ตอนที่ 24 เนื้อกระต่ายตุ๋นน้ำแดง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 24 เนื้อกระต่ายตุ๋นน้ำแดง

ตอนที่ 24 เนื้อกระต่ายตุ๋นน้ำแดง

เสิ่นเสี่ยวเหมยในตอนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียง จู่ ๆ เฉินเจียซิ่งก็วิ่งเข้ามาและดึงหล่อนลงจากเตียง “เสี่ยวเหมย พรุ่งนี้เราจะกลับเมืองไห่เฉิงกัน”

เสิ่นเสี่ยวเหมยได้ยินแล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่ง “จริงเหรอ? แล้วแม่ของคุณล่ะ? ท่านจะกลับไปด้วยไหม? ท่านมีท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้?”

“แม่บอกว่าจะไม่กลับ ไปเถอะ เราไปที่ห้องหลักเพื่อถามความเห็นของแม่กัน”

เสิ่นเสี่ยวเหมยคิดว่าหล่อนอยู่ที่ชนบทมานานพอแล้ว จึงรีบลุกขึ้น สวมเสื้อนวมบุฝ้ายและรองเท้าบู้ทหนัง จากนั้นเดินตามเฉินเจียซิ่งไปยังห้องหลัก

เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยเดินเข้ามา โจวลี่หรงพูดกับเธอว่า “เสี่ยวเหมย ลูกกับเจียซิ่งกลับเข้าเมืองพรุ่งนี้นะ”

เสิ่นเสี่ยวเหมยรีบถามออกไป “แม่ แล้วเราจะทำยังไงกับหลินเซี่ยล่ะ? แม่คงไม่ยอมรับมันเป็นลูกสะใภ้หรอกนะคะ?”

“แม่จะอยู่โน้มน้าวใจพี่ใหญ่พวกลูกก่อน”

โจวลี่หรงมองพวกเขาและเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จำไว้ให้ดี หลังจากที่พวกเธอกลับไปแล้ว จงรูดซิปปากให้แน่น และอย่าพูดถึงการแต่งงานของพี่ใหญ่ที่นี่”

เฉินเจียซิ่งเข้าใจดีและพยักหน้ารับ “แม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ เรามีเหตุผลพอและจะไม่พูดถึงมัน โดยเฉพาะต่อหน้าถังหลิง”

โจวลี่หรงมองเสิ่นเสี่ยวเหมยอีกครั้ง และเตือนหล่อนเสียงเบา “เสี่ยวเหมย ถึงเวลาเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองแล้ว”

เสิ่นเสี่ยวเหมยโต้กลับทันที “แม่ เกี่ยวอะไรกับหนูด้วย เห็น ๆ กันอยู่ว่าหลินเซี่ยเป็นคนรังแกหนู”

“ถ้าลูกไม่ยั่วยุหล่อนก่อน หล่อนจะมารังแกเหรอ?” โจวลี่หรงค่อนข้างไม่พอใจกับพฤติกรรมของเสิ่นเสี่ยวเหมยในช่วงสองวันที่ผ่านมา ท่าทางอ่อนหวานมีมารยาทที่แสดงออกก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นเรื่องโกหก

หลังจากแต่งงานได้ครึ่งปี โจวลี่หรงก็ไม่เคยเห็นด้านที่หยาบคายและเจ้าเล่ห์ของเสิ่นเสี่ยวเหมยมาก่อน

ตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวกลับถูกเปิดเผยเมื่อพบกับหลินเซี่ย พูดตามตรงแล้วทำให้หล่อนค่อนข้างผิดหวัง

เสิ่นเสี่ยวเหมยพึมพำอย่างขุ่นเคือง “หนูไปยั่วยุหล่อนที่ไหน? เป้าหมายของเราไม่เหมือนกันเหรอคะ? เพื่อป้องกันไม่ให้หล่อนแต่งงานกับพี่ชายคนโต หนูก็เลยรีบวิ่งออกไปจัดการ”

“อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แม่จะพยายามโน้มน้าวพวกเขาเอง พรุ่งนี้ลูกเดินทางกลับไปเมืองไห่เฉิงเถอะ หากพบหลินเซี่ยในภายหลัง ก็อย่าขัดแย้งกับหล่อนอีก ลองพิจารณาความรู้สึกผู้หลักผู้ใหญ่ให้มากขึ้น”

ได้ยินโจวลี่หรงพูดเช่นนั้น แม้เสิ่นเสี่ยวเหมยจะหงุดหงิด แต่ก็จำต้องอดทนไว้ ก่อนกลับไปห้องตะวันออกด้วยใบหน้าบูดบึ้งและคลานขึ้นไปบนเตียง

หลังจากดื่มซุปไปหนึ่งชาม เฉินเจียเหอก็เริ่มถลกหนังกระต่าย

หลินเซี่ยและหู่จือนั่งยอง ๆ อยู่หน้าอ่างเหล็กขนาดใหญ่พลางเฝ้าดู

หลังจากถลกหนังก็ควักเครื่องในออก ตอนนี้เองหลินเซี่ยจึงเริ่มเตรียมวัตถุดิบ

เธอผูกผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปหยิบพริกแห้ง หัวหอม ขิง กระเทียม และเครื่องปรุงอื่น ๆ ที่แขวนอยู่บนผนัง

เมื่อไม่กี่วันก่อนมีงานฉลองที่บ้าน แม้จะมีเพียงครอบครัวของเจ้าสาวเท่านั้น แต่พวกเขาก็จ้างคนมาทำอาหาร ทำให้ห้องครัวมีวัตถุดิบที่จำเป็นครบครัน หลินเซี่ยยังพบซอสพริกที่เหลือครึ่งขวดในห้องครัวด้วย

เมื่อแม่เฒ่าโจวเห็นว่าหลินเซี่ยกำลังจะทำอาหาร นางก็รีบเข้ามาช่วยทันที

หลินเซี่ยมองหญิงชราที่ค่อย ๆ เดินเข้ามา เธอทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายทำงานหนัก หู่จือเองก็คัดค้านเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงช่วยพยุงแม่เฒ่าโจวเข้าไปในบ้าน “คุณยาย ไม่ต้องมาช่วยหนูทำอาหารหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูเรียกถ้าทำเสร็จแล้ว”

เธอนำซังข้าวโพดมัดหนึ่งมาจุดไฟและเติมน้ำลงในหม้อ

หลังจากที่เฉินเจียเหอจัดการกระต่ายแล้ว หลินเซี่ยก็ขอให้เขาหั่นมันเป็นชิ้น ๆ

เพื่อนำไปหมักในกะละมัง

จากนั้นจึงเริ่มเตรียมเครื่องปรุงรส

เฉินเจียเหอมองดูท่าทางคล่องแคล่วอย่างมากของเธอ ก่อนจะนั่งลงหน้าเตาเพื่อจุดไฟ

ในความจริงเขาไม่คาดหวังเลยด้วยซ้ำว่าหลินเซี่ยจะมีทักษะการทำอาหาร

ตระกูลเสิ่นมาจากชนชั้นแรงงาน พวกเขาจึงมักกินข้าวในโรงอาหาร หลินเซี่ยเพิ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายเมื่อปีที่แล้ว และได้เข้าร่วมร้านทำผมของรัฐในฐานะเด็กฝึกงานหลังเรียนจบ เธอไม่ควรมีโอกาสเรียนรู้การทำอาหารเลย

แถมมันยังเป็นเนื้อกระต่ายด้วย

ในเมืองไม่ค่อยเจออาหารแบบนี้

เฉินเจียเหอคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจกำลังพยายามพิสูจน์ตัวเอง

เธอกำลังพิสูจน์ตัวเอง…

เธออาจจะทำเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากครอบครัวของเขา

ด้วยความคิดนี้ แววตาอันนุ่มนวลปรากฏขึ้นในดวงตาลึกล้ำของเฉินเจียเหอ เขาไม่พูดอะไร เพียงนั่งเงียบจุดไฟอยู่หน้าเตา

ขั้นแรกหลินเซี่ยล้างเนื้อกระต่ายด้วยน้ำสะอาด จากนั้นจึงจับมาพักไว้

หลังจากทำความสะอาดเลือดในหม้อแล้ว เธอก็เทน้ำมันปรุงอาหาร เติมน้ำตาลทรายเล็กน้อย และรอให้น้ำตาลละลายก่อน แล้วจึงใส่เนื้อกระต่ายลงไปผัดจนเป็นสีเหลืองทอง

ตั้งหม้อให้ร้อน ใส่พริกแห้ง ขิง พริกไทย กระเทียม และเครื่องปรุงอื่น ๆ เมื่อมันเริ่มส่งกลิ่นหอม ให้ใส่เนื้อกระต่ายลงไปผัด จากนั้นเติมน้ำ ปิดฝา แล้วเริ่มใส่เครื่องปรุงรส

เธอเห็นว่ากระต่ายมีเนื้อไม่มาก ขณะที่สมาชิกในครอบครัวค่อนข้างเยอะ เธอจึงหั่นมันฝรั่งเป็นชิ้น ๆ เพื่อใส่ลงในหม้อภายหลัง

มันฝรั่งก้อนที่ดูดซับซุปเนื้อไว้จะมีรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ

แม่เฒ่าโจวไม่สามารถนั่งเฉย ๆ อยู่บนเตียงเตา นางจึงวิ่งไปดูที่ห้องครัวหลายครั้ง เมื่อเห็นหลินเซี่ยยืนอยู่หน้าหม้อที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น จึงกลับไปห้องหลักอย่างมีความสุขและพูดกับโจวลี่หรงว่า “ลี่หรง เด็กสาวเซี่ยเซี่ยมีความสามารถมากขนาดนี้เชียว แกได้กลิ่นหอมไหม ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเนื้อกระต่ายจะเอามาทำแบบนี้ได้ด้วย โดยปกติถ้าเราล่ากระต่ายได้ เราแค่เอามันมาต้มในน้ำและนำมากิน”

แน่นอนว่าโจวลี่หรงได้กลิ่นหอมที่ลอยอบอวลมาจากห้องครัว แต่ในฐานะผู้หญิงที่เข้มแข็งและมุ่งเน้นการมีอาชีพการงานที่มั่นคง จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องทักษะการทำอาหาร “แม่ ต้องดูสถานการณ์โดยรวมด้วยสิ หล่อนแค่ปรุงเนื้อกระต่ายได้ ไม่ได้หมายความว่าจะคู่ควรกับการเป็นภรรยาของเจียเหอไม่ใช่หรือ?”

“ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์โดยรวมก็จริง แต่รู้ว่าเจียเหอพึงพอใจกับภรรยาคนนี้มาก เขายังไปนั่งอยู่หน้าเตาเพื่อจุดไฟเองด้วยซ้ำ ถ้าแกไม่ชอบก็ไม่เป็นไร”

เมื่อเห็นเด็กทั้งสองครองรักกันดี แม่เฒ่าโจวก็สุขใจอย่างยิ่ง

เฉินเจียซิ่งถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมเช่นกัน โดยคิดว่าเป็นฝีมือของคุณยาย เขาจึงอยากเข้าไปชิมอาหารเสียหน่อย ทว่าเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นหลินเซี่ยอยู่ในห้องครัวจากทางหน้าต่าง

ผู้หญิงคนนี้รู้วิธีปรุงเนื้อกระต่ายด้วยเหรอ?

ไม่ใช่ว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยเคยบอกว่าหลินเซี่ยโง่มากจนทำงานบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำหรือ?

ทันทีที่เฉินเจียซิ่งเข้ามาในห้องหลัก เขาได้ยินคุณยายพูดชมเชยหลินเซี่ยอีกครั้ง เขาจึงพูดขึ้นว่า

“คุณยาย พี่ใหญ่ไม่เคยพบเจอผู้หญิงหน้าตาดี เขาเลยอยากรู้อยากเห็น แต่หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว เขาจะต้องเสียใจที่แต่งงานกับหล่อน”

แม่เฒ่าโจวพูดด้วยความโกรธ “ยายคิดว่าหลานแค่เห็นแก่ตัว และไม่ต้องการเห็นเจียเหอมีความสุขมากกว่า”

ผู้เฒ่าโจวที่กำลังดื่มชาอยู่หน้าเตารู้สึกขุ่นเคืองอย่างมาก และหันไปพูดกับโจวลี่หรงด้วยสีหน้าจริงจัง “ลี่หรง พรุ่งนี้แกกลับไปพร้อมกับเจียซิ่งและเสี่ยวเหมยเถอะ อย่าเข้ามาวุ่นวายเรื่องของเจียเหออีก แกทำตัวไม่สมกับเป็นแม่ของเขาเลย มีแม่ที่ไหนอยากขัดขวางการแต่งงานของลูกชายบ้าง? แม้แต่แม่เลี้ยงก็ยังไม่โหดร้ายเท่าแก”

โจวลี่หรงถูกพ่อแม่ของตนดุด่า จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอธิบายว่า “แม่ พ่อ ฉันทำดีที่สุดเพื่อเจียเหอ พูดตามตรงมีเด็กผู้หญิงคนอื่นที่เหมาะสมกับเจียเหอมากกว่าตั้งเยอะ การแต่งงานเป็นสิ่งที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต ในฐานะแม่ของเขา ฉันไม่เคยมีเจตนาร้ายต่อเขาเลย แค่หวังว่าเขาจะแต่งงานกับคนที่เหมาะสมกว่านี้ เพื่อใช้ชีวิตร่วมกันตราบนานเท่านานเท่านั้น”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไหนหลินเซี่ยคนโง่ที่พวกตระกูลเสิ่นว่ากัน โง่แล้วจะปรุงกระต่ายได้อร่อยขนาดนี้ได้ไง

แม๊ไม่ต้องอ้อมค้อมค่ะ มีสะใภ้คนอื่นในใจแล้วก็บอก

ไหหม่า(海馬)