ตอนที่ 30 ราวกับว่าเงินกำลังกวักมือเรียก

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 30 ราวกับว่าเงินกำลังกวักมือเรียก

ตอนที่ 30 ราวกับว่าเงินกำลังกวักมือเรียก

เฉินเจียเหอทำทางไปยังร้านซื่อจี้เซียงที่ทางแยกหนานกวน

เมื่อใกล้วันปีใหม่ ผู้คนจำนวนมากก็เข้าเมืองเพื่อซื้อของในตลาด ทำให้ทางเข้าร้านอาหารคึกคักมากเช่นกัน บางคนเพิ่งเดินออกจากร้าน บางคนถือของพะรุงพะรังขณะเข้าแถวรอเข้าไปทานอาหารด้านใน

เฉินเจียเหอพาหลินเซี่ยและหู่จือเข้าไป ร้านอาหารไม่ใหญ่มาก โต๊ะไม่กี่ตัวเต็มไปด้วยผู้คน

มีเมนูติดไว้บนผนัง ทั้งบะหมี่เครื่องผัด บะหมี่ และโร่วเจียโหมว

“พวกคุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?”

หลินเซี่ยตอบ “ฉันอยากกินบะหมี่เครื่องผัด”

“ผมก็อยากกินบะหมี่เครื่องผัดเหมือนกัน”

เฉินเจียเหอสั่งบะหมี่เครื่องผัดสามชาม หลังจากจ่ายเงิน พวกเขามายืนข้างกำแพงเพื่อรอโต๊ะว่าง

ทันทีที่แขกโต๊ะหนึ่งรับประทานอาหารเสร็จ หู่จือรีบวิ่งเข้าไปจับจองที่นั่งและเชิญทั้งสองมานั่ง

เมื่อหลินเซี่ยเข้ามา เธอหันมองไปรอบ ๆ ร้านอาหารเพื่อมองหาหลินเยี่ยน

หลังจากมองอยู่นานก็ไม่พบ

ในเวลานี้เธอรู้สึกร้อนใจและต้องการพบน้องสาวผู้เป็นเด็กสาวร่างผอมในความทรงจำคนนั้นอย่างเร่งด่วน

เธอรู้สึกผิดต่อหลินเยี่ยน ตอนที่กลับมาจากเมืองครั้งแรก หลินเยี่ยนต้อนรับเธออย่างกระตือรือร้น อย่างไรก็ตามเธอเอาแต่นอนอยู่บนเตียงเตาและไม่เต็มใจที่จะโต้ตอบกับใคร ปกติหลินเยี่ยนเป็นคนเก็บตัวอยู่แล้ว หล่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับมาทำงานร้านอาหาร

ตอนที่เธอแต่งงาน หลินเยี่ยนกลับมาร่วมงานและซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ เธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับน้องสาวคนนี้เท่าใด ด้วยความอยากกลับเข้าเมือง เธอจึงไม่เคยคิดจะสร้างความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องกับอีกฝ่ายเลย

ชีวิตก่อน หลินเยี่ยนถูกเสิ่นอวี้อิ๋งเรียกตัวไปในเมือง แม้ภายนอกเสิ่นอวี้อิ๋งจะปฏิบัติกับหล่อนเหมือนน้องสาว และยังจัดหางานให้หล่อนเป็นพี่เลี้ยงเด็กในบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือให้หล่อนเป็นแม่อุ้มบุญแก่คู่สามีภรรยาสูงอายุที่ไม่สามารถมีบุตรได้

หลินเยี่ยนผู้บริสุทธิ์ตกหลุมพรางแห่งการลวงหลอก ทั้งยังถูกบังคับให้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรให้คนอื่น จิตใจบอบช้ำนำไปสู่การเสียสติในท้ายที่สุด

ในขณะเดียวกันเสิ่นอวี้อิ๋งก็กล่าวคำว่าร้ายหล่อน โดยบอกว่าหลินเยี่ยนมีประพฤติตัวล่อลวงเจ้านายและทำเรื่องผิดศีลธรรม ซึ่งทำให้หลินเซี่ยดูถูกหลินเยี่ยนมากยิ่งขึ้น เธอเชื่อว่าหลินเยี่ยนเป็นผู้นำความอัปยศมาสู่ตระกูลหลิน และแทนที่จะช่วยเหลือหลินเยี่ยนในระหว่างที่เผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เสิ่นอวี้อิ๋งกลับตีตัวออกห่างจากหล่อน

กระทั่งหลินจินซานพี่ชายคนโตยังเข้าใจผิดว่าหลินเยี่ยนเป็นเมียน้อยคนอื่น จึงตัดความสัมพันธ์กับหล่อนทันที

ด้วยการหลอกใช้หลินเยี่ยน ทำให้เสิ่นอวี้อิ๋งประสบความสำเร็จในการตีสนิทกับคู่รักเศรษฐี และได้รับผลประโยชน์มากมาย

ผู้หญิงคนนั้นปีนขึ้นสู่ตำแหน่งของเธอ โดยเหยียบย่ำความโชคร้ายและการเสียสละของตระกูลหลิน

ขณะที่หลินเซี่ยจมอยู่กับความคิด เด็กสาวร่างผอมสวมผ้ากันเปื้อนก็ออกมาเก็บชาม

เฉินเจียเหอสะกิดหลินเซี่ยที่กำลังฟุ้งซ่านและพูดว่า “น้องสาวของคุณออกมาแล้ว”

หลินเซี่ยกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เธอเห็นหลินเยี่ยนหยิบชามออกไป เธอจึงรีบลุกขึ้นและเรียกอีกฝ่าย “หลินเยี่ยน”

หลินเยี่ยนหันกลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นครอบครัวทั้งสาม หล่อนก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

แต่ไม่มีความดีใจแฝงอยู่เลย

หล่อนไม่คาดคิดว่าหลินเซี่ยจะเริ่มทักทายก่อน

“หู่จือ ทักทายคุณน้าสิ”

แม้ว่าหู่จือจะเรียกหลินเซี่ยว่าแม่เลี้ยงใจร้ายที่บ้าน แต่เขามักพูดจาสุภาพเวลาออกมาข้างนอกเสมอ และเมื่อเห็นหลินเยี่ยน เขาก็เรียกหล่อนว่าคุณน้าด้วยความเคารพ

ท่าทางของหลินเซี่ยที่มีต่อหล่อนดูเปลี่ยนไปอย่างมากกระทั่งหล่อนถึงกับตกตะลึง ก่อนถามไปว่า “พี่มากินข้าวเหรอคะ?”

หลินเซี่ยมองหล่อนด้วยความรักใคร่และตอบไปว่า “เรามาที่นี่เพื่อซื้อของน่ะ ฉันจำคำพูดของแม่ที่เคยบอกว่าเธอทำงานที่นี่ ฉันก็เลยมาหา”

เห็นได้ชัดว่าหลินเยี่ยนตกใจมากเมื่อได้ยินคำว่า “แม่”

หล่อนสับสนมากเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลินเซี่ยผู้หยิ่งยโสและดูถูกคนในชนบท กลับเต็มใจเรียกหญิงคนนั้นว่าแม่

“วันนี้วันที่ยี่สิบสี่แล้ว เมื่อไหร่เธอถึงจะได้หยุดพักผ่อน?” หลินเซี่ยถามหล่อนด้วยความห่วงใย

หลินเยี่ยนตอบ “วันที่ยี่สิบเก้าค่ะ ช่วงนี้ร้านอาหารจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ”

“หลินเยี่ยน แทนที่จะทำงาน มัวคุยอะไรอยู่?” เสียงอันเข้มงวดตะโกนใส่หล่อนจากทางหน้าต่าง

หลินเยี่ยนตกใจมากและรีบตอบกลับ “มาแล้วค่ะ”

หล่อนกระซิบ “ฉันไปทำงานก่อนนะ”

หลังจากนั้นหล่อนก็รีบยกชามกองโตเข้าไปในห้องครัว

หลินเซี่ยสังเกตเห็นมือของหลินเยี่ยนที่โดนน้ำแข็งกัด ทำให้เธอเจ็บปวดหัวใจนัก

นี่ดูไม่เหมือนมือของเด็กสาวเลย

หลังบะหมี่เครื่องผัดถูกนำมาเสิร์ฟ เฉินเจียเหอนำมาวางด้านหน้าพวกเขาและยื่นตะเกียบให้ “รีบกินเถอะ”

หู่จือมองชามอาหารที่ใหญ่กว่าหัวของเขาตรงหน้า

“พ่อ ผมกินไม่หมดแน่”

“เดี๋ยวพ่อกินเองถ้าลูกกินไม่หมด”

เฉินเจียเหอกินบะหมี่ในชามอย่างรวดเร็วราวกับพายุหมุน จากนั้นตักบะหมี่มากกว่าครึ่งจากชามของหู่จือและเทซุป โดยหลงเหลือไว้เพียงบะหมี่ก้อนเล็กในชามให้เด็กชายกิน

มุมปากของหลินเซี่ยกระตุกเล็กน้อย ขณะมองดูเฉินเจียเหอกินบะหมี่เกือบสองชามจนหมด

มันคงเป็นมื้อที่อร่อยมากจริง ๆ

ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหาร หลินเยี่ยนก็เดินออกมาเก็บชามอีกครั้ง หลินเซี่ยอยากพูดคุยกับเด็กสาวต่อ ทว่าไม่มีโอกาส เพราะหลินเยี่ยนกลัวว่าเจ้านายจะดุ หล่อนจึงรีบยกชามเข้าไปในครัวทันที

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หลินเซี่ยวิ่งไปที่ประตูห้องครัวและพูดบางสิ่งกับหลินเยี่ยน ก่อนจะเดินจากไป

ทันทีที่ออกจากร้านอาหาร หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่ามีร้านตัดผมอยู่ตรงข้าม ประตูร้านเปิดอยู่ ทำให้เห็นช่างทำผมด้านในกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น โดยมีผู้หญิงหลายคนรออยู่ที่นอกประตู

ใกล้วันปีใหม่แล้ว ไม่เพียงร้านอาหารที่มีคนจำนวนมาก แต่ร้านตัดผมฝั่งตรงข้ามก็ยังเต็มไปด้วยลูกค้ามากมาย

แน่นอนว่าเมืองประจำเทศมณฑลมีความทันสมัยมากกว่าเมืองเล็กและหมู่บ้านต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐและคนงานในโรงงานจำนวนมากถือเป็นชนชั้นสูงในสถานที่ขนาดเล็กแห่งนี้ อะไรก็ตามที่ได้รับความนิยมในเมืองใหญ่ มันย่อมแพร่หลายในหมู่พวกเขาอย่างรวดเร็ว

หลินเซี่ยเห็นผู้คนต่อแถวยาวด้านนอกประตู เธอรู้สึกราวกับว่าเงินกำลังกวักมือเรียกเธอ

เธอหันมาพูดกับเฉินเจียเหอและหู่จือว่า “พวกคุณรออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะไปร้านตัดผมนั่นสักหน่อย”

“ไปทำไม?” เฉินเจียเหอถาม

“แค่จะลองเข้าไปดูหน่อยค่ะ” จากนั้นเธอก็วิ่งออกไป

เฉินเจียเหอมองดูลูกค้าที่อัดแน่นอยู่ด้านนอกร้านตัดผม จากนั้นมองร่างบางที่ข้ามถนนและกำลังเบียดเสียดตัวเองเข้าไป คิ้วของเขาพลันขมวดเข้าหากัน ขณะคาดเดาเจตนาของเธอได้

เขารู้สึกเป็นกังวล จึงจูงมือหู่จือติดตามไปทันที

ภายในร้านตัดผม ช่างทำผมกำลังดัดผมบนศีรษะของผู้หญิงคนหนึ่ง ขณะที่มีลูกค้าอีกหลายรายรอตัดผมอยู่ด้านข้าง

หญิงสาวที่เป็นเด็กฝึกงานกำลังสระผมให้ลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวที่แต่งตัวมีสไตล์สองถึงสามคนยืนอยู่ที่ทางเข้า

เมื่อเห็นหลินเซี่ยเบียดตัวเข้ามา เถ้าแก่เนี้ยก็ถามขึ้นว่า “มาตัดผมเหรอ?”

“ฉันแค่อยากเข้ามาดูด้านในค่ะ” หลินเซี่ยมองอุปกรณ์ภายในร้านตัดผม

มีเครื่องเป่าผมสองอัน เก้าอี้ตัดผมสี่ตัว บนผนังมีโปสเตอร์หลายแผ่นซึ่งแสดงทรงผมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนั้น

ผนังติดกระจกทั้งหมด ค่อนข้างหรูหราสำหรับเมืองขนาดเล็กแห่งนี้

เมื่อเห็นหลินเซี่ยไม่ได้เอ่ยถึงคำขอ และเพียงมองไปรอบ ๆ เถ้าแก่เนี้ยจึงพูดว่า “คุณคะ ถ้าต้องการตัดผม ต้องรอสักครู่นะคะ”

“แล้วดัดผมล่ะคะ?” หลินเซี่ยถาม

“ดัดผมจะใช้เวลานานยิ่งกว่า คุณผู้หญิงที่รออยู่ข้างนอกพวกนั้นล้วนมาดัดผมกันทั้งนั้นแหละค่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เจอน้องสาวแล้ว ขอให้สานสัมพันธ์กับน้องสาวได้นะ

ไม่ได้มาตัดผมหรอกค่ะ แต่จะมาสมัครเป็นช่าง

ไหหม่า(海馬)