ตอนที่ 30 ก่อนที่พี่ชายจะไป เขาบอกให้หนูดูแลพี่

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 30 ก่อนที่พี่ชายจะไป เขาบอกให้หนูดูแลพี่ (รีไรท์)

ตอนที่ 30 ก่อนที่พี่ชายจะไป เขาบอกให้หนูดูแลพี่ (รีไรท์)

ไม่คิดว่าเผยตงที่หายไปหลายวันจะกลับมาในกลางดึก อีกทั้งยังเรียกรถกระบะคันใหญ่มาด้วย

ซูเถาขยี้ตาแล้วออกไปขนสินค้าให้เธอโดยระวังไม่ให้ผู้เช่ารายอื่นเห็นหรือได้ยิน

แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นการช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม แต่ก็ยากที่จะอธิบายกับผู้อื่นเหมือนกันว่าอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำการมิชอบ แต่ประชาชนทั่วไปทำไม่ได้ จำกัดการซื้อสินค้าจากทุกคน แต่กลับอำนวยความสะดวกให้กับรองผู้บัญชาการกองกำลังปกป้องเมือง

มันยากที่จะอธิบาย ดังนั้นจึงต้องทำอย่างลับ ๆ

เผยตงเองก็เข้าใจในเหตุผลนี้ดี เธอบอกกับคนที่มาช่วยเธอขนของให้ช่วยกันเดินอย่างเงียบ ๆ หลังจากขนของจนอัดแน่นเต็มคันแล้ว ฟ้าก็เกือบสว่าง ซูเถาจึงเร่งพวกเขา

“พี่เผยใกล้เสร็จหรือยัง อย่าเพิ่งโลภมากเกินไป ครั้งหน้าค่อยกลับมาเอาใหม่ฉันไม่หนีไปไหนหรอก”

จากนั้นเผยตงก็หยุดการกวาดล้างที่เหมือนกับปีศาจบุกหมู่บ้าน เธอลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถามว่า “เมื่อไหร่ที่นี่จะมีห้องว่างให้ฉันเช่า เก็บไว้ให้ฉันสักสี่สิบห้องได้ไหม?”

จะเป็นการดีกว่าถ้าจะส่งคนจากข้างนอกเข้าไปอยู่ในเถาหยาง

ซูเถาแทบกระอักเลือด “ไม่ได้มีมากขนาดนั้นหรอก ให้ตายเถอะ”

เผยตงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ตกลง ไว้ฉันค่อยกลับมาใหม่ ช่วงนี้ฉันได้ยินมาว่าเธอขอบอดี้การ์ดส่วนตัวจากสือจื่อจิ้น แต่เธอก็ยังประมาทไม่ได้นะ ยังไงก็พยายามหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกให้มากที่สุด จำนวนคนและสัตว์ที่โดนฆ่าโดยซอมบี้พวกนั้นเกินสิบแล้วและอาจจะมีศพที่เรายังไม่พบอีก”

ซูเถาตกใจ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสลดใจมาก

“แต่ถ้าเธอต้องการออกไปข้างนอกจริง ๆ ก็ให้บอกฉันล่วงหน้า ฉันจะได้คอยดูเธอ”

ซูเถาตระหนักได้ว่าเผยตงคงจะใช้ตาอินทรีของเธอเพื่อช่วยระวังอันตรายให้ ถ้าเธอโชคร้ายไปเจอกับอันตรายเผยตงก็สามารถหาเธอเจอได้อย่างรวดเร็ว

ซูเถารู้สึกขอบคุณมาก “พี่เผยตง พี่นี่เชื่อถือได้จริง ๆ ไว้ถ้าฉันไปข้างนอกฉันจะรายงานพี่นะ”

หลังจากส่งเผยตงกลับไปแล้ว ซูเถาก็กลับไปนอนต่อและเมื่อตื่นขึ้นก็เรียกกวานจือหนิงเพื่อออกไปซื้อรถกับเธอ

มีบอดี้การ์ดที่สือจื่อจิ้นส่งมาคุ้มกัน และมีเผยตงที่คอยเฝ้าระวังให้ ความมั่นใจที่จะออกไปข้างนอกของซูเถาก็มากขึ้น

“คุณจะไปซื้อแบบไหน? เผื่อฉันจะช่วยแนะนำได้” กวานจือหนิงถาม

“พวกรูปลักษณ์ด้านนอกไม่สำคัญนะ ฉันอยากได้ที่มันขับเคลื่อนเร็วและแข็งแกร่ง”

ส่วนเรื่องราคา ฉันมีงบอยู่ประมาณ 300,000 เหลียนปัง

โอกาสที่จะซื้อรถดี ๆ ในวันสิ้นโลกนั้นมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นสายการผลิตรถยนต์ยังได้ปิดตัวลงไปมากกว่าสิบปี ส่วนรถยนต์ที่ผลิตเสร็จแล้วก็มีจำนวนที่ลดลงเรื่อย ๆ

ขอบคุณพี่เผยตงที่เมื่อคืนเธอมาซื้อสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปมากมาย ทำให้เธอมีรายได้เข้ามาถึง 80,000 เหลียนปัง

รวมกับสินทรัพย์รวมก่อนหน้านี้ ทั้งหมดก็น่าจะประมาณ 370,000 – 380,000 เหลียนปัง

หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการซื้อรถไปแล้ว เธอก็ยังคงเหลือเงินสำรองอยู่ 70,000 – 80,000 เหลียนปัง

กวานจือหนิงเย้ยหยัน “จะใช้เป็นพาหนะหลบหนีเหรอ เข้าใจแล้ว คุณนี่รักชีวิตจริง ๆ”

ซูเถาพูดโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไป “ฉันก็แค่อยากรักษาชีวิตของฉัน ฉันรักชีวิตและกลัวความตาย แล้วฉันก็ยังอยากที่จะเสพกับความสุข”

กวานจือหนิงรู้สึกไม่เห็นด้วย “สิ่งของและวัตถุได้เข้ามาทำลายจิตวิญญาณของคุณแล้ว”

……

ถ้าจะซื้อรถคุณต้องเข้าไปซื้อในเขตทหารเท่านั้น หลังจากวันสิ้นโลกรถก็น้อยลง ดังนั้นรถทั้งหมดในฐานหลักจะถูกควบคุมโดยกองกำลังติดอาวุธของรัฐบาล

หากคุณต้องการซื้อเป็นการส่วนตัว คุณต้องได้รับการแนะนำ

ซูเถาเคยพูดเรื่องนี้กับสือจื่อจิ้นไว้แล้ว เธอจึงถูกพาไปที่โรงรถอย่างราบรื่น

มีรถให้เธอเลือกไม่มากนัก ทุกคันล้วนเป็นรถคันเล็กและบรรทุกของได้น้อย อัตราการใช้ในพื้นที่ทางทหารก็ไม่สูง แต่มันก็เป็นไปตามเงื่อนไขของซูเถา

เธอไม่รู้เรื่องรถ ดังนั้นเธอจึงให้กวานจือหนิงมาช่วยเลือกรถ

กวานจือหนิงเดินไปรอบ ๆ แล้วชี้ไปที่รถสปอร์ตทรงสั้นคันหนึ่งแล้วพูดว่า

“คันนี้แหละ ฉันได้ยินมาว่าก่อนวันสิ้นโลกมันใช้สำหรับการแข่งขัน สมรรถนะดีทีเดียว ทั้งเร็วและถึกทน แต่แค่มันไม่มีหลังคา คุณคงต้องไปหามาใส่เอง”

ซูเถาถามเธอว่า “คุณขับรถแบบนี้เป็นไหม?”

เธอเกิดหลังวันสิ้นโลกและไม่รู้เรื่องการขับรถเลย

ใบหน้าของกวานจือหนิงสดใสขึ้นมาทันควัน “แน่นอน”

ซูเถาตัดสินใจทันที “งั้นเอาคันนี้ ราคาเท่าไหร่คะ?”

รถคันนี้นั่งได้แค่สองคน ดังนั้นราคาก็คงไม่แพง

คนที่พาเธอมาดูรถเงยหน้าขึ้นแล้วตอบว่า “800,000 เหลียนปัง”

ซูเถา “ซื้อไม่ไหว คันต่อไปดีกว่า”

กวานจือหนิงรู้สึกประหลาดใจ “แค่ 800,000 เหลียนปังก็ไม่มีเหรอ อสังหาฯ ของคุณมีมูลค่ามากกว่ารถยนต์ดี ๆหลายร้อยคันอีกนะ”

ด้วยน้ำเสียงนี้ฟังดูเหมือนเงินแปดแสนนั้นน้อยมาก ซูเถาจึงถาม

“ในหนึ่งปีคุณมีรายได้เท่าไหร่?”

กวานจือหนิงตอบว่า “จากยศและตำแหน่งของฉันที่ไม่สูงนัก ประมาณ 1,200,000 เหลียนปังต่อปี”

แม้ว่าเธอจะมีเงินเยอะ แต่ในวันสิ้นโลกเธอก็ไม่รู้จะเอาเงินนี้ไปซื้อของที่ไหนเพราะว่าตอนนี้ในโลกนั้นขาดแคลนเสบียง

แต่ความมุ่งมั่นของเธอไม่ใช่การใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุข ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจ

ซูเถาขัดจังหวะ “ขอโทษนะ มานี่หน่อย ช่วยฉันเลือกต่อ เอาคันที่ไม่เกินสามแสน ถ้ามากกว่านี้ฉันคงจ่ายไม่ไหว”

พระเจ้า กองทัพบุกเบิกทำเงินได้มากจริง ๆ แม้แต่กวานจือหนิงก็สามารถทำเงินได้เป็นล้านต่อปีงั้นรายได้ต่อปีของสือจื่อจิ้นน่าจะมากกว่าถึงสองเท่าใช่ไหม ไม่แปลกใจเลยที่ใจกว้างขนาดนั้น

มันจะสายเกินไปไหมที่เธอจะเปลี่ยนอาชีพและเข้าร่วมกองทัพ?

เพราะการบำรุงรักษาระบบมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

ท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้เลือกรถจี๊ปที่มีราคา 280,000 เหลียนปัง ถึงมันจะเก่าไปหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ยังอยู่ในสภาพดี ซูเถาพึงพอใจเป็นอย่างมาก เธอขอให้กวานจือหนิงนั่งในที่คนขับแล้วขับรถพาเธอไปรอบ ๆ

เธอยังไม่เคยนั่งรถยนต์มาก่อน

กวานจือหนิงขึ้นไปขับรถให้เธออย่างไม่เต็มใจ

“เป็นบอดี้การ์ดก็พอแล้ว นี่ยังจะให้ฉันมาเป็นคนขับรถอีกเหรอ”

ซูเถากล่าวว่า “เอาเถอะ รีบไปเร็ว วนไปที่ทำการรัฐบาลและเขตทหารสักรอบ จากนั้นก็ใช้เส้นทางทางเหนือมุ่งไปยังชานเมืองแล้วลงไปทางใต้กลับสู่เถาหยาง”

“นี่คือการมาเที่ยวตงหยางแบบไปเช้าเย็นกลับเหรอ คุณอยู่ตงหยางมาสิบกว่าปียังอยากจะเยี่ยมชมอะไรอีก ที่นี่มีแต่อาคารบ้านเรือนที่ทรุดโทรมและช่วงนี้ก็มีซอมบี้กลายพันธุ์จำนวนมาก ทุกคนก็เลยเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน คุณมองไม่เห็นใครหรอก”

ซูเถาตอบ “ฉันก็แค่ต้องการสูดอากาศ”

ถ้าทำได้เธอไม่อยากออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหนเลย ที่บ้านมีทีวี โซฟานุ่ม ๆ บ่อน้ำพุร้อนและของกินอร่อย ๆ มีตรงไหนที่ไม่สะดวกสบาย แต่มันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าจะเริ่มภารกิจเธอต้องออกไปข้างนอก

กวานจือหนิงแอบบ่นในใจว่าชะตากรรมของเธอต้องกลายมาเป็นคนขับรถ

ขับรถวนไปรอบ ๆ จนพระอาทิตย์ตกดิน ระบบไม่ได้ให้คำใบ้หรือคำตอบกับซูเถาเลย

หรือว่าเธอเดาผิด?

หรือว่าเธอต้องเดินไปมาด้วยขาทั้งสองข้าง

ซูเถาเกาหัวแกรก ๆ เพื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม

เธอรีบกินข้าวอาบน้ำและนอน พอฟ้าสว่างเธอก็เรียกกวานจือหนิงแล้วออกไปขับรถวนอีกรอบ

หากเธอไม่สามารถกระตุ้นภารกิจได้ในตงหยาง เธอก็จะไปที่ชานเมืองเพื่อช็อปปิง เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง สือจื่อเยว่ที่กำลังทำการบ้านก็อดไม่ได้ที่จะถาม

“พี่เถาจื่อ ทำไมช่วงนี้พี่ออกไปข้างนอกบ่อยจัง ช่วงนี้ที่ตงหยางมันไม่ปลอดภัยนะ มีซอมบี้ที่ลักลอบเข้าไปในฐานแล้วฆ่าคนไปมากมาย ตอนนี้เวลาไปโรงเรียนยังต้องมีรถรับส่งและกองกำลังปกป้องเมืองไปช่วยดูแล”

ซูเถากล่าวว่า “พี่ก็มีกองกำลังปกป้องเมืองที่คอยเฝ้าระวังแล้วก็ยังมีบอดี้การ์ดส่วนตัวอีก ไม่เป็นไรหรอก เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

สือจื่อเยว่มองอย่างเป็นกังวล “ก่อนที่จะไปพี่ชายของหนูบอกให้หนูดูแลพี่ให้ดี ถ้าพี่เป็นแบบนี้หนูก็ไม่กล้าไปโรงเรียนแล้ว หนูกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วพี่ชายต้องเอาหนูตายแน่”

เธอคิดถึงเรื่องน่าอายที่ทำไว้เมื่อวันก่อน เธอถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ตอนนี้เธอยังไม่อยากได้ยินคำว่า ‘สือจื่อจิ้น’ ด้วยซ้ำไป

“เธอไปเรียนเถอะ” จากนั้นเธอก็รีบขึ้นรถไป

กวานจือหนิงสตาร์ตรถ เหยียบคันเร่งแล้วออกจากเถาหยางไป

เธอขับรถไปได้ระยะหนึ่งก็จอดรถแล้วปล่อยให้ซูเถาลง วิธีการนี้ทำให้เธอรู้สึกเสียดายชีวิตตัวเอง เสียดายค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนในกองทัพ เสียดายความสามารถที่พระเจ้ามอบให้เธอไปโดยเปล่าประโยชน์ เสียดาย…

ในขณะนั้นเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้น

“ค่ะพี่เผย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ซูเถารับโทรศัพท์

“ซูเถา! รีบออกจากที่นั่น! รีบไป!”