ตอนที่ 29 ผมยังเด็กอยู่ อย่ามาหลอกผมนะ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 29 ผมยังเด็กอยู่ อย่ามาหลอกผมนะ

ตอนที่ 29 ผมยังเด็กอยู่ อย่ามาหลอกผมนะ

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาประหลาดใจของพ่อลูก หลินเซี่ยก็พูดด้วยรอยยิ้ม “อะไร? พวกคุณไม่เชื่อฉันเหรอ?”

เฉินเจียเหอเอามือแตะจมูก สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติพลางกล่าวว่า “คุณป้าเป็นคนเอาจักรเย็บผ้ามาไว้ที่บ้านยาย มันยังใช้งานได้อยู่”

“คุณรู้วิธีทำชุดเครื่องแบบทหารด้วยเหรอ?” หู่จือยังอยู่ในวัยไร้เดียงสา เขาจึงไม่ปิดบังความสงสัยเหมือนกับที่เฉินเจียเหอทำ

“ฉันจะลองดู”

ในชีวิตที่แล้วเธอไต่เต้าจากช่างทำผมมาเป็นช่างแต่งหน้าในกองถ่ายภาพยนตร์ ต่อด้วยการฝึกฝนเพิ่มเติม จนกลายเป็นสไตลิสต์พิเศษของเสิ่นอวี้อิ๋ง ซึ่งเธอสามารถแต่งหน้า ทำผม จับคู่เสื้อผ้าและเครื่องประดับได้อย่างมืออาชีพ

บางครั้งที่เสื้อผ้าของเสิ่นอวี้อิ๋งไม่พอดีตัว เธอจึงต้องปรับเปลี่ยนแก้ไข ถึงขั้นขลุกอยู่กับการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อให้บริการกับเสิ่นอวี้อิ๋งได้ดียิ่งขึ้น

เธอจึงค่อนข้างมีความสามารถรอบตัว

เธอรู้วิธีใช้จักรเย็บผ้าและสามารถทำเสื้อผ้าสำหรับเด็กตามแบบตัดเสื้อ

“ผมยังเด็กอยู่ อย่ามาหลอกผมนะ” หู่จือมองเธอด้วยดวงตาสดใส

“ฉันไม่ได้หลอก อีกครู่เราจะไปเลือกซื้อผ้ากัน เธอเลือกสีและลายตามที่ตัวเองต้องการได้เลย”

ในที่สุดหู่จือก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบรอไม่ไหว “ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปซื้อผ้ากันเถอะ”

“เดี๋ยวก่อน” เฉินเจียเหอเข้ามาหยุดหลินเซี่ยที่ถูกหู่จือดึงตัวไป และพูดกับเธอว่า “คุณมีอะไรที่เห็นแล้วชอบบ้างไหม ผมจะซื้อให้”

เมื่อเฉินเจียเหอถามคำถามนี้ เขาก็ไม่มีความหวังมากนัก

แม้แต่หู่จือยังไม่คิดว่าเสื้อผ้าเหล่านี้น่าดึงดูดใจ แล้วหลินเซี่ยที่เป็นเด็กสาวเติบโตมาในเมืองจะชอบเสื้อผ้าเรียบง่ายของที่นี่ได้อย่างไร?

“ฉันอยากได้เสื้อบุนวมค่ะ”

ฤดูหนาวที่นี่อุณหภูมิต่ำมากจริง ๆ เธอควานหาเสื้อผ้าทั้งหมดที่มีและลงเอยด้วยการสวมเสื้อสเวตเตอร์ลายเกล็ดหิมะเพื่อให้ความอบอุ่น หลังจากที่แต่งงาน ตระกูลหลินมอบเสื้อผ้าสองชุดเป็นสินสอด แต่พวกมันเป็นเสื้อผ้าเนื้อบาง ซึ่งไม่มีประโยชน์สำหรับตอนนี้

เธอไม่สามารถนั่งเฉย ๆ บนเตียงเตาได้ตลอดทั้งวัน

หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ เฉินเจียเหอก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเธอไม่มีเสื้อผ้าชั้นหนาให้สวมใส่เลย

ฉับพลันความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในใจ

เขาตอบว่า “มีตัวไหนที่คุณชอบบ้างไหม? ถ้าไม่มี เราไปเดินดูที่อื่นก็ได้”

หู่จือด้านข้างพ่นลมหายใจเย็นชา ขณะจ้องมองเฉินเจียเหอด้วยความไม่พอใจ

ตอนเขาไม่ชอบ ก็บอกว่าไม่ต้องซื้อ

แต่พอแม่เลี้ยงไม่ชอบ กลับชวนไปดูที่อื่น

“ตัวนั้นก็ดีนะคะ” หลินเซี่ยพูดพลางชี้ไปที่เสื้อบุนวมสีแดงตัวสั้นที่แขวนอยู่ในร้านขายเสื้อผ้า

เธอเป็นเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ดังนั้นจึงควรแต่งตัวตามเทศกาลมากขึ้น

จริง ๆ แล้วเสื้อผ้าในยุคนี้จะกลับมาอยู่ในตู้เสื้อผ้าของผู้คนอีกครั้งในอนาคตด้วยแฟชั่นย้อนยุค เธอจึงไม่รู้สึกว่าเสื้อบุฝ้ายแบบนี้ล้าสมัยเลย

เฉินเจียเหอขอให้เจ้าของร้านนำมันลงมา ก่อนที่หลินเซี่ยจะลองสวมมัน

เธอสูงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร และหนักเพียงห้าสิบกิโลกรัม จึงสวมชุดไซต์เล็กสุดได้อย่างพอดิบพอดี

ด้วยผิวขาวละออของเธอ การสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงไม่เพียงทำให้ผิวของเธอดูผ่อง แต่ยังทำให้ดูอ่อนเยาว์มากขึ้นอีกด้วย

เสื้อบุนวมสีแดงราคาสี่สิบหยวน ซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับยุคสมัยนี้

ขณะที่อาหาร ผัก และผลไม้มีราคาถูก แต่ด้วยการพัฒนาที่ไม่สมดุล เสื้อผ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จึงมีราคาไม่ถูกเลย บางทีอาจแพงกว่าในอนาคตด้วยซ้ำ

เฉินเจียเหอขอให้หลินเซี่ยใส่ต่อไป ก่อนถือเสื้อตัวเก่าของเธอและเดินไปจ่ายเงิน

หลินเซี่ยขยันหาเงินด้วยตัวเองในชาติที่แล้วมาโดยตลอด ตอนนี้เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องยืนรอคนอื่นจ่ายเงินให้

แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นสามีของเธอก็ตาม

เฉินเจียเหอถือเสื้อตัวเก่าของเธอและพูดว่า “ไปซื้อกางเกงกับรองเท้าด้วยแล้วกัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ ที่บ้านยังมีทั้งกางเกงและรองเท้าอยู่”

เธอเห็นรองเท้าหนังคู่หนึ่งอยู่รวมในของสินสอดทองหมั้น ซึ่งคงเป็นหลิวกุ้ยอิงที่ซื้อให้

เงินเดือนของเฉินเจียเหอไม่ได้สูงมากมาย และยังต้องเลี้ยงลูก แม้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจะไม่ได้มีราคาแพง แต่เธอก็เกรงใจที่จะซื้อมัน

จากนี้มุ่งเน้นหาเงินด้วยตัวเองดีกว่า

การเป็นคนไม่มีเงินในชนบทเป็นเรื่องยากมาก และยากยิ่งกว่าที่จะกลับไปเมืองไห่เฉิงโดยไม่มีเงิน

แม้ว่าเธอจะเต็มใจติดตามเฉินเจียเหอและอาศัยอยู่กับเขาหลังการเกิดใหม่ แต่เธอก็ต้องตระหนักถึงอิสรภาพทางการเงินด้วยเช่นกัน

หลังจากซื้อเสื้อผ้าแล้ว พวกเขาก็เดินไปร้านขายผ้าเพื่อซื้อผ้าทำชุดให้หู่จือ

“หู่จือ เพื่อนร่วมชั้นของเธอใส่ชุดทหารแบบไหน เป็นผ้าลายแบบและสีอะไร?”

หู่จือเลือกผ้าที่แขวนอยู่ตรงหน้า

หลังจากเลือกอยู่นาน เขาใช้มือเล็กชี้ขึ้นไป “อันนั้น สีเขียวทหาร เหมือนสีเดียวกับที่พ่อเคยใส่เมื่อก่อน”

หลินเซี่ยถาม “ผ้านี้ขายยังไงคะ?”

“นี่เป็นผ้าขนสัตว์ ราคาฉื่อละสองหยวนห้าเหมา” แม่ค้าแผงขายตอบ

หลินเซี่ยสัมผัสผ้าแล้วรู้สึกว่าคุณภาพดี ผ้านี้เมื่อทำเป็นเสื้อผ้าจะให้ความอบอุ่นได้ดีเยี่ยม วันไหนที่อากาศแจ่มใสก็ใส่เสื้อสเวตเตอร์ไว้ด้านในได้

เธอถาม “ลดอีกหน่อยได้ไหมคะ?”

“สาวน้อย อย่าต่อรองกันเลย นี่ก็ขายในราคาที่รับมาแล้ว”

“งั้นเอาห้าฉื่อค่ะ”

หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่ามีผ้าซาตินวางอยู่ใกล้ ๆ เธอก็จำได้ว่าในอดีต หากผู้สูงอายุคนไหนสวมใส่ชุดผ้าซาตินที่มีปกกว้างได้ นั่นบ่งบอกว่าพวกเขามาจากตระกูลที่ร่ำรวย

เธอคิดที่จะทำชุดผ้าซาตินปกกว้างจากผ้านี้ให้กับคุณยายของเฉินเจียเหอ

แม่เฒ่าโจวเป็นคนเข้าสังคม เสื้อผ้าทั้งหมดที่สวมใส่ตอนนี้ล้วนเป็นเสื้อปกกว้าง

“ฉันอยากทำชุดให้คุณยายด้วยผ้าซาตินผืนนี้ คุณมีเงินพอไหมคะ?” หลินเซี่ยหันไปถามเฉินเจียเหอ

เฉินเจียเหอไม่คาดคิดว่าเธอจะเกรงใจถึงขนาดนี้ โดยคำนึงถึงกระเป๋าเงินของเขาเมื่อซื้อของ

เพราะเพิ่งซื้อเสื้อบุนวมให้ก่อนหน้า เธอจึงเกรงว่าเขาจะมีเงินไม่พอเหรอ?

“พอครับ คุณสามารถซื้ออะไรก็ได้ตามที่ต้องการ”

หลินเซี่ยหันไปพูดกับแม่ค้า “ถ้าอย่างนั้นขอผ้าซาตินอีกสามฉื่อค่ะ”

หลังจากคำนวณราคาแล้ว หลินเซี่ยมองกองผ้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สาว เราซื้อผ้าเยอะมาก งั้นช่วยแถมผ้ารองไหล่สำหรับเด็กสองชิ้นได้ไหมคะ”

แม่ค้าส่ายหัว “สาวน้อย ไม่ได้หรอก ถ้าอยากได้ก็ต้องจ่าย ผ้ารองไหล่อันละห้าเหมา”

“พรุ่งนี้ฉันว่าจะพาพี่สาวที่ชอบการตัดเย็บเหมือนกันมาที่นี่ แต่ในเมื่อคุณไม่มีแม้แต่ผ้ารองไหล่ ครั้งหน้าฉันคงต้องไปร้านอื่นแล้ว”

พี่สาวร้านขายผ้าได้ยินเช่นนั้นก็โบกมือ “ได้ ๆ ๆ เอาไปคู่หนึ่งแล้วกัน ฉันจะให้ผ้าลายดอกนี้ด้วย อย่าลืมแนะนำคนอื่นให้มาซื้อที่นี่เยอะ ๆ ล่ะ ผ้าทั้งหมดของร้านนี้ฉันนำเข้ามาจากทางใต้ และมีคุณภาพดีเยี่ยม”

การเก็บเศษผ้าที่เหลือไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะผ้าบางชนิดเหมาะสำหรับทำพื้นรองเท้าเท่านั้น จึงมีคนมาขอซื้อมันในราคาต่ำ

อย่างไรก็ตามผ้าด้านหลังลายดอกโบตั๋นที่ไม่ได้ใช้นั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขา เพื่อแลกกับมีลูกค้าเพิ่ม พี่สาวร้านขายผ้าจึงตัดสินใจมอบผ้าผืนใหญ่ทั้งชิ้นให้กับหลินเซี่ย

หลังจากรับผ้ามาแล้ว เฉินเจียเหอก็จ่ายเงิน ครอบครัวทั้งสามเดินออกจากห้างสรรพสินค้า หู่จือยังคงกังวลและคว้าแขนของหลินเซี่ยพร้อมถามอีกครั้งว่า “คุณทำชุดทหารแบบตงตงให้ผมได้จริงเหรอ?”

“ทำได้สิ”

“แต่คุณไม่เคยเห็นชุดของตงตง” หู่จือเป็นกังวลอย่างมาก

หลินเซี่ยตอบอย่างใจเย็น “แต่ฉันเคยเห็นชุดทหารมาก่อน หากจำเป็นจริง ๆ ก็ขอให้พ่อเธอหาชุดทหารตัวเก่าของเขามา ฉันจะได้ใช้เป็นแบบอย่าง”

“ผมไม่ใส่เสื้อผ้าขี้เหร่หรอกนะ”

“แต่ถ้ามันออกมาดูดี เธอห้ามเรียกฉันว่าแม่เลี้ยงใจร้ายอีก”

เฉินเจียเหอถือของและเดินตามอยู่ด้านหลัง รับฟังการสนทนาระหว่างหญิงสาวและเด็กน้อย ก่อนจะเผยยิ้มออกมา

นี่ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว หู่จือตะโกนขึ้นว่าเขาหิวและอยากกินข้าว

เฉินเจียเหอจึงบอกให้หากินอะไรก่อนแล้ว ค่อยซื้อของอย่างอื่นทีหลัง

หลินเซี่ยมองเฉินเจียเหอและถามความคิดเห็นของเขาว่า “เราไปร้านซื่อจี้เซียงที่สี่แยกทางประตูทิศใต้ดีไหม? ฉันได้ยินจากแม่ว่าน้องสาวของฉันทำงานเป็นบริกรหญิงที่นั่น ฉันอยากเจอเธอสักหน่อย”

ตั้งแต่มาถึงตัวเมือง หลินเซี่ยอดไม่ได้ที่จะคิดถึงหลินเยี่ยนผู้เป็นน้องสาวได้เลย

หลังจากการเกิดใหม่ เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้ไขความสัมพันธ์กับคนที่เธอรัก และเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกเสิ่นอวี้อิ๋งใช้งานและทำร้ายอีก

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คอยดูฝีมือของแม่เลี้ยงได้เลย แม่เลี้ยงนี่มือโปรเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)