“อะฮือออฮืออ …”

เสียงเด็กร้องไห้ดังเข้ามาในห้อง ค่อยๆปลุกให้ซูมู่เกอตื่นขึ้น

เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นม่านเตียงสีฟ้ากลางเก่ากลางใหม่และยกยิ้มเล็กน้อย

อธิบายไม่ได้ว่าห้องเล็กๆ แห่งนี้ทำให้นางรู้สึกเป็นเจ้าของ

นางพลิกตัวและลุกขึ้น เมื่อได้ยินเสียง เยว่รู่ผลักอ่างล้างหน้าเข้าไป

“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ตื่น ข้าคิดว่าท่านจะนอนจะถึงเที่ยงซะอีกเจ้าค่ะ”

ซูมู่เกอเหล่มองนาง “เด็กจอมซนอย่างเจ้า เรียนรู้ที่จะหยอกล้อข้าแล้วรึ”

ซูมู่เกอนั่งอยู่หน้ากระจกแต่งตัวของนาง เมื่อมองไปที่ปานอันโดดเด่นบนดวงตาของนาง นางยิ้มด้วยความเยาะเย้ยตัวเอง

หลังจากปลอมตัวมานาน นางรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยที่จู่ๆก็เห็นใบหน้าของตัวเอง

เมื่อเห็นซูมู่เกอจ้องมองที่กระจกอย่างเหม่อลอย เยว่รู่คิดว่านางกังวลเกี่ยวกับปานบนใบหน้าของนาง

“คุณหนู เอาผมของคุณหนูลงมาคลุมบ้างเล็กน้อยหรือไม่เจ้าค่ะ?”

ซูมู่เกอส่ายหัว “มันจะหายไปไหมถ้ามันถูกปกคลุมไว้?”

“คุณหนู น้องสาวหยู่เซียงจากบ้านนายหญิงแจ้งมาหาท่าน ขอให้ท่านไปที่นั่นเพื่อร่วมทานอาหารเช้ากับนายหญิงเจ้าค่ะ” ซินหลันแจ้งมาจากนอกห้อง

ไม่น่าแปลกใจที่นางอันจะขอให้นางไปพบ “ได้ ข้าจะไปที่นั่น บอกท่านแม่ของข้าด้วยว่าข้าจะไม่ร่วมทานอาหารกับนาง”

“เจ้าค่ะ”

หลังจากใส่ชุดที่สะอาดด้วยความช่วยเหลือของเยว่รู่แล้ว ซูมู่เกอไปที่ลานธารดอกไม้ไหลริน แม่บ้านที่ดูแลก็พานางเข้าไป

นางอันนั่งอยู่ในห้องและดูเหมือนจะร้อนรนเล็กน้อย เมื่อนางเห็นซูมู่เกอเข้ามานางก็คลายความกังวลลง

“นายหญิง คุณหนูใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ” หยู่เซียงรายงานที่นอกห้อง

“ให้คุณหนูใหญ่เข้ามา”

ม่านยกขึ้น ซูมู่เกอเดินเข้าไปและลดสายตาลง

นางอันพบว่าซูมู่เกอยังเหมือนเดิม รู้สึกอึดอัดขึ้นมา

“นายหญิง”

นางอันซ่อนความรู้สึกของนางและยิ้มบนใบหน้าของนาง “มู่เกอมานี่เถอะ มานั่งนี่”

ซูมู่เกอนั่งลงฝั่งขวามือของนาง และสาวใช้ก็มาพร้อมกับอาหารชั้นดีสำหรับมื้อเช้า

นางอันมองไปที่หลี่มาม่าที่พาสาวใช้ทั้งหมดให้ออกไปอย่างรู้กัน

“มู่เกอ เจ้าคงหิว มาทานอาหารเช้ากันเถอะ”

ซูมู่เกอไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนางด้วยความนอบน้อม เมื่อรู้ว่านางอันไม่จำเป็นต้องวางยาพิษในอาหารในเวลานี้ นางหยิบตะเกียบขึ้นมาและทานอาหารอย่างสบายใจ

หลายครั้ง นางอันต้องการพูดคุย แต่เมื่อเห็นซูมู่เกอไม่ได้ตั้งใจจะหยุดกินเลย นางกลืนคำพูดของนางกลับคืน

นางต้องการพูดแบบนั้นนางอันมีชีวิตที่สุขสบายมาก อาหารทุกจานบนโต๊ะนี้สวยงามและอร่อยมาก

เมื่อเห็นซูมู่เกอวางตะเกียบลง ยิ้มและพูดว่า “อิ่มแล้วหรือไม่? เจ้าคงต้องทนทุกข์ทรมานมากมายข้างนอกในแต่ละวัน”

ซูมู่เกอหยิบถ้วยน้ำชามาดื่มล้างปากแล้วพูดว่า “นายหญิง ท่านต้องรู้ว่าท่านพ่อถึงเมืองโจวแล้ว ไม่ใช่หรือ?”

นางอันกระพริบตาอย่างไม่สบายใจและพยักหน้า

“แล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อมาถึงเมืองโจวเมื่อไหร่?”

นางอันขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสัยจุดประสงค์ของซูมู่เกอในการถามคำถามนี้

เมื่อหลี่มาม่าส่งคนไปที่เมืองโจวเพื่อตรวจสอบนั้น มันมีรายงานแล้วว่าซูหลุนอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้น นางแค่ต้องสั่งให้คนของนางค้นหาสักพัก แต่ซูมู่เกอหมายความว่าอย่างไรเมื่อถามคำถามนี้กับนางโดยเฉพาะ?

“แต่ละวันที่ผ่านมาเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าพบพ่อของเจ้าหรือไม่?” นางอันไม่ต้องการวกไปเวียนมาหรือพูดอ้อมใดๆอีก นางถามตรงๆ

“ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองโจว มันคือท่านพ่อของข้าเองที่ส่งข้ากลับ”

“แล้วพ่อของเจ้าสบายดีหรือไม่?” นางอันกุมผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว

“เขาสบายดี”

“แล้ววันที่หายไปเขาไปอยู่ที่ไหนมา?”

ซูมาเกอเม้มริมฝีปากของนาง “นายหญิง มันรอให้ท่านพ่อกลับมาก่อนไม่ดีกว่าหรือ และท่านสามารถถามเข้าด้วยตัวเองได้ มันสายมากแล้ว ท่านต้องจัดการกับเรื่องทั่วไป ข้าขอตัว”

ซูมู่เกอลุกขึ้นยืนและออกจากห้องก่อนที่นางอันจะพูดอะไรอีก

มองดูม่านที่สั่นเล็กน้อยดวงตาของนางมืดลง

หลี่มาม่าเข้ามาและสั่งให้สาวใช้มาทำการเก็บโต๊ะ หลังจากสาวใช้ทำเสร็จแล้ว นางปิดประตูและเดินไปที่นางอัน

“นายหญิง คุณหนูใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง?”

นางอันส่ายหัว “นางทำตัวมีความลับและพูดแต่เรื่องไร้สาระ นางต้องเก็บงำบางอย่างไว้กับนางแน่”

“ทำไมท่านไม่ถามนางตรงๆไปเลยเจ้าค่ะ นายหญิง”

นางอันเหลือบมองหลี่มาม่าแวบหนึ่ง “มาม่า นางไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้ปัญญา ยอมใหใครบีบบังคับเค้นคอนางได้อีกแล้ว ข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางกลายเป็นคนประหลาดหลังจากรอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิดนั้น….”

หลังจากกลับไปที่ลานดอกท้อบาน ซูมู่เกอเรียกเยว่รูมาพบ

“มีอันใดให้ข้ารับใช้เจ้าค่ะ คุณหนู?”

“เจ้าได้ส่งจดหมายถึงนายท่านอาวุโสเมิ่ง ตอนที่ข้าจากไปหรือไม่?”

เยว่รู่พยักหน้าและลดเสียงลง “คุณหนู ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าส่งจดหมายให้เขาแล้ว นายท่านอาวุโสเมิ่งยังกล่าวอีกว่า หากคุณหนูมีจดหมายถึงเขาในอนาคต ข้าสามารถไปที่โรงน้ำชายบนถนนเมืองตะวันตกและให้จดหมายกับเจ้าของร้านได้เลยเจ้าค่ะ”

“อืม” ซูมู่เกอพยักหน้าหยิบจดหมายอีกฉบับออกมา และมองมันให้นาง

“คุณหนู นี่คือ….” เยว่รู่มองไปที่จดหมายอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ทำตามที่เขาบอก นำมันไปส่งที่โรงน้ำชา”

รับจดหมายมาถือ เยว่รู่พยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย”

หลังจากเยว่รู่จากไป ซูมู่เกอไปที่ห้องของนางจ้าว และเล่นกับเหวินโม่ตัวน้อยที่เพิ่งตื่นนอน

“ท่านแม่ โม่เอ๋อดูคล้ายท่านมากจริงๆ เขาดูน่ารักมาก” ดวงตาและคิ้วของเหวินโม่น้อยดูคล้ายกับของนางจ้าวมาก ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นเด็กที่อ่อนโยนและหล่อเหลาเมื่อเขาโตขึ้น

ราวกับรู้ว่าซูมู่เกอกำลังชื่นชมเขา เด็กชายตัวน้อยหันมาตาโตและมองไปที่ซูมู่เกอ

“ข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างในเมืองโจว” นางจ้าวกำลังปักเย็บชุดชั้นในให้กับซูมู่เกอพลางพึมพำเสียงเบา

ซูหลุนเป็นหนี้บุญคุณนางจ้าวมากนัก หลังจากแต่งงานกับนางอัน เขาไม่เคยสนใจนางจ้าวและลูกสาวของนางเลย

แต่นางจ้าวยังคงมองว่าเขาเป็นสามีของนาง แนวคิดในการภักดีติดตามสามีหลังแต่งงานฝังแน่นอยู่ในใจของนางจ้าว ซึ่งไม่สามารถสั่นคลอนได้ง่ายๆด้วยคำพูดไม่กี่คำ

ซูมู่เกอมองไปที่รูปลักษณ์ของนางจ้าวที่แสดงออก ในขณะที่จับมือเล็กๆของเหวินโม่ตัวน้อยเบาๆ

ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะหนีออกไปจากคฤหาสน์ซูและนางก็คิดที่จะพานางจ้าวไปกับนางด้วย แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงเคารพความคิดเห็นของแม่

“นายหญิงบอกว่าเขาสบายดีในเมืองโจวเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางจ้าว

“จริงๆเหรอ? ดี เป็นสิ่งที่ดี ท้ายที่สุด เขาเป็นพ่อของเจ้า เด็กที่ไม่มีพ่อจะถูกดูถูกในที่สุด…..”

………………………..

ในคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง

เมิ่งซิวเหวินนั่งอยู่ในห้องในมือถือจดหมายด้วยความมึนงง

“นายท่าน?” หวู่หมิงเด็กหนุ่มรับใช้ของเขาพบว่าเขานั่งนิ่งมาสักระยะ เรียกเขาเบาๆ

นายท่านอาวุโสอยู่ในตำแหน่งนั้นนับตั้งแต่เขาอ่านจดหมาย

เมิ่งซิ่วเหวินรู้สึกตัวและวางจดหมายลง

“เจ้าทำทุกอย่างเสร็จหรือยัง?”

เด็กรับใช้ตอบอย่างรวดเร็วว่า “นายท่าน โปรดมั่นใจ ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ”

“อืม” เมิ่งซิ่วเหวินยืนขึ้นและไปที่ห้องหนังสือของเมิ่งฉางเต๋อ

เมื่อเห็นเมิ่งซิ่วเหวินมา เด็กรับใช้ที่เฝ้าหน้าห้องรีบเข้ามารายงานและกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

“นายท่านอาวุโส เชิญขอรับ”

เมิ่งฉางเต๋อเป็นขงจื้อ(ลัทธิคลั่งการเรียน) มีชั้นหนังสือขนาดใหญ่หลายชั้นในห้องหนังสือของเขาและเขาชอบอยู่ที่นี่ในเวลาว่าง

“ท่านพ่อ”

ยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ เมิ่งฉางเต๋อเงยหน้าขึ้นจากการอ่านหนังสือ มองไปที่เมิ่งซิ่วเหวินและพูดเบาๆ ว่า “มานั่งตรงนี้”

เมิ่งซิ่วเหวินเดินไปที่เก้าอี้อีกฝั่งและนั่งลง

เมิ่งฉางเต๋อวางหนังสือที่เขาถือไว้และหัวเราะ “เจ้ารู้มาโดยตลอดว่าข้าไม่ชอบถูกรบกวนขณะอ่านหนังสือ ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาที่นี่ได้?”

“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับท่านขอรับ”

เมิ่งฉางเต๋ออยากรู้เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมของเมิ่งซิ่วเหวิน “โอ้? บอกข้ามาสิ มีเรื่องอะไร?”

มันกลับกลายเป็นว่า ก่อนที่ซูมู่เกอจะไปที่เมืองโจว นางเขียนจดหมายถึงเมิ่งซิ่วเหวินและขอให้เขาเตรียมรวบรวมยาที่จำเป็นหลังจากเกิดภัยพิบัติ ท้ายที่สุดมันจะไม่เป็นอันตราย แต่เป็นผลดีต่อตระกูลเมิ่ง ไม่ว่าจะการทำให้รวยขึ้นหรือได้รับความชื่นชมจากจักรพรรดิ

“เจ้าหมายถึงคุณหนูใหญ่ซูที่บอกเจ้าเตรียมพร้อมงั้นรึ?” เมิ่งฉางเต๋อประหลาดใจ ผู้ที่อยู่ในราชสำนักมาหลายปีอาจรู้ประเด็นสำคัญบางประการ แต่นางจะรู้ได้อย่างไรเมื่อนางเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ถูกขังไว้ในเรือน?

“ท่านพ่อ เตรียมยาไว้แล้ว ข้าเพิ่งส่งคนไปสอบถามและพบว่าราคายาเพิ่มขึ้นมาก” เมิ่งซิ่วเหวินค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้รับจดหมายจากซูมู่เกอเป็นครั้งแรก

เขาคิดว่านางเขียนจดหมายถึงเขา…เพื่อแสดงความรักของนาง อย่างไรก็ตาม…..

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เมิ่งซิ่วเหวินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง

“นางบอกหรือไม่ว่ากำลังจะทำอะไร?” ซูมู่เกอเคยช่วยรักษานายหญิงเมิ่ง แต่หลังจากนั้นครอบครัวเมิ่งปฏิเสธที่จะให้นางรับการรักษาต่อ อย่างไรก็ตามครอบครัวของเมิ่งเป็นฝ่ายผิด และซูมู่เกอควรจะโกรธพวกเขา

เมิ่งซิ่วเหวินคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ซูมู่เกอกำลังทำอะไร!

“ไม่ทราบขอรับ” ซูมู่เกอส่งข้อความถึงเขาอีกครั้งในวันนี้ บอกว่าตอนนี้สามารถวางขายยาบางชนิดได้แล้ว เขาอยากรู้จริงๆว่านางรู้ได้อย่างไร?

“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรขอรับ?” ตอนนี้ชุดยาจะทำให้พวกเขาร่ำรวยมากขึ้นเมื่อพวกเขาขายต่อ

เมิ่งฉางเต๋อนั่งนิ่งใช้สมาธิสักพัก จำข้อความที่ส่งถึงเขาเมื่อวานนี้โดยอ่านว่าเมืองโจวต้องการวัสดุยามากมาย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญซะจริง

“ขายให้เมืองโจวในราคาเดิม” หากพวกเขาส่งชาชุดนั้นให้ฟรีเขาจะได้รับความชื่นชมจากจักรพรรดิ แต่สุดท้ายแล้วตระกูลเมิ่งทำได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ชอบการมีชื่อเสียงมาโดยตลอด เขาค่อนข้างจะยกเลิกความคิดแนวนี้ไปเลย

“ขอรับ” เมิ่งซิ่วเหวินรู้สึกว่าเหมาะสมกว่าที่จะทำเช่นนั้น

“สำหรับตระกูลซูนั้น มันขึ้นอยู่กับเจ้า”

“ขอรับ”

หลังจากออกจากห้องหนังสือ เมิ่งซิ่วเหวินก็ยังคงครุ่นคิดถึงตลอดการเดินทางกลับไปที่ลานบ้านของเขา

ซูมู่เกออาจทำเช่นนั้นด้วยเจตนาที่ดีต่อตระกูลเมิ่ง เมื่อเมิ่งซิ่วเหวินนึกถึงดวงตาที่โตและสดใสของนาง การเต้นของหัวใจของเขาก็เริ่มกระหน่ำขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้

“หวู่หมิง”

หมู่หมิงเดินเข้ามาในห้อง

“พร้อมรับคำสั่งครับ นายท่าน?”

เมิ่งซิ่วเหวินส่งจดหมายให้เขา “รับไป อย่าลืมส่งไปให้คุณหนูใหญ่ซู”

หวู่หมิงรับจดหมายมาด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน โปรดมั่นใจ ข้าน้อยจะมองมันให้กับคุณหนูใหญ่ซู่ด้วยมือขอรับ”

ทันทีที่ซูมู่เกอออกกำลังกายในสนามเสร็จ นางก็ได้รับจดหมายจากเมิ่งซิ่วเหวิน

ซูมู่เกอเอนกายบนเก้าอี้ยาวและเปิดจดหมาย เมื่ออ่านจดหมายดวงตาของนางก็สว่างขึ้น

เยว่รู่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของซูมู่เกอ นางอยู่ในความงงงวย

มีกระดาษสองแผ่นอยู่ในซองจดหมาย หนึ่งคือคำตอบจากเมิ่งซิ่วเหวินเพื่อขอบคุณนาง

อีกใบ…เป็นตั๋วเงินมูลค่า 500 เหลียง!

นี่คือ “ทองคำถังแรก” ที่นางได้รับจากการเดินทางย้อนกลับมาในสมัยโบราณ!