ตอนที่ 25 คนรักในวัยเด็กของเฉินเจียเหอ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 25 คนรักในวัยเด็กของเฉินเจียเหอ

ตอนที่ 25 คนรักในวัยเด็กของเฉินเจียเหอ

เฉินเจียซิ่งเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ใช่ครับ พี่ถังหลิงเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบสำหรับพี่ใหญ่ ผมได้ยินว่าพวกเขาเคยชอบพอกันมาก่อน แต่ต่อมามีเหตุต้องแยกย้ายกันไปเพราะหู่จือ ตอนนี้หล่อนกลับมาแล้ว และบอกว่าหลังทบทวนเรื่องราวก็ยอมรับหู่จือได้แล้ว ถ้าพี่ชายรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องเลือกพี่ถังหลิงอย่างแน่นอน”

แม่เฒ่าโจวตะคอกอย่างเย็นชา “ถังหลิงที่ไหนอีก? เราไม่รู้จัก เรารู้จักแค่เซี่ยเซี่ยที่เจียเหอหมั้นหมายจะแต่งงานด้วยเท่านั้น”

“ผู้คนในเมืองไม่ค่อยจริงจังกับอะไรเลยหรือไง? การแต่งงานเหมือนกับการย้ายบ้านเหรอ? ที่วันนี้จะแต่งงานกับคนนี้แล้วพรุ่งนี้ค่อยแต่งงานกับอีกคน มันเป็นประเพณีแบบไหนกัน?”

ครอบครัวผู้เฒ่าโจวเคยถูกมองว่าเป็นครอบครัวนักวิชาการ เขาเคยเป็นครูมาก่อนที่เขาจะเกษียณ ความคิดของเขาจึงเป็นแบบอนุรักษนิยมมาโดยตลอด ทำให้เขาไม่เข้าใจความคิดของลูกสาวตัวเองเลย

เมื่อเห็นว่าพ่อแม่โกรธ โจวลี่หรงจึงรีบอธิบาย “พ่อ แม่ ถังหลิงเป็นเด็กของเพื่อนบ้านแถวที่เราอยู่ หล่อนเติบโตมากับเจียเหอ และเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา เหตุผลที่ฉันอยากขับหลินเซี่ยออกไปก็เพราะไม่อยากให้หล่อนต้องเจ็บใจหลังจากกลับไปที่เมืองไห่เฉิง เจียเหอรู้จักหล่อนเพียงไม่กี่วันไม่ใช่เหรอ? เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาพบว่าเข้ากันไม่ได้ หากการหย่าร้างกลายเป็นที่รู้กันไปทั่ว แล้วศักดิ์ศรีของเราในฐานะผู้อาวุโสจะยังเหลืออยู่หรือ? หลินเซี่ยยังเด็กและอาจรับเรื่องเหล่านี้ไม่ไหว ตอนนี้มีเพียงพวกเรากลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่รู้เรื่องราว มันจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก ให้หล่อนกลับไปที่บ้านพ่อแม่และทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเถอะค่ะ”

ผู้เฒ่าโจวตบโต๊ะด้วยความโกรธ “พวกเขาสองคนนอนบนเตียงเตาเดียวกันมาหลายคืนแล้ว ตอนนี้มาบอกให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ ลูกชายของแกไม่เสียอะไร แต่อนาคตของเด็กผู้หญิงอายุยี่สิบปีล่ะ หล่อนจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป? น่าเสียดายที่แกเป็นถึงผู้อำนวยการสหพันธ์สตรีแต่เห็นแก่ตัวขนาดนี้ พ่อคิดว่าความคิดของแกอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนใหม่”

โจวลี่หรงถูกพ่อชราตะโกนใส่ จึงทำได้เพียงหุบปากเท่านั้น

ขณะเดียวกันหู่จือก็กำลังนอนเอกเขนกอยู่หน้าหม้อ มองเนื้อกระต่ายพลางน้ำลายไหลหยด

“เมื่อไหร่จะเสร็จ? ผมหิวมากแล้ว”

“ใกล้เสร็จแล้วล่ะ ใส่มันฝรั่งเหล่านี้ลงไปปรุงด้วยกัน พอมันฝรั่งสุกแล้วก็กินได้เลย”

หลินเซี่ยกำลังหุงข้าวบนเตาถ่าน

เนื้อกระต่ายตุ๋นมันฝรั่งและข้าวหม้อใหญ่ เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวแล้ว

เฉินเจียเหอคอยดูแลไฟในเตา จ้องมองหม้อเนื้อกระต่ายตุ๋นที่ปรุงสุกกำลังดีพร้อมส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายไหล จากนั้นหันมองหญิงสาวที่มัดผมขึ้นเป็นมวยและกำลังยุ่งอยู่หม้อข้าวตรงหน้า สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

เขารู้เรื่องของเธอน้อยเกินไป

“ยกมันไปได้แล้ว”

เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ชอบดื่มซุปในตอนเช้า และด้วยความโกรธที่อัดแน่นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ หล่อนจึงรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายโมงกว่า

ตอนนี้หล่อนนั่งอยู่บนเตียงเตาในห้องตะวันออก และอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายตุ๋น ทว่าเนื้อกระต่ายนี้มีหลินเซี่ยเป็นคนปรุง หล่อนจึงยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะไม่กินเด็ดขาด

เฉินเจียเหอนำเนื้อกระต่ายตุ๋นหม้อใหญ่มาวางบนโต๊ะและตักข้าวให้ทุกคน

หลินเซี่ยยังคงสวมผ้ากันเปื้อนมาจากห้องครัวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มาเถอะค่ะ ทุกคน ลองกินอาหารฝีมือของฉันดู”

“คุณตา คุณยาย ตะเกียบค่ะ”

หลินเซี่ยยื่นตะเกียบคู่หนึ่งให้โจวลี่หรงพร้อมกล่าวคำ “ตะเกียบค่ะ”

โจวลี่หรงไม่ต้องการรับ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของผู้เฒ่าโจว หล่อนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับตะเกียบที่หลินเซี่ยมอบให้

“เจียซิ่ง เรียกเสี่ยวเหมยมากินข้าวด้วยกันสิ”

เฉินเจียซิ่งตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาตะโกนเรียกหล่อน ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับ

หลินเซี่ยตักขากระต่ายให้หู่จือ จากนั้นจดจ่ออยู่กับการกิน โดยไม่ได้พูดอะไรเพื่อห้ามไม่ให้เสิ่นเสี่ยวเหมยร่วมวงกินข้าวด้วยกัน

โจวลี่หรงตะโกนออกไปด้านนอก “เสี่ยวเหมย มากินข้าวด้วยกันเถอะ”

เสิ่นเสี่ยวเหมยหิวท้องกิ่วจนแทบเป็นลม เมื่อแม่สามีเรียกหา หล่อนจึงเดินลงบันไดมายังห้องหลัก

ทันทีที่หล่อนนั่งลง เฉินเจียซิ่งก็คีบเนื้อใส่ในชามของหล่อนอย่างกระตือรือร้น

เสิ่นเสี่ยวเหมยคิดว่าหลินเซี่ยจะต้องเอาแต่ใจและไม่ยอมให้หล่อนกิน

หล่อนหวังว่าหลินเซี่ยจะทำตัวแบบนั้น เพื่อจะได้ใช้มันเป็นเหตุผลในการแก้แค้น และปล่อยให้แม่สามีเห็นธาตุแท้ของหลินเซี่ย

แต่ผู้หญิงโง่เขลาคนนี้กลับเพิกเฉยต่อหล่อนตลอดเวลา

เสิ่นเสี่ยวเหมยกัดเนื้อกระต่ายคำหนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองหลินเซี่ยโดยไม่เชื่อว่าเธอจะเป็นคนทำ

นังผู้หญิงโง่คนนี้ทำอาหารเป็นได้อย่างไร?

ครอบครัวของลูกพี่ลูกน้องของหล่อนมักกินข้าวในโรงอาหาร หลินเซี่ยเองก็กินข้าวในโรงอาหารของโรงเรียน แล้วเธอจะทำอาหารเก่งขนาดนี้ได้ยังไง?

เสิ่นเสี่ยวเหมยคิดว่าจะต้องเป็นเฉินเจียเหอที่ทำอาหารจานนี้

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เสียงของเอ้อร์เลิ่งก็ดังขึ้นจากลานบ้าน

เขาเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มหลายคนจากหมู่บ้าน

หู่จือพึงพอใจกับเนื้อกระต่ายมาก เมื่อเห็นเอ้อร์เลิ่ง เขาจึงทักทายอย่างเป็นกันเอง

“ลุงเอ้อร์เลิ่ง มาทำอะไรเหรอ? หรือว่าจะชวนไปล่ากระต่ายอีกแล้ว?”

“ไม่ใช่ มาตัดผมต่างหาก” เอ้อร์เลิ่งพูดอย่างตื่นเต้น “ต้าเหอ พวกเขาอยากให้ภรรยาคนสวยของนายตัดผมให้”

หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายร่างผอมสูงอายุสิบแปดย่างเข้าสิบเก้าปี เขาเกาหัวพลางพูดกับเฉินเจียเหอว่า “พี่เจียเหอ เราเห็นว่าทรงผมของเอ้อร์เลิ่งดูดีมาก เขาบอกว่าภรรยาของพี่ตัดให้ เราเลยอยากมาขอให้พี่สะใภ้ช่วยตัดผมให้หน่อยได้ไหม? เราจะจ่ายค่าตัดให้ด้วย”

เฉินเจียเหอมองชายหนุ่มตรงหน้าและไม่ตอบสิ่งใด

พูดตามตรง เขาแทบไม่อยากเชื่อกับสถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้

ชุ่นจือกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?

ครั้งสุดท้ายที่เขากลับมาบ้านเกิด เด็กคนนี้ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ตอนนี้อีกฝ่ายสูงเกือบเท่าเขาแล้ว ใบหน้าเรียวขึ้น แถมหล่อเหลาไม่เบา

นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มอีกสองถึงสามคนที่เดินตามหลังเขามา เฉินเจียเหอไม่สามารถบอกชื่อเด็กเหล่านี้ได้ แต่พวกเขาล้วนเป็นเด็กหนุ่มมีพลัง และดูเหมือนว่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเซี่ย

เมื่อหลินเซี่ยได้ยินว่ามีคนตามหาเธอเพื่อตัดผม เธอจึงรีบวิ่งออกไปทันที “ได้แน่นอน”

เธอถามว่า “กลัวหนาวกันไหมคะ? ถ้าคนเยอะ เราอาจต้องตัดกันที่ลานบ้าน หรือไม่งั้นมาตัดตอนแดดออกวันพรุ่งนี้แทนดีไหม?”

เมื่อคืนหิมะตก แม้เวลานี้หิมะจะละลายแล้ว แต่ข้างนอกก็ยังหนาวอยู่

เด็กหนุ่มเลือดร้อนและแข็งแรงล้วนไม่กลัวความหนาวเย็น “วันนี้ไม่หนาวมาก งั้นตัดกันเลยก็ดีครับ เดี๋ยวเราจะกลับไปสระผมที่บ้าน แล้วค่อยกลับมาให้พี่ตัดให้”

ผู้ชายที่อายุมากที่สุดคือหวังหย่งกัง อายุยี่สิบปี ครอบครัวเขาเพิ่งแนะนำหญิงสาวคนหนึ่งให้รู้จัก ซึ่งเขาจะต้องไปนัดบอดในอีกไม่กี่วัน เขาจึงวางแผนจะไปร้านตัดผมในเมืองวันพรุ่งนี้ ทว่าทรงผมของเอ้อร์เลิ่งดึงดูดความสนใจของเขามาก และแทบรอไม่ไหวที่จะตัดผมทรงใหม่

หลินเซี่ยได้ยินกาต้มน้ำส่งเสียงเดือดปุด ๆ อยู่บนเตาถ่านในห้องครัว จึงพูดขึ้นว่า “เรามีน้ำร้อน สระผมที่นี่เลยก็ได้”

เมื่อภรรยาเข้ามารับงาน เฉินเจียเหอจึงทำได้เพียงนำม่านประตูและเก้าอี้ออกมาจากตัวบ้านเท่านั้น

เด็กหนุ่มสระผมกันอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที หลังจากนั่งบนเก้าอี้แล้ว หลินเซี่ยไปหยิบอุปกรณ์มืออาชีพของเธอออกมา และเริ่มตัดผมให้พวกเขา

เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยออกจากห้องหลัก หล่อนก็เห็นหลินเซี่ยกำลังตัดผมให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้หยุดเดินโดยไม่รู้ตัวและยืนมองราวกับมันเป็นเรื่องตลก

ด้วยความสามารถอันน้อยนิด หล่อนยังกล้าที่จะรับงานอีก คงคิดว่าจะสามารถหลอกลวงคนในชนบทเพราะตัวเองมาจากเมืองสินะ?

เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่รีบร้อนที่จะกลับไปนอนที่ห้อง ขณะยืนรอเรื่องตลกหลังจากนี้

หวังหย่งกังพูดขึ้น “พี่สะใภ้ ผมกำลังจะไปนัดบอด พี่ต้องตัดทรงผมแบบหล่อ ๆ ให้ผมนะ ให้เหมือนกับทรงผมของเอ้อร์เลิ่ง”

แม้ว่าวันนี้ผมของเอ้อร์เลิ่งจะไม่ได้หวีอย่างเรียบร้อย ทว่าก็ยังดูมีสไตล์มาก ผมของเขาค่อนข้างแข็ง ข้อดีของผมประเภทนี้คือไม่จำเป็นต้องดูแลมาก และแทบไม่เสียทรงเลย

หลินเซี่ยหยิบหวีและพูดว่า “อย่าห่วงเลย รับประกันได้ว่าเธอจะต้องพอใจ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ไม่อยากเชื่อล่ะสิว่าเซี่ยเซี่ยจะมีฝีมือขนาดนี้ ทีนี้ก็ข่มเหงเขาไม่ได้แล้วล่ะ

ไหหม่า(海馬)