใครมานักต่อนักแล้ว

           ในตอนที่กำลังสงสัยในตัวนักออกแบบถนนอยู่นั้น ผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะก็พาตัวเองมาจนถึงสถานที่จัดงานจนได้

           ก้มมองโทรศัพท์ในมือก็พบว่าเป็นเวลา 10 โมง เลยเวลานัดกับพวกโคสุเกะไปชั่วโมง แต่เพราะแจ้งไปแล้วว่าจะออกมาพร้อมกับรุ่นพี่นาคาจิมะ เจ้าพวกนั้นจึงไม่ว่าอะไร

           ‘ถึงแล้ว อยู่ตรงไหน?’ 

           ข้อความถูกส่งออกไป ผมเงยหน้ามองไปรอบๆ สถานที่จัดงาน โดมขนาดใหญ่ที่รอบด้านเปิดโล่งนั่นคงเป็นที่สำหรับจัดแสดงดนตรี ส่วนรอบๆ ก็มีร้านที่มาตั้งขายของกันอย่างครึกครื้น

           สมแล้วที่เป็นงานเทศกาล

           เพราะยังไม่มีข้อความตอบกลับมา ผมจึงตัดสินใจติดตามรุ่นพี่นาคาจิมะไปจุดนัดพบกับคุณคาวากุจิก่อน

           เราเดินลัดเลาะบริเวณด้านข้างโดมเข้าไปในพื้นที่จัดงานด้านใน ระหว่างทางก็เจอคนที่มาร่วมกันบ้างแต่ไม่เยอะถึงขั้นแออัดแถมส่วนมากเป็นนักเรียน

           เนื่องจากตารางการแสดงส่วนใหญ่ในตอนเช้าจะเป็นของบรรดานักเรียน ม.ปลาย ส่วนบ่ายจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และค่ำจะเป็นวงดนตรีอาชีพ อาจจะมีปรับเปลี่ยนไปบ้างแต่ไม่ห่างไกลจากนี้นัก

           ดังนั้นแล้วช่วงเช้าแบบนี้บรรดานักเรียนและเหล่าผู้ปกครองที่มีส่วนร่วมกับงานจึงทยอยมาร่วมกันแล้ว

           ตอนที่เดินไปถึงก็เป็นเวลา 10 โมงครึ่งพอดี คุณคาวากุจิและเพื่อนๆ ของเธอกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงนั้น

           พอเธอหันมาเห็นรุ่นพี่กับผมเดินมา เธอก็หันไปพูดอะไรกับเพื่อนเล็กน้อยแล้วแยกตัวออกมาหาเรา

           “อรุณสวัสดิ์มินะ ขอโทษที รอนานไหม?” 

           “อรุณสวัสดิ์ รอไม่นานหรอก พอดีต้องมาช่วยรุ่นน้องในสภานักเรียนน่ะเลยออกมาเร็วกว่าที่นัดไว้…อรุณสวัสดิ์อาคิยามะ” 

           “อรุณสวัสดิ์ครับ” 

           เราสามคนทักทายกันเล็กน้อย จากนั้นคุณคาวากุจิก็พาเราไปตรงจุดตำแหน่งที่จัดไว้ตามบัตรเข้างาน แน่นอนว่าเป็นโซนของโรงเรียนฮิบิยะ

           ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นลมหายใจผมก็สะดุดกึกไปช่วงหนึ่ง เพราะไม่เคยมางานเทศกาลนี้เลยจึงไม่รู้ว่ามีการแบ่งโซนชมดนตรีตามบัตรเข้างาน แบบนี้งานจะไม่เข้าผมเอาหรือไง

           [‘คงไม่ได้มากันหรอกมั้ง?’] 

           ระหว่างเดินไปก็ภาวนาในใจไปด้วย แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ยังไม่ทันเดินถึงจุดรวมพลดีสายตาผมก็สอดส่องไปเห็นโจทก์เก่าอยู่ตรงนั้นกันพร้อมหน้า อา…กฎเมอร์ฟี่นี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

           ผมหันไปบอกรุ่นพี่ทั้งสองว่าจะขอไปห้องน้ำก่อนแล้วจะรีบตามไป พูดเสร็จก็ไม่รอให้ใครทักท้วง หันหลังได้ก็สาวออกจากตรงนั้นทันทีโดยมีเสียงของรุ่นพี่นาคาจิมะดังมาแว่วๆ ว่าคงจะปวดหนักมาจริงๆ

           พอเดินออกมาพ้นจากบริเวณนั้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กดูแต่ก็ยังไม่มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด งั้นโทรหาเลยละกัน

           คนแรกคือโคสุเกะ ไม่รับสาย คนต่อมาคือโมโมสุเกะ ก็ไม่รับสาย คนสุดท้ายคือจิน ก็..ยังไม่รับสาย ให้มันได้อย่างนี้ซิเพื่อน

           ทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่นอยู่ในใจ ในตอนที่หันไปหันมา สายตาก็ดันไปประสานกันกับสายตาที่มองตรงมาที่ผม

           หืมมม…?

           โอโตเมะ อามายะ เจ้าของดวงตางดงามและเป็นเจ้าของสายตาที่มองมาที่ผมสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ผมมองเห็นเธอ

           ท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ดูแล้วน่าสงสัย แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเธอก็ก้มหัวลงเหมือนทักทายแล้วเดินหายไปในกลุ่มคน

           “อะไรกันล่ะนั่น?” 

           ผมมองเธอหายเข้าไปในกลุ่มคน ดูจากทิศทางคงจะกลับเข้าไปในโดมการแสดง

           ขณะเดียวกันเสียงเฮและเสียงปรบมือก็ดังกระหึ่มออกมาจากข้างใน ได้ยินเสียงพิธีกรชายหญิงมารับช่วงต่อระหว่างรอเปลี่ยนชุดการแสดง ซึ่งดูเหมือนชุดต่อไปจะเป็นของโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ

           แต่เพราะไม่ได้สนใจจะมาดูดนตรีแต่แรกผมจึงเลือกเดินดูร้านรวงต่างๆ ที่มาออกบูธรอบๆ แทน

           ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาผู้หญิงดังมาจากทางเวที ตามด้วยเสียงแนะนำตัวของนักดนตรีที่ถูกแทรกด้วยเสียงกรี๊ดที่ดังกว่าเดิม ผมหันไปมองแวบนึงแล้วจึงหันเหความสนใจไปที่ร้านรวงต่างๆ ที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

           จากการกะด้วยสายตาน่าจะมีร้านอาหาร ขนม น้ำ และของกินอื่นๆ รวมๆ แล้วน่าจะเกิน 60-70% ของร้านทั้งหมด รองลงมาเป็นร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้า โน่น นี่ นั่น จิปาถะ สุดท้ายก็น่าจะกลุ่มร้านเกมชิงรางวัลต่างๆ มีทั้งแบบใช้ความสามารถอย่างยิงปืน ไปจนถึงใช้ดวงเพียวๆ อย่างตักไข่จับฉลาก

           ผมปล่อยผ่านร้านของกินไว้ก่อนเพราะยังอิ่มจากมื้อเช้าอยู่ แต่ก็ดูผ่านๆ ว่าตรงไหนขายอะไร

           แวะร้านโน้น เดินออกร้านนี้โดยไม่มีจุดหมายชัดเจน จนเริ่มรู้สึกว่าร้อนจึงได้แวะเข้าไปร้านขายไอศกรีมร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ

           พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลา 12.55 น. ป้ายแจ้งเตือนบนหน้าจอมีข้อความที่ไม่ได้อ่านค้างไว้

           “อืม..โมโมสุเกะ…รุ่นพี่…โคสุเกะ…อืมๆๆ” 

           “ได้แล้วพ่อหนุ่ม” 

           “อ๊ะ ขอบคุณครับ ขอสแกนจ่ายนะครับ” 

           ผมรับไอศกรีมมาแล้วและทำการสแกนจ่ายเงินให้ทางร้านไป จากนั้นจึงถือไอศกรีมไปยังจุดนัดหมายที่โมโมสุเกะส่งมา

           แต่ทว่าทางข้างหน้าห่างไปสัก 30 เมตรเห็นจะได้ หน้าร้านขายของที่ระลึกทำมือ มีผู้ชาย 3-4 คนยืนขวางทางนักเรียนหญิง ม.ปลายกลุ่มหนึ่งเอาไว้

           ดูแล้วก็คล้ายๆ ในการ์ตูนหรือนิยายที่กลุ่มตัวร้ายผู้ชายกำลังรุมล้อมนางเอกสาวแสนสวยผู้เพียบพร้อมอยู่

           “อืมม..ก็สวยและเพียบพร้อมจริงๆ ละนะ” 

           ผมยืนชมฉากละครตรงหน้าไปพร้อมกับใจที่เต้นรัว ไม่ใช่ว่าอยากจะรอดูฉากพระเอกออกโรงอะไรหรอกนะ แต่อยากรอดูว่านางเอกจะเอาตัวรอดยังไง

           ทาเคโนะอุจิ ยูบิ

           นางเอกสาวสวยที่ตอนนี้ยืนอยู่หน้าสุดของกลุ่มเพื่อนกำลังเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ต่อให้มองจากดาวอังคารยังรู้ว่าไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเด่อะไร

           เพราะมีรูปหน้าที่สวยงาม ผมดำยาวสลวย เมื่อรวมกับรูปร่างผอมบางแต่ก็สมส่วนที่ซ่อนภายใต้ชุดนักเรียนนั่น ผมไม่แปลกใจเลยถ้าเธอจะโดนผู้ชายเข้ามาจีบ

           อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอสถานการณ์แบบนี้ สมัยก่อนก็เคยเจอมาบ้างแต่เจ้าตัวก็แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้ถึงจะใช้กำลังด้วยก็เถอะ

           และในตอนที่กำลังเข้าได้เข้าเข็ม ผู้ร้ายเหมือนจะพยายามเอื้อมมือมาแตะเนื้อต้องตัวนางเอกนั่นเอง ผมที่ถือไอศกรีมอยู่ก็ลุ้นให้นางเอกจับทุ่มสักทีสองทีก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงร้องแหลมที่อยู่ดีๆ ก็ดังขึ้นมา

           “ช่วยด้วยค่า!! มีคนกำลังลวนลามพวกหนูค่า!!” 

           สิ้นเสียงนั้น เหมือนทุกอย่างในโลกหยุดนิ่ง ทุกสายตาหันไปมองบริเวณต้นเสียงกันโดยมิได้นัดหมาย

           ตัวละครใหม่เดินออกมาเข้าฉาก ไม่ใช่ละๆ เดินออกมาจากร้านขายของที่ระลึกที่อยู่ตรงนั้น อ่า…ยัยนั่นน่ะเอง

           โอโตเมะ อามายะ

           “พวกคุณจะลวนลามพวกเราหรอ? ชะ..ช่ว..ช่วยด้วยค่า” 

           “ยัยบ้า ใครจะไปลวนลามเธอกัน หยุดร้องไปได้แล้ว” 

           ผู้ชายที่ยื่นมือออกมาพูดสวนกลับไปแต่ดูแล้วน่าจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก สุดท้ายทั้งกลุ่มก็ทนกับสายตาประชาชีไม่ไหวล่าถอยไปในที่สุด ผมเลยอดดูท่าทุ่มในตำนานจนได้ เฮ้อ… ใจยังสั่นอยู่เลยเนี่ย