รถม้าได้มาหยุดลงตรงหน้าปราสาทวิลสัน เมอร์ลินกับแอวริลได้ลงจากรถม้า
พวกเขาก้าวเดินทางไปที่ห้องโถง เมื่อพวกเขามาถึงก็เห็นเลห์แมน บารอนเพอร์แมนและคนอื่นๆ กำลังรอเมอร์ลินด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด พวกเขาไม่พูดอะไรสักคำ
“ท่านพ่อเกิดอะไรขึ้น?” เมอร์ลินรีบถามอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของทุกคน
เลห์แมนลุกยืนขึ้นอย่างร้อนรนและพูดกับเมอร์ลินว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
หลังจากนั้นเขากับบารอนเพอร์แมนได้พาเมอร์ลินขึ้นไปชั้นบน เมอร์ลินที่เดินตามไป เขารู้สึกได้ว่าเรื่องที่เลห์แมนกำลังจะบอกเขา มันต้องเนเรื่องคอขาดบาดตายแน่นอน
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ?”
เมอร์ลินมองตรงมาที่เลห์แมนกับบารอนเพอร์แมน ทางเลห์แมนได้ยิ้มให้เขาอย่างขมขื่น
“เมอร์ลินทำใจไว้ดีๆ นะ ตอนนี้อาณาจักรแห่งแสงล่มสลายแล้ว เราเพิ่งได้รับข่าวเมื่อไม่นานมานี้และทางศาสนจักรได้รวบรวมอาณาจักรต่างและสถาปนาตัวเองเป็นจักรวรรดิแสงศักดิ์โดยมีอาณาจักรแห่งแสงเป็นศูนย์กลางโดยมีฟิเลียนเดอนีเป็นจักรพรรดิปกครองจักรวรรดินี้”
ข่าวนี้สร้างความแตกตื่นอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มอำนาจเก่าของอณาจักรได้ถูกกำจัดหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกศาสนจักรได้รวบรวมอาณาจักรต่างๆ เข้าด้วยกันจึงทำให้พวกเขามีกองกำลังเพิ่มมากขึ้น
ตอนนี้เลห์แมนมีท่าทีหนักใจมากๆ ส่วนบารอนเพอร์แมนก็ดูเครียดไม่ต่างกัน มีเพียงเมอร์ลินเท่านั้นที่ยังท่าทีที่สงบเอาไว้ได้ เขาได้กล่าวออกเบา ๆ ว่า
“ชะตากรรมของอาณาจักรแห่งแสงได้ถูกตัดสินไปแล้ว นับตั้งแต่ศาสนจักรเริ่มวางแผนขึ้นมา”
“ด้วยความทะเยอทะยานของศาสนจักร พวกมันไม่มีทางหยุดอยู่แค่นี้แน่นอน เป้าหมายต่อไปของพวกมันก็คือทำสงครามกับอาณาจักรแบล็กมูน…”
ก่อนที่บารอนเพอร์แมนจะพูจบ เมอร์ลินได้พูดขัดขึ้นมา “สำหรับเรื่องนั้น อย่างน้อยสิบปีถึงพวกศาสนจักรจะเริ่มทำสงครามกับที่นี่ ตอนนี้พวกเขาเพิ่งสถาปนาจักรวรรดิ พวกเขาต้องมีปัญหามากมายภายในแน่นอน แม้พวกศาสนจักรจะมีความทะเยอทะยานแต่พวกเขาไม่มีทางก่อสงครามโดยที่ตัวเองไม่พร้อมอย่างแน่นอน”
บารอนเพอร์แมนพยักหน้าและเห็นด้วยกับสิ่งที่เมอ์ลินพูด
ส่วนเลห์แมนที่เงียบตลอดเวลา เขาได้เงยหน้าขึ้นและพูดว่า
“ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่า เราจะได้กลับไปที่เมืองแบล็กวอเตอร์กันเมื่อไหร่”
ด้วยคำพูดของเลห์แมนทำให้บรรยากาศในห้องหนักขึ้น ตอนนี้ที่เมืองแบล็กวอเตอร์คงจะถูกปกครองด้วยศาสนจักรไปแล้ว หากพวกเขากลับไปตอนนี้ พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดิแสงศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
เมอร์ลินอยากจะพูดบางอย่างแต่เขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ จากนั้นเลห์แมนกับบารอนเพอร์แมนได้ทยอยออกจากห้องไป เมอร์ลินที่อยู่คนเดียวได้พึมพำออกมาเบา ๆ ว่า
“สักวันหนึ่ง พวกเราจะสามารถกลับไปที่เมืองแบล็กวอเตอร์อย่างแน่นอน…”
หลังจากนั้นเมอร์ลินก็ได้ทำสมาธิสักพักก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาได้ตรวจสอบพลังจิตที่เขามี ด้วยความเร็วประมาณ เขากลัวว่าอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีกว่าพลังจิตของเขาจะสามารถรองรับโครงสร้างเวทมนต์อันที่สามได้
ส่วนพวกคาถาทั้งสองในตอนนี้ พวกมันคงที่มากและพลังเวทย์ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากฝึกฝนพวกเวทมนต์แล้ว เขายังฝึกฝนกระบวนท่าของรูปแกะสลักอันที่สอง
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก มันไม่ค่อยได้ผลเมื่อเทียบรูปแกะสลักอันแรก ในเมื่อเขาไม่ใช่นักดาบธาตุ เขาก็ต้องฝึกฝนพวกมันทีละขั้นตอนอย่างใจเย็น
ในขณะที่เมอร์ลินกำลังเตรียมพักผ่อน ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ท่านบารอนมีใครบางคนต้องการพบท่าน ผมได้พาตัวเธอเข้ามาข้างในแล้วขอรับ”
“ใครกันนะที่มาดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าใครกันที่มาหาเขาในเวลาแบบนี้แล้วอีกอย่างเขาไม่มีคนรู้จักที่เมืองปรากาซเลย นอกจากเคานต์เซลินกับพ่อมดฮิลล์
ส่วนพวกขุนนาง พวกเขาเพียงแค่ทักทายไม่กี่คำเท่านั้น จึงไม่น่าจะใช่พวกเขา
อย่างไรก็ตามพ่อบ้านได้พาแขกเข้ามาข้างในแล้วและเมอร์ลินก็อยากรู้ว่าเป็นใคร เขาเปิดประตูออกข้างนอก
เมื่อเขาออกมา เขาก็พบกับบุคคลลึกลับที่ใส่ชุดคลุมสีดำเท่านั้น
“พ่อบ้านอยู่ไหน” สีหน้าของเมอร์ลินเปลี่ยนทันที ‘ทำไมพ่อบ้านถึงพาคนไมรู้จักเข้ามาในปราสาท’
“ไม่เป็นห่วง เขาเพิ่งลงไปที่ชั้นล่างน่ะ”
ทันใดนั้นคนในชุดดำก็พูดขึ้น เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเสียงของหญิงสาวที่คมชัด ยิ่งไปกว่านั้นเขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน
“เจ้าหญิงเชอรีส” เมอร์ลินประหลาดใจ
เขาจ้องมองเชอรีสที่เอาที่คลุมศีรษะออก มันเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามของเธอ นี่คือเจ้าหญิงเชอรีสที่เมอร์ลินเพิ่งจะพบในงานเลี้ยงเมื่อตอนค่ำที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง
เขาสังเกตเห็นเม็ดเหงื่อบนเส้นผมของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะเดินทางมาไกลกว่าจะมาถึงที่นี่ แสดงมันมีเรื่องที่สำคัญมากจึงตอนมาในเวลานี้
ดังนั้นเมอร์ลินจึงเปิดประตูเชื้อเชิญให้เชอรีสเข้ามาในห้อง
เมื่อเชอรีสเข้ามาในห้องเธอได้กวาดสายมองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นเธอก็พูดว่า
“ตอนนี้ไม่มีเจ้าหญิงอีกต่อไปแล้ว ท่านสามารถเรียกเราว่าเชอรีสเฉย ๆ ก็ได้”
เมอร์ลินพยักหน้า ดูเหมือนว่าเธอก็ได้รับข่าวร้ายมาเช่นกัน
“ท่านหญิงเชอรีส ท่านมีธุระอันใดที่ต้องมาหาผมในเวลาดึกดื่นแบบนี้ ผมหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นให้คลี่คลายเองขอรับ” เมอร์ลินถามพลางจ้องมองเธอ
ริมฝีปากอันยั่วยวนได้บดเล็กน้อย เธอกำลังจัดระเบียบคำพูดของเธอ จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า
“ท่านบารอนเมอร์ลิน ตอนนี้อาณาจักรแห่งแสงได้ล่มสลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการที่พวกเราเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่หลงเหลืออยู่จึงมีทรัพย์สินมากมายจึงทำให้มีผู้คนจำนวนมากหมายปองสิ่งนั้น ดังนั้นพวกเราจึงต้องการพลังที่แข็งแกร่งของท่านมาช่วยปกป้องเรากับน้องชาย”
เมอร์ลินพอจะเข้าใจในสถานการณ์ของพวกเธอในตอนนี้ มันเหมือนกับพวกเธอเป็นแกะที่อ้วนพลีไร้กำลังจะสู้ มันไม่สามารถป้องกันอันตรายที่จะเข้ามาหามันจากทั่วทิศทางได้
“บอกเหตุผลมาหน่อย อะไรทำให้ท่านหญิงคิดว่าผมยินดีที่จะช่วยท่าน”
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างรู้ทัน ตัวเขาไม่ได้เป็นคนใจดีเท่าไหร่นัก หากเชอรีสเสนอผลประโยชน์บางให้เขาสนใจได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะยื่นมือไปช่วยเหลือเธอ