ตอนที่ 32 สัปดาห์ที่ 11 อาคิยามะ เออิชิ (5)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ยืนกินไอศกรีมจนหมดระหว่างรอให้กลุ่มนักเรียนหญิงนั้นเดินจากไป เพราะมีคนรู้จักอยู่ด้วยเลยไม่อยากเข้าไปแสดงตัวให้เห็นเดี๋ยวจะเป็นเรื่องวุ่นวาย ทำให้กว่าจะไปถึงที่นัดหมายทุกคนก็หายกันไปหมดแล้ว

          ร้องอ้าวออกมาแบบอารมณ์งงๆ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ปรากฏว่าหน้าจอดับสนิทไม่มีการตอบสนอง ใช่แล้วครับ เครื่องดับไปตอนไหนไม่รู้

          ทั้งที่เมื่อกี้ยังเปิดใช้งานได้อยู่ แต่เพราะมีปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมอยู่ก่อนแล้วเลยดับไปแบบไม่มีการเตือนล่วงหน้า

          ผมล้วงกระเป๋าที่สะพายมาหยิบเอาแบตเตอรี่สำรองขึ้นมาชาร์จโทรศัพท์ตัวเอง รอเพียงไม่ถึงนาทีก็เปิดเครื่องได้ แถมยังขึ้นเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ 24% อีกต่างหาก ยั่วโมโหกันชัดๆ

          เปิดดูข้อความที่ยังไม่อ่านก็เจอข้อความของโคสุเกะที่บอกว่าจะไปดูเพื่อนของคุณคาวากุจิขึ้นแสดงก่อน ให้ตามมาตรงที่ชมโซนโรงเรียนฮิบิยะ

          “ไม่ไปดีกว่า” 

          เนื่องจากเห็นแต่แรกแล้วว่าตรงนั้นมีคนรู้จักกันดีอยู่ แถมเมื่อกี้ก็เพิ่งเจออีกหนึ่ง ตอนนี้คงไปรวมตัวกันตรงนั้นแล้ว ถ้าจะให้ไปเจอบรรยากาศชวนอึดอัดใจ สู้ไปเดินชิงโชคในร้านต่างๆ รอบๆ ดีกว่า

          ผมส่งข้อความไปบอกพวกโคสุเกะว่าจะเดินเล่นอีกพักนึงแล้วจะกลับ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า พร้อมกับย่ำเท้าเข้าสู่ดินแดนแห่งการเสี่ยงโชค

          แน่นอนว่าร้านไหนใช้ดวงล้วนๆ ผมจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไป ส่วนร้านไหนพอใช้ความสามารถได้ก็จะเข้าไปลอง แต่ก็ต้องดูของรางวัลด้วยว่าคุ้มไหม

          1 ชั่วโมงผ่านไป เวลามักจะผ่านไปไวเสมอในตอนที่เรากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

          ผมเดินออกมาจากร้านเกมชิงโชคที่ 5 ของวันนี้ซึ่งเป็นร้านปาเป้า แล้วเวลานี้ผมเองก็ตกเป็นเป้าอยู่เหมือนกัน

          ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลปนเหลืองขนปุยขนาดตัวพอๆ กับเด็กอนุบาลถูกสะพายไว้บนหลังของผมคาดไว้ด้วยกระเป๋าคาดอกที่ยืดสายยาวจนสุด

          สินสงครามจากการรบกับเกมปาเป้าเมื่อสักครู่นี้

          รางวัลแจ็กพอตของเกมปาเป้าคือตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์นี้ ส่วนรางวัลรองคือนาฬิกาข้อมือที่เป็นเป้าหมายของผมในตอนแรก แต่พอเล่นไปเล่นมากลับเผลอเอาจริงจนได้รางวัลใหญ่มา แถมพอขอเจ้าของร้านเปลี่ยนเป็นรางวัลรองกลับโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ พร้อมกับบอกว่า “ร้านเราไม่โกงลูกค้าหรอก” อีกต่างหาก

          ถึงจะมีความภาคภูมิใจในชัยชนะของตนเอง แต่พอออกมาเจอสายตาของคนรอบๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าน่าอายยังไงก็ไม่รู้

          “แล้วจะเอากลับยังไงล่ะเนี่ย?” 

          นอกจากตุ๊กตาตัวใหญ่เท่าเด็กแล้วก็ยังมีสินสงครามอื่นๆ อีกสองสามชิ้น ทั้งสายคล้องโทรศัพท์ลายอนิเมะที่กำลังโด่งดังในช่วงนี้ พวงกุญแจทำมือที่ดูกิ๊บเก๋ แล้วก็ผงซักฟอกอีก 2 ถุง

          มือนึงถือร่มพับคันใหญ่ที่เอาออกมาจากกระเป๋าและใส่สินสงครามที่ได้มาแทน บนหลังมีตุ๊กตา สภาพพูดได้แค่ว่าพะรุงพะรังกันเลยทีเดียว

          ครืนนนนน…

          เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ส่งเสียงคำรามเบาๆ ไกลๆ นั้น ก็เห็นความอึมครึมที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา ดูท่าอีกไม่นานฝนอาจจะตก ผมตัดสินใจยกเลิกภารกิจพิชิตรางวัลที่เหลือแล้วติดต่อหารุ่นพี่นาคาจิมะว่าจะขอกลับก่อน จากนั้นจึงส่งข้อความบอกพวกโคสุเกะก็เป็นอันเรียบร้อย

          “หาอะไรกินสักหน่อยค่อยกลับละกัน” 

          พูดกับตัวเองขณะที่สองเท้าพาร่างกายที่เริ่มเหนื่อยล้าไปหาสารอาหารมาเติมเต็มกระเพาะ

          กว่าจะเสร็จสรรพเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยไปพอสมควร ตอนที่เดินออกมาก็พบว่าท้องฟ้ามืดลงซะแล้ว ละอองไอฝนก็เริ่มจะโปรยปรายลงมาแล้วด้วย

          [‘เปียกแน่ๆ แวะซื้อเสื้อกันฝนให้เจ้าหมีก่อนแล้วกัน’] 

          เวลาไม่คอยท่า ฝนฟ้าก็เริ่มเทลงมาแล้ว ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังร้านสะดวกซื้อที่คิดว่าใกล้ที่สุด เห็นร้านตั้งอยู่ตรงหน้าแต่ว่าเข้าไปทันทีไม่ได้ ถามว่าทำไมมันก็เพราะว่าหน้าร้านมีกลุ่มชายหนุ่มสี่คนกำลังยืนล้อมเด็กผู้หญิง ม.ปลายคนนึง ซึ่งผมรู้จักเธอด้วย

          แม้จะอยู่กันคนละฟากถนนเลยไม่ได้ได้ยินเสียงพูดคุย แต่ดูจากท่าทางและตัวบุคคลก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดี

          สี่หนุ่มสี่มุมนั้นเป็นคนเดียวกันกับที่ไปเกาะแกะทาเคโนะอุจิเมื่อตอนบ่ายก่อนจะถูกคำพูดของโอโตเมะทำให้ล่าถอยไป แต่ไหงตอนนี้เธอถึงได้มาโดนยืนล้อมซะเองล่ะเนี่ย

          ผมยืนมองเหตุการณ์ระหว่างรอสัญญาณไฟข้ามถนน ดูว่าเธอจะหาทางเอาตัวรอดได้แบบก่อนหน้านี้ไหม แต่ดันเห็นว่าผู้ชายที่ยืนหลังเธอจับผมเธอขึ้นมาดมซะงั้น

          ไม่ใช่ว่าเธอยอมให้เขาทำแบบนั้น แต่โดนล้อมแบบนี้ แถมตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่แถวๆ นี้เลยเพราะฝนกำลังจะตก ดูท่าจะลำบากไม่น้อย

          ผมมองซ้ายมองขวาพอมั่นใจว่าไม่มีรถก็วิ่งข้ามถนนมาเลยโดยไม่รอสัญญาณไฟ ในใจก็กราบขอโทษคุณตำรวจที่ตั้งใจทำผิดกฎหมายแบบโจ่งแจ้งแบบนี้

          “ขอทางหน่อยคร๊าบบบ!!” 

          ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปทางกลุ่มชายหนุ่มที่ล้อมโอโตเมะเอาไว้ แถมตะโกนบอกเสียงดังออกไป

          ไม่รู้เพราะเสียงร้องขอทางของผมดังเกินไป หรือพวกเขาตกใจกับตุ๊กตาหมีบนหลังผมก็ไม่รู้ แต่ทุกคนยืนนิ่งมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว

          ไม่รอให้ใครพูดอะไร ผมวิ่งมาที่หน้าโอโตเมะ จับมือเธอแล้วเดินออกไปทันที

          “ขอโทษทีที่มาช้า รอนานมากไหม?” 

          ผมพูดไปพร้อมจับจูงมือเธอ จังหวะนั้นก็หันไปยิ้มแล้วขยิบตาให้เธอนิดนึง หวังว่าเธอจะสังเกตแล้วให้ความร่วมมือกับผมนะ

          “อ๊ะ!? อ่ออ..ไม่นานหรอก ฉันเพิ่งซื้อของเสร็จพอดีด้วย” 

          เยี่ยม เธอตบมุกผมด้วย ทำดีมากโอโตเมะ

          แต่ถึงจะตบมุกกันเนียนขนาดไหนมันก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี ตรงนี้มีคนอยู่ตั้งสี่คน มันต้องมีสักคนแหละที่คิดว่ามันแปลกๆ

          “เอ้ย น้องชาย นายเป็นใครเนี่ย ไม่เห็นหรือไงว่าสาวน้อยคนนี้กำลังคุยกับพวกเรา ทำไมถึงมาเกะกะซะล่ะ?” 

          นั่นไง มาจริงๆ ด้วย ปัญหายาวเลยทีนี้

          ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะดึงโอโตเมะให้มายืนอยู่ข้างหลัง แล้วจึงหันไปเผชิญหน้ากับบรรดาชายหนุ่มที่ผมพยายามเนียนเดินผ่านไป

          “โทษทีพี่ชาย ผมไม่เห็นจริงๆ ว่ามีสาวน้อยคนไหนคุยกับพวกพี่ชาย ถ้าผมมารบกวนก็ขอโทษด้วย” 

          ผมตอบไปแบบตีมึน เอาจริงๆ ก็ออกจะเป็นคำตอบที่ยั่วอารมณ์อีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ชัดเจนชนิดที่โอโตเมะบีบมือผมแน่นเชียว

          “อ้าว ไหงพูดจาเลอะเทอะแบบนั้นล่ะ ก็เห็นอยู่ว่าน้องชายเป็นคนจูงมือสาวน้อยนั่นไปน่ะ ทำไมถึงยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้” 

          “อ้าววว…สาวน้อยที่พี่ชายว่าคือคนนี้หรอกหรอ โถ่..ไอ้ผมก็ไม่รู้ซะด้วย ว่าแต่พวกพี่ชายมีธุระอะไรกับแฟนชาวบ้านเขาล่ะครับ บอกได้เลยนะ ผมไม่ถือ” 

          แขนซ้ายโดนดึงกระตุกหงึกๆ แต่ผมไม่ได้หันไปมอง คิดว่าเธอคงจะกลัวเพราะผมพูดจายั่วยุอีกฝ่ายชัดเจน

          “ฮ่าๆๆๆ แบบนี้ดีเลย งั้นเรามาคุยกันหน่อยดีกว่า พาสาวน้อยนั่นมาคุยด้วย” 

          พูดจบทางนั้นก็เดินเข้ามา ผมดันโอโตเมะให้ถอยไปข้างหลังแต่เธอกลับไม่ยอมปล่อยมือแถมยังดึงมือผมให้ตามเธอไปด้วย

          ผมไม่ได้หันไปมองเธอเพราะต้องมองกลุ่มชายตรงหน้า ในตอนที่ระยะห่างเราเหลือ แค่ 2 ก้าว ประตูร้านสะดวกซื้อก็เปิดพอดี เด็กผู้ชาย ม.ปลาย 3 คนเดินออกมา

          “…เนอะ สุดยอด… เอ๊ะ!? เออิชิ?” 

          “เอ๊ะ? อ้าว..พวกนายเองหรอกหรอ?” 

          ได้ยินเสียงเรียกคุ้นหูเลยหันกลับไปมองตรงหน้าประตูร้านสะดวกซื้อ ตรงนั้นมีพวกโคสุเกะสามคนยืนอยู่

          “หืมม…เด็กผู้หญิง? จับมือ? ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่? หระ..หรือว่า!!!” 

          “““เดต!!!””” 

          สามเสียงประสานกันทำเอาทุกคนตรงนั้นตกตะลึง กลุ่มชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาผมก็หยุดยืนดูท่าทีไม่เดินเข้ามาต่อ

          “ไม่ใช่เดต แต่ช่างเรื่องนั้นก่อน พอดีตอนนี้มีปัญหาน่ะ” 

          ผมตอบพวกโคสุเกะไปพร้อมกับพยักหน้าไปทางกลุ่มชายหนุ่มสี่คนที่ยืนอยู่ ไม่รู้โมโมสุเกะเข้าใจว่าไงเขาพยักหน้าพร้อมบอกว่า เข้าใจแล้ว

          [‘เข้าใจอะไรหว่า?’] 

          “ขัดขวางคนอื่นระหว่างเดตนี่มันไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ” 

          โคสุเกะพยักหน้าพร้อมพูดประโยคที่เกิดจากความเข้าใจผิดออกมาชัดถ้อยชัดคำ

          “ไม่ต้องห่วง นายพาแฟนกลับไปก่อน ทางนี้พวกฉันดูแลเอง” 

          “ขอบใจนะ แต่ว่าไม่ใช่แฟนน่ะ” 

          “โอ้วว…ไม่ต้องเขิลเพื่อน ของตอบแทนเอาเป็นข้าวกลางวันละกันนะ” 

          โมโมสุเกะเดินมาตอบไหล่ผมพร้อมรอยยิ้มแบบคนรู้ทัน แม้แต่จินก็ยังพยักหน้าให้แบบจริงจังสุดๆ ส่วนโคสุเกะเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว

          “เฮ้ออ…เอาเถอะ ช่วยได้มากเลย แล้วจะตอบแทนทีหลังนะ” 

          “อะเคร” 

          สหายทั้งสามเดินผ่านผมกับโอโตเมะไปยืนเผชิญหน้ากับกลุ่มชายหนุ่มทั้งสี่ในระยะที่ห่างกันแค่ก้าวเดียว

          “ไป โอโตเมะ เดี๋ยวฉันไปส่งกลับบ้าน” 

          ผมเดินจูงมือเธอออกจากบริเวณนั้น แต่เดินไปได้สองก้าวเธอก็ดึงมือผมไว้ หันไปมองก็เห็นเธอทำท่าอึกๆ อักๆ มองไปทางเพื่อนๆ ของผม เห็นแล้วก็พอเข้าใจได้ ผมบีบมือเธอเบาๆ ก่อนจะเริ่มจูงมือเธอเดินอีกครั้ง

          “ไม่ต้องห่วง สามคนนั้นไม่เป็นอะไรหรอก หรือถ้าเธอกังวลใจจะช่วยฉันเลี้ยงข้าวพวกนั้นก็ได้นะ” 

          ผมหันไปยิ้มให้เธอ แม้ในใจจะเป็นห่วงเพื่อนแต่ตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะแสดงออกมา