กล่องสินค้าบุบเข้าไปด้านใน โดยมีร่างของนักรบตะขาบที่นอนกองอยู่บนพื้น โดยที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้ แม้ว่าสมรรถภาพทางร่างกายของนักรบตะขาบจะแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเขาถูกพลังของแหวนอีเทอร์โจมตีเข้าอย่างรุนแรง ก็ทำให้เขาบาจเจ็บอย่างรุนแรงจนร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาไม่สามารถทนมันได้!

เมื่อนักรบตะขาบเห็นว่าซู่เจินกำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ เขาก็พยายามที่จะพยุงร่างกายของเขาลุกขึ้น แต่มันก็ล้มเหลว ทันใดนั้นร่างกายของเขาจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืนขึ้นมาเอง ไม่สิ! เขาลอยขึ้นต่างหาก

ซู่เจินค่อย ๆ ยื่นมือของเขาออกมาและกดมันลงไปบนร่างกายของนักรบตะขาบอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นการแสดงออกของนักรบตะขาบก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความเจ็บปวด และความหวาดกลัวในทันที

ส่วนเมย์ก็มองไปที่ซู่เจินด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ซู่เจินกำลังกลืนกินความสามารถของนักรบตะขาบ!

ตึง!

หลังจากนั้นไม่นานร่างของนักรบตะขาบก็ล้มลงกับพื้น

เมย์รีบเดินเข้าไปหานักรบตะขาบอย่างรวดเร็วเพื่อรีดไถข้อมูล แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร จู่ ๆ นักรบตะขาบก็ตาเหลือกขึ้นพร้อมกับมีเลือดพุ่งออกมาจากทวารทั้งหก และตายลงทันที

“อย่าไปเสียแรงกับเขาให้เสียเวลาเลย พวกเรารีบไปสนับสนุนโควสันและไมเคิลกันดีกว่า“

มันเป็นอย่างที่ซู่เจินคิดเอาไว้จริง ๆ ด้วยว่าภายในร่างกายของนักรบตะขาบนั้นมีอุปกรณ์บางอย่างถูกติดตั้งอยู่ภายในดวงตาของพวกเขา ซึ่งเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มันสามารถมองเห็นผ่านดวงตาของเหล่านักรบตะขาบได้จากระยะไกล และมันยังสั่งการให้ฆ่านักรบตะขาบจะระยะไกลได้อีกด้วยเพื่อป้องกันข้อมูลของพวกเขารั่วไหล!

เมื่อซู่เจินและเมย์เดินมาถึงที่ที่โควสันและไมเคิลอยู่ พวกเขาก็เห็นว่าโควสันในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก และดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ซึ่งตอนนี้เขากำลังนอนตัวพิงอยู่ข้าง ๆ กล่องสินค้า ส่วนไมเคิลในตอนนี้ก็กำลังต่อสู้อยู่กับนักรบตะขาบทั้งสองคน ซึ่งสถานการณ์ก็เริ่มไม่ค่อยดีแล้วเช่นกัน

“คุณช่วยไปตรวจดูอาการของโควสันหน่อยว่าเป็นอะไรมากไหม!”

ซู่เจินหันไปพูดกับเมย์ หลังจากนั้นเขาก็โบกมือของเขา ทันใดนั้นก็มีเชือกสองเส้นปรากฏขึ้นมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปรัดตัวของนักรบตะขาบทั้งสองคำนั้นเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ทำให้พวกเขาลอยขึ้นอย่างช้า ๆ

เมื่อซู่เจินมองไปยังสภาพที่น่าสมเพชของไมเคิล เขาก็พยักหน้าให้เบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมให้นักรบตะขาบทั้งสองคนที่ลอยอยู่พุ่งเข้าชนกันเองในอากาศอย่างรุนแรง

ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ….

หลังจากที่พุ่งชนกันอยู่หลายครั้งติดต่อกัน ไม่นานนักรบตะขาบทั้งสองคนก็หมดสติไป

เมื่อซู่เจินเห็นว่านักรบตะขาบทั้งสองคนหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็ค่อย ๆ ลากตัวของนักรบตะขาบทั้งสองคนมาไว้ข้างหน้าของเขาอย่างช้า ๆ

ซู่เจินเอามือของเขาวางไปที่ตัวของนักรบตะขาบทั้งสองคน และเริ่มกลืนกินความสามารถของพวกเขาทันที

ความสามารถของนักรบตะขาบทั้งสองคนถูกซู่เจินกลืนกินหายไปอย่างรวดเร็ว … ซึ่งหลังจากที่ซู่เจินได้กลืนกินไวรัสตะขาบมาสามครั้งติดต่อกันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณโอเคไหม?”

โคลสันและคนอื่น ๆ รีบเดินเข้ามาหาซู่เจินและถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

ซู่เจินส่ายหัวเบา “ไม่เป็นอะไรมาก แต่ผมคงต้องหยุดพักไปสักพักหนึ่ง“

“ถ้าอย่างนั้นคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ … เดี๋ยวพวกเราจะอยู่ที่นี่เพื่อหาข้อมูลต่อเอง ไม่แน่ว่าเราอาจจะพบเบาะแสอะไรเพิ่มเติมก็ได้“

โคลสันหันไปพูดกับซู่เจินเบา ๆ หลังจากนั้นเขาก็พาเมย์และไมเคิลเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินเดินไปที่กล่องสินค้าที่อยู่ข้าง ๆ และนั่งลงพร้อมกับมองไปที่ร่างของนักรบตะขาบทั้งสองคนที่ตายไปแล้ว

“ระบบ! ดูเหมือนว่าร่างกายของฉันมันจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะปกติแล้วเวลาฉันกลืนกืนความสามารถเข้าไปสามอย่างมันก็ไม่เห็นมันจะมีมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้ แล้วทำไมตอนนี้ฉันถึงรู้สึกอึดอัดมาก“ ซู่เจินถามระบบขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว

แถมเขายังรู้สึกอีกว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันรู้สึกวูบ ๆ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังชอนไชอยู่ในร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงและอึดอัดมาก!

“เดิมที่แล้วไวรัสตะขาบมีพื้นฐานมาจากไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสอีกทีหนึ่ง ทำให้มันมีส่วนผสมบางอย่างที่ต่อต้านกับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส ซึ่งเจ้าส่วนผสมตัวนี้มันก็ทำให้กระบวนการหลอมรวมภายในร่างกายของโฮสต์ทำงานได้ผิดปกติ และอาการที่โฮสต์เป็นอยู่นี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ว่าโฮสต์จะกลืนกินความสามารถไปมากเท่าไหร่ แต่มันมาจากต้นกำเนิดของไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิส และไวรัสตะขาบที่มีส่วนผสมที่แตกต่างกัน! แต่โฮสต์ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะว่าอีกไม่นานร่างกายของโฮสต์ก็จะปรับสภาพและหลอมรวมไวรัสทั้งสองเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ“

เมื่อได้ยินคำตอบจากระบบ ซู่เจินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ซู่เจินคิดไม่ถึงว่าไวรัสตะขาบจะสามารถหลอมรวมเข้ากับไวรัสเอ็กซ์ตรีมมิสได้เช่นนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีปัญหาเล็กน้อยตอนหลอมรวม แต่ถ้าเกิดว่ามันหลอมรวมสำเร็จขึ้นมาละก็ …. พลังของมันจะไม่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลเลยงั้นหรอ ?

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซู่เจินก็เริ่มรู้สึกว่าหัวของเขาหนักขึ้นเล็กน้อย และตาของเขาก็เริ่มที่จะหลับลง ทำให้เขาต้องกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาและเดินออกไปจากโรงงานอย่างรวดเร็ว เพราะว่าตอนนี้โควสันก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมากนัก แถมที่นี่ก็หมดประโยชน์กับซู่เจินแล้วเช่นกัน

และถ้าเกิดว่าซู่เจินเป็นลมหมดสติอยู่ที่นี่ มันคงจะน่าอายมากอย่างแน่นอน

หลังจากที่ซู่เจินเดินออกมาจากโรงงาน สภาพของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าลมเย็น ๆ ที่พัดอยู่ด้านนอก

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความง่วงที่มาจากการหลอมรวมไวรัสของเขาหายไปเลยแม้แต่น้อย

“ผมมีสิ่งที่ต้องทำด่วนมาก … ดังนั้นผมขอตัวก่อน“

ซู่เจินพูดอะไรบางอย่างขึ้นมากับวิทยุสื่อสาร หลังจากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังบินไปที่ไหน ก่อนที่เขาจะเจอเข้ากับโรงแรมที่อยู่บริใกล้เคียง เขาร่อนลงอย่างรวดเร็วและเดินไปเข้าไปในโรงแรมทันที

หลังจากที่ซู่เจินเปิดห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปที่ห้องแล้วนอนลงบนเตียงทันที จากนั้นเขาก็ … หมดสติไปอย่างรวดเร็ว

ซู่เจินรู้สึกเหมือนว่าเขาในตอนนี้กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ในขณะที่ร่างกายของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และเขาก็เริ่มรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่อยู่ภายในร่างกายของเขา! ซึ่งซู่เจินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว … เขาค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ในขณะที่ข้างนอกนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืนเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ห้องนอนของซู่เจินนั้นมืดลงเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปเปิดไฟพร้อมกับมองไปที่โทรศัพท์ของเขา ซึ่งเขาก็เห็นว่าตอนนี้มันเป็นเวลาสามทุ่ม นั่นก็หมายความว่าเขานอนหมดสติไปประมาณหกถึงเจ็ดชั่วโมงเลยที่เดียว แถมเขายังรู้สึกได้อีกว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล และเมื่อเขาลองใช้พลังของเขาออกมา มันก็ทำให้ภายในห้องเต็มไปด้วยคลื่นความร้อนทันที!

เมื่อซู่เจินมองไปที่ตู้ไม้ที่วางอยู่ข้างเตียง เขาก็พบเข้ากับรอยเผาไหม้จากคลื่นความร้อนได้อย่างชัดเจน

“ดูเหมือนว่าพลังมันจะแข็งแกร่งขึ้นประมาณสองถึงสามเท่า!”

ซู่เจินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็ตรวจเช็คบันทึกการโทรของเขาทันที

มีสายของสกาย และโควสันติดต่อมาหลายสายมาก

ทำให้ซู่เจินคิดได้ทันทีเลยว่าพวกเขาน่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน

“คุณอยู่ที่ไหน?”

ซู่เจินรีบโทรไปหาสกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเสียงของสกายที่ตอบกลับซู่เจินมานั้นค่อนข้างกังวลเล็กน้อย

“คุณอยู่ที่ไหน ? ตอนนี้เราเจอปัญหาแล้ว!”

“โอเค! เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลย“

เมื่อซู่เจินได้ยินน้ำเสียงของสกายเขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันรุนแรงมากแค่ไหน เขารีบเปิดหน้าต่างของโรงแรมและบินออกไปทันที

เมื่อซู่เจินกลับมาถึงยานบิน เขาก็เห็นว่าเมย์ , สกาย , เจมมา และซิทซ์ กำลังมีสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเล็กน้อย

“ซู่เจิน! ตอนนี้โควสันถูกพวกนักรบตะขาบจับตัวไป ส่วนไมเคิลก็อาจจะ … ตายไปแล้ว“ เมื่อสกายเห็นว่าซู่เจินเดินทางมาถึงแล้วเธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ

“มันเกิดขึ้นแล้ว … “

ซู่เจินถอนหายใจออกมาเบา ๆ ภายในจิตใจของเขา และไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป

เพราะซู่เจินรู้อยู่แล้วว่าโควสันถูกจับตัวไปไว้ที่ไหน และเขาก็รู้ด้วยว่าทำไมโควสันถึง ‘ฟื้นคืนชีพ’ ขึ้นมาได้หลังจากที่ถูกโลกิฆ่าตายที่นิวยอร์ก ส่วนไมเคิลแน่นอนว่าเขายังไม่ตาย แต่จะถูกดัดแปลงให้กลายเป็นนักรบแห่งความตายโดยองค์กรนักรบตะขาบและแม้ว่าเหตุการณ์มันจะผิดแปลกไปจากที่ซู่เจินรู้มาบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยเช่นเดิมอยู่ดี

“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้พวกเขายังปลอดภัยดี!” ซู่เจินพูดขึ้นมา

“คุณพูดจริงใช่ไหม ?” สกายถามขึ้นมาทันที

ซู่เจินพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับชี้ไปที่หัวของเขาและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน! เพราะว่าผมสามารถมองเห็นมันได้ชัดเจนเลยล่ะ!”

เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ซู่เจินพูด พวกเขาก็นึกขึ้นมาได้ทันทีเลยว่าซู่เจินมีความสามารถในการทำนายอนาคตอยู่ … ทำให้พวกเขาทุกคนในตอนนี้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกและค่อย ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดลง