ช่วงเวลากลางคืนกำลังผ่านพ้นไปและงานเลี้ยงใกล้จะสุดสิ้นลง เหล่าขุนนางพากันขึ้นรถม้าและทยอยออกจากปราสาทไปทีละคน
เมอร์ลินกับแอวริลได้มาหาเคานต์เซลินเพื่อบอกลาเขา แม้ว่าเมอร์ลินจะไม่ได้เมามากแต่เขารู้สึกมึนๆ อยู่นิดหน่อย
หลังจากนั้นเขาได้ก้าวเดินออกจากปราสาท เขาได้พบกับบารอนวอร์เรนและเจ้าหญิงเชอรีสอีกครั้ง
เชอรีสดูไม่ค่อยดีนัก เธอดูหดหู่มาก เธอหันไปมองทางอื่น เธอไม่กล้าที่จะมองเมอร์ลินเลย
ในขณะเดียวกันบารอนวอร์เรนได้ทักทายเขาด้วยรอยยิ้มพวกเขาพูดคุยเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เนไปที่รถม้าอย่างรีบเร่ง
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในรถม้า แอวริลถามเมอร์ลินด้วยเสียงเบาว่า “เมอร์ลิน เจ้าหญิงเชอรีสดูไม่ชอบบารอนวอร์เรนเลย ถ้าองค์หญิงกำลังมีปัญหา คุณสามารถช่วยเธอได้มั้ย?”
เมอร์ลินดูไม่แปลกใจกับคำถามของแอวริล เธอเป็นหญิงสาวเรียบง่ายและใสซื่อ แม้เธอจะต้องประสบพบเจออันตรายต่าง ๆ มากมายแต่มุมมองและทัศนคติของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนไป
หรือบางทีเธออาจสังเกตเห็นท่าทางที่เศร้าใจของเจ้าหญิงเชอรีส มันทำให้เธอรู้สึกเห็นอกเห็นใจองค์หญิง อย่างไรก็ตามเธอก็เคยเป็นราษฎรของอาณาจักรแห่งแสงมาก่อน
เมอรร์ลินจับมือของแอวริลเบาๆ หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้แอวริลไม่เคอะเขินกับการสัมผัสกับเมอร์ลินอีกต่อไป เธอค่อยข้างชอบความรู้สึกอันอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา
“เธอได้เลือกทางของเธอแล้ว ไม่มีใครช่วยเธอได้”
ไม่ใช่ว่าเมอร์ลินไร้ซึ่งความเก็นใจ แต่ตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลวิลสันก็ยังไม่สู้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการทำอะไรที่จะก่อปัญหาขึ้นมา
แอวริลได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ เธอรู้สึกว่าความคิดของตัวเองนั้นช่างไร้เดียงสาเกินไป ทำให้เธอไม่พูดเรื่องนี้อีก…
“เชอรีส เราจะจัดงานแต่งงานกันเมื่อไหร่ มันควรจะจัดให้เร็ว ๆ นะ ก่อนที่จะมีใครคิดว่าที่ข้าแต่งกับท่านเพื่อสมบัติของราชวงศ์แห่งแสง ถ้าเรื่องนี้กระจายไปทั่ว ถึงเวลานั้นข้าคงไม่อาจช่วยท่านได้”
ในรถม้าบารอนวอร์เรนไม่ได้สวมใบหน้ายิ้มแบบที่อยู่งานเลี้ยง เขาจ้องมองเชอรีสด้วยสายตาที่แข็งกร้าว
เชอรีสบดริมฝีปากของเธอแน่นและพูดเบา ๆ ว่า “นี่มันเรื่องใหญ่มาก เราต้องของปรึกษากับเบนินก่อน”
สีหน้าของบารอนวอร์เรนค่อนข้างพึงพอใจ จากนั้นเขาก็จับมือของเชอรีสเบา ๆ และพูดว่า “ข้าอยากให้ท่านมาเป็นภรรยาของข้าเพื่อให้น้องชายของท่านปลอดภัย หากมีขุนนางที่คิดไม่ดี พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรพวกท่าน”
เชอรีสนิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ เมื่อรถม้าไปถึงสนามหญ้าขนาดใหญ่ เธอได้เปิดปากพูดว่า “เอาล่ะ เราต้องไปแล้ว หลังจากเราคุยกัเบนินแล้ว เราจะให้คำตอบท่านเอง”
บารอนวอร์เรนพยักหน้าและพูดว่า “ดีมาก งั้นอีกสองสามวัน ข้าจะไปหาท่านเพื่อมาฟังคำตอบ”
หลังจากนั้นเชอรีสก็รีบออกมารถม้า เธอทิ้งบารอนวอร์เรนไว้ที่นั่นเพียงลำพัง จากนั้นรถม้าก็ได้เคลื่อนตัวออกอย่างช้า ๆ
“ฝ่าบาทกลับมาแล้ว”
เมื่อเชอรีสมาถึง ชายร่างสูงก็ได้เข้ามาพร้อมกับชุกเกราะอย่างเร่งรีบ
“ท่านผู้บัญชาการแมนซ์มีอะไรเปล่า?”
แม้ความภักดีของแมนซ์จะไม่เป็นที่กังขาสำหรับเธอแต่อย่างไรก็ตามเขาได้ประมาทเกินไปและตัดสินใจอย่างบุ่มบ่าม ทำให้พวกเธอต้องประสบปัญหามากมายโดยมีสาเหตุจากเขา
“ฝ่าบาท เข้ามาคุยข้างในก่อน เจ้าชายเบนินก็อยู่ข้างในด้วย”
หลังจากพวกเขาก็เข้าในข้างในบ้านโดยมีเจ้าชายเบนินรออยู๋ด้านในแล้ว ตอนนี้หน้าของเขาซีดมาก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าหญิงเชอรีสเห็นอย่างนั้น เธอรีบเข้าไปถามทันที “ผู้บัญชาการแมนซ์ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
แมนได้พยายามข่มเสียงอันสั่นเครือและพูดออกมาว่า “ฝ่าบาท เราเพิ่งได้รับรายงานว่า เมื่อสามวันก่อนโบสถ์เทพแห่งแสงได้ประกาศก่อตั้งจักรวรรดิแสงศักดิ์สิทธิ์ โดยมีอาณาจักรแห่งแสงเป็นแกนกลางและประกอบไปด้วยอาณาจักรพฤกษา อาณาจักรชิเอลและอาณาจักรเล็กอีกมากมายโดยสถาปนาฟิเลียนเดอนีซึ่งเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาในอยู่ขณะนี้ ให้เป็นจักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิแสงศักดิ์สิทธิ์”
“ไม่จริง!” เจ้าหญิงเชอรีสตกใจ หัวสมองของเธอขาวโพลน เธอจ้องมองแมนซ์ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
ในขณะเดียวกันเบนินได้คุกเข่าลงพื้นและกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และพูดว่า “ท่านพี่อาณาจักรของเราล่มสลายแล้ว!”
ตอนนี้อาณาจักรแห่งแสงล่มสลายไปแล้ว แม้ข่าวนี้จะได้รับการประกาศเมื่อสามวันก่อนแต่เนื่องด้วยเวลาเดินทางที่ยาวนานดังนั้นประกาศต้องประกาศหน้านั้นเป็นเวลาหลายวันแน่นอน
“อาณาจักรของเราล่มสลาย…”
เชอรีสพึมพำเบา ๆ แม้เธอจะรู้ว่าอาณาจักรจะไม่สามารถหลีกหนีจะชะตากรรมนี้ได้แต่เธอก็ยังหวังเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้นที่จะเกิดปาฏิหารย์ขึ้นมา เธอเฝ้าจินตนานการว่าจะมีกองทัพที่ภักดีต่อราชวงศ์ พวกเขาได้ซุ่มวางแผนอย่างลับ ๆ เพื่อทำลายแผนการของศาสนจักรและทำให้อาณาจักรแห่งแสงกลับดังเดิม…อย่างไรก็ตามความจริงมันช่างโหดร้ายเสมอ มันขยี้จิตใจของให้แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
“ฝ่าบาทเราจะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ จะยอมรับข้อเสนอของบารอนวอร์เรนหรือขอรับ หากฝ่าบาทแต่งงานกับเขา กระผมเกรงว่าสถานการณ์ของพวกเราจะเลวร้ายไปมากกว่านี้” แมนซ์กล่าวออกมาอย่างชิงชัง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบบารอนวอร์เรน
เจ้าชายเบนินได้หยุดร้องไห้ เขาได้พูดขึ้นมาว่า “ท่านพี่ ตามที่ผู้บัญชาการแมนซ์บอก วอร์เรนมันเป็นคนที่น่ารังเกียจ เขาทำทีเป็นช่วยเหลือพวกเราแต่จริง ๆ เขาหวังในทรัพย์สมบัติต่างหาก ถ้าท่านพี่แต่งงานกับเขา มีแต่จะทำให้พวกเราลำบากมากขึ้นในอนาคต”
หลังจากนั้นเจ้าหญิงเชอรีสเงยหน้าข้าและยิ้มย่างขมขื่น “ตอนนี้อาณาจักรแห่งแสงได้ล่มสลายไปแล้วและเราก็ไม่ใช่เจ้าหญิงอีกต่อไป”
แมนซ์ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาต้องกลืนคำพูดนั้นลงไป เขาไม่สามารถหักล้างคำพูดของเชอรีสได้ เมื่ออาณาจักรได้ล่มสลายฐานันดรพวกเขาก็สูญสิ้นไปพร้อม ๆ กัน
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งเชอรีสได้พูดต่อว่า “ตอนนี้เเราป็นสมาชิกราชวงศ์ของอาณาจักรที่ล่มสลายด้วยความมั่งคั่งที่เรามีอยู่ตอนนี้จะให้พวกคนอันตรายจะเข้ามาช่วงชิงสมบัติไปจากพวกเรา ดังนั้นเราต้องมองหาคนที่แข็งแกร่งเพื่อที่จะปกป้องเราได้ ส่วนเรื่องวอร์เรน แม้แต่เบนินยังมองออกคิดว่าเราจะมองไม่ออกหรือ?”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อดีเจ้าหญิง…ท่านหญิงเชอริส เราไม่มีทางเลือกอื่นเลยขอรับ” แมนซ์กล่าวอย่างสิ้นหวัง
“ทางอื่น?”
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยง เธอได้นึกถึงเขาพลางลูบแหวนสีเข้มบนนิ้วของเบา ๆ และพึมพำว่า
“บางทีมันอาจจะมีวิธีอื่น”