ตอนที่ 31 ปรมาจารย์ผู้ลึกลับ (1)ตอนที่ 32 ปรมาจารย์ผู้ลึกลับ (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 31 ปรมาจารย์ผู้ลึกลับ (1)

“เอาล่ะ เลิกนอนซะ แล้วลุกขึ้นมากินอะไรก่อน!” จวินเสี่ยนกำลังยุ่งอยู่กับการสั่งให้บ่าวรับใช้ยกโจ๊กที่เตรียมไว้นานแล้วเข้ามา ทันทีที่โจ๊กถูกนำเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมจางๆ ของสมุนไพรก็ลอยเข้ามาเตะจมูกของสองพ่อลูก

กลิ่นนั้นไม่ได้แรงมาก ไม่ฉุนจนทำให้คนสำลักเหมือนกับกลิ่นของยาต้ม และยิ่งมันถูกผสมลงในโจ๊กร้อนๆ หอมกรุ่นด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้คนบนเตียงกระเพาะหดเกร็งด้วยความหิว

แต่เดิมจวินชิงไม่มีความรู้สึกอยากอาหารอยู่เลย แต่กลิ่นหอมของโจ๊กยั่วน้ำลายเขามาก เพียงแค่สูดหายใจเข้าลึกเพียงครั้งเดียว กลิ่นหอมนั้นก็เข้าจู่โจมทุกประสาทสัมผัสของเขาจนทำให้ความไม่อยากอาหารหมดไปทันที เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง เพื่อที่จะได้เพลิดเพลินไปกับอาหารมื้อแรกในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

พอร่างกายได้รับการเติมเต็ม จวินชิงก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังจากที่เรี่ยวแรงเริ่มกลับมาบ้างพอสมควรแล้ว เขาก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงและเริ่มพูดคุยกับจวินเสี่ยนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา นี่ถึงทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายล่อแหลมมากเพียงใดระหว่างที่เขาหมดสติไป

“แม้แต่หมอหลวงพวกนั้นก็ยังลงความเห็นว่าเจ้าไม่รอดแล้ว หากไม่ใช่เพราะอู๋เสียล่ะก็…” จวินเสี่ยนถอนหายใจ เมื่อเขานึกถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกชายคนโตไป…นึกถึงเมื่อปีนั้นที่เขาฝังศพลูกชายและลูกสะใภ้บิดามารดาของจวินอู๋เสีย ความเจ็บปวดที่ประหนึ่งควักเอาหัวใจของเขาออกไปครึ่งดวง หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะสัมผัสกับมันอีก การที่ต้องให้ตาแก่หัวขาวอย่างเขามาส่งคนหัวดำ บอกตามตรงเขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถทนรับมันได้หรือไม่หากมันเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง

“แต่ว่า…อู๋เสียเพิ่งจะเริ่มศึกษาวิชาแพทย์เมื่อไม่นานมานี้เอง นางรู้ได้อย่างไรว่าข้านั้นยังสามารถช่วยชีวิตได้อยู่” หัวของจวินชิงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ดูเหมือนว่าในช่วงหลังๆ มานี้จวินอู๋เสียจะเปลี่ยนไปมาก เด็กสาวที่หยาบคายและเอาแต่ใจคนก่อนบัดนี้ได้หายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย แม้กระทั่งตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับการดูถูกของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย นางก็ยังไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจ นิ่งสงบไม่เหมือนแต่ก่อนที่เต็มไปด้วยพายุอารมณ์ ตอนนี้นางได้เติบโตขึ้นแล้ว ความมีวิจารณญาณและสุขุมของนาง บวกกับทักษะทางการแพทย์ที่น่าทึ่งที่สามารถรักษาผู้ป่วยใกล้ตายให้หายกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนทัศนคติแล้วมองนางใหม่

“ช่วงนี้เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปมากจริงๆ กลายเป็นคนมีเหตุมีผลแล้ว ข้าคิดว่าอาการบาดเจ็บของนางในคราก่อนอาจไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเราเข้าใจ เพราะหากนางไม่เจอเข้ากับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดจุดพลิกผันล่ะก็ นางคงไม่มีทางเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้น” แม้จวินเสี่ยนจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาได้สักพักแล้ว ทั้งยังเริ่มคาดเดาเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของจวินอู๋เสียไปต่างๆ นาๆ

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เริ่มขึ้นหลังจากที่นางกลับมาพร้อมกับบาดแผลปริศนาเหล่านั้น นางพบเจอเรื่องอะไรมากันแน่

จวินชิงลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จวินอู๋เสียได้มอบเมล็ดบัวให้กับเขาก่อนที่พิษจะกำเริบออกไป

“เมล็ดบัวรึ” จวินเสี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนแรกเขาก็คิดอยู่ว่าการถูกพิษในครั้งนี้ของจวินชิงมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ยังเข้าใจไปว่าคงมีบางคนตั้งใจลอบทำร้ายเขา มาถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ลากจวินอู๋เสียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคงไม่ได้เสียแล้ว

“บางทีเด็กคนนั้นอาจไม่มีเจตนา นางอาจจะแค่อยากมอบมันให้ข้าเฉยๆ หรือไม่ก็เป็นเพราะร่างกายของข้าเองที่ไม่สามารถต้านทานพิษพวกนั้นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามข้าก็ยังเชื่อมั่นว่าอู๋เสียจะไม่ทำร้ายข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแม้ตอนนี้ข้าจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก แต่ข้ากลับรู้สึกสบายตัวยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมาเสียอีก! ตลอดหลายปีมานี้ พิษร้ายได้แทรกซึมลงไปในกระดูก ฝังลึกอยู่ในร่างกายของข้า และแม้ว่ามันจะไม่ได้พรากชีวิตของข้าไป แต่มันก็ทำให้จิตวิญญาณและร่างกายของข้าค่อยๆ ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จนข้าเริ่มหมดหวัง” จวินชิงกลัวว่าเขาจะทำให้จวินอู๋เสียต้องเข้ามาพัวพันไปมากกว่านี้ จึงพยายามอธิบายอย่างรีบเร่ง

ในความเป็นจริงเขาไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด ร่างกายของเขาแม้ยังคงอ่อนเพลียอยู่บ้าง ทว่าจิตใจนั้นกลับสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนพิษร้ายเหล่านั้นทำให้เขาไม่สามารถรวบรวมพลังวิญญาณได้ แต่ตอนนี้เขากลับสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกมัน แม้จะยังบางเบา แต่เมื่อเขาลองโคจรพลังวิญญาณดูก็พบว่ามันไม่ได้ถูกปิดกั้นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว

“จริงรึ อย่าคิดว่าเจ้าจะหลอกข้าได้สำเร็จเชียว ข้าย่อมเชื่อมั่นในตัวอู๋เสียของพวกเรายิ่งกว่าใคร แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือหากเจ้ารู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนก็อย่าได้ปิดบังมันไว้เสียล่ะ” ฝ่ามือและหลังมือล้วนแต่เป็นเนื้อทั้งสิ้น[1] จวินเสี่ยนย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดอันตรายใดๆ ขึ้นกับทั้งสองคน

จวินชิงยิ้มแล้วพยักหน้ารับ เขาขยับแขนไปมาแรงๆ พยายามแสดงให้ท่านพ่อของเขาเห็นว่าเขาสบายดีจริงๆ

แต่ขณะที่เขากำลังขยับตัวจะนั่งตัวตรง จู่ๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างก็แล่นปราดขึ้นมา ทำเอาร่างกายของเขาแข็งทื่อไป

“เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นหรือ” จวินเสี่ยนรีบถามเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางแปลกๆ ของจวินชิง

จวินชิงกลืนน้ำลาย จากนั้นก็หันไปมองจวินเสี่ยน

“ขาของข้า…”

“เกิดอะไรขึ้นกับขาของเจ้า!” จวินเสี่ยนรีบถามอย่างร้อนใจ

“มันรู้สึก…เจ็บเล็กน้อย” เสียงของจวินชิงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ขณะที่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นกลับพิลึกขึ้นทุกที

……………….

ตอนที่ 32 ปรมาจารย์ผู้ลึกลับ (2)

นับตั้งแต่จวินชิงโดนพิษเล่นงาน ขาทั้งสองข้างของเขาก็ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกใดๆ ได้อีก เว้นเสียแต่ในช่วงที่อากาศหนาวจัด จะรู้สึกหนาวเย็นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ขณะที่เขาต้องการจะนั่งตัวตรงเมื่อสักครู่นี้ ความรู้สึกเจ็บที่หายไปตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมากลับแล่นไปทั่วขาคู่นี้ที่ไร้การตอบสนองของเขา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกเจ็บชัดเจนขนาดนี้

ต่อให้เจ็บมาก แต่จวินชิงกลับสติหลุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

“ท่านพ่อ อู๋เสียอยู่ที่ไหนขอรับ” ภาพเหตุการณ์ในอดีตวาบเข้ามาในหัวเขาอย่างกะทันหัน และทันใดนั้นการคาดเดาที่กล้าหาญก็เกิดขึ้นในใจของจวินชิง

เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าในวันนั้นอู๋เสียพูดกับเขาประโยคหนึ่ง

ท่านอาเล็กเชื่อใจข้าหรือไม่

ยามที่จวินอู๋เสียตั้งคำถามนี้กับเขา เขาไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับมัน แต่เวลานี้หลังจากเรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้น นึกย้อนไปถึงท่าทีหลังจากถามคำถามนี้ของนาง เขาก็พบว่าหลังจากที่นางป้อน ‘เมล็ดบัว’ นั่นให้เขาแล้ว พิษในร่างกายของเขาก็ปะทุออกมาอย่างไร้สาเหตุ

นี่มันจะบังเอิญมากเกินไปแล้ว!

จวินเสี่ยนรีบส่งคนให้ไปตามจวินอู๋เสียมาที่นี่ทันที

เพราะก่อนหน้านี้จวินอู๋เสียอยู่แต่ในห้องปรุงยาตลอด ยามเมื่อนางก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นสมุนไพรจางๆ จึงลอยตามเข้ามาด้วย นางอุ้มแมวสีดำตัวเล็กของนางด้วยแขนข้างเดียว จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงอย่างสงบ

“ท่านอาเล็กฟื้นแล้ว” จวินอู๋เสียเหลือบมองจวินชิงแวบหนึ่ง เนื่องจากคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าเขาจะต้องตื่นขึ้นมา น้ำเสียงของนางจึงไม่มีร่องรอยของความแปลกใจใดๆ

“อู๋เสีย ครั้งนี้อาเล็กขอบใจเจ้ามากจริงๆ” จวินชิงส่งรอยยิ้มลึกไปถึงดวงตาให้กับหลานสาวหลังจากที่เขามองเห็นเจ้าแมวดำที่ดูมีความสุขและพึงพอใจที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง จวินอู๋เสียนั้นชอบสัตว์มาตั้งแต่เด็ก ทว่าด้วยความไม่อดทนและใจร้อนของนาง ทำให้สัตว์ที่นางเลี้ยงต่างไม่อยู่นิ่งและวิ่งหนีไปเสมอ เขาเคยแม้กระทั่งไล่จับทั้งแมวและสุนัขหลายตัวมาให้นางเลี้ยง แต่จนแล้วจนรอดมันก็ลงเอยด้วยบทสรุปเดิมคือพวกมันหนีไป ดังนั้นภาพที่นางอดทนเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งจึงเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง

“ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอกเจ้าค่ะ เพราะมันเป็นความผิดของข้าเอง” นางหลุบตาลงต่ำพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบขนที่ทั้งนุ่มทั้งลื่นบนหลังของเจ้าแมว

คำพูดของจวินอู๋เสีย ทำให้สองพ่อลูกสกุลจวินตกใจจนต้องหันมามองหน้ากัน

“อู๋เสีย เจ้าหมายความว่าอย่างไร” จวินเสี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตร เขากังวลว่าน้ำเสียงของตัวเองจะแข็งกระด้างเกินไปจนทำให้หลานสาวตัวน้อยของเขาตกใจกลัว

จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น มองไปยังทั้งสองคนด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วค่อยๆ เปิดปากเล่าไปว่า “ความจริงแล้วข้าก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปิดบังเรื่องนี้จากพวกท่าน ในวันนั้นที่ข้าบาดเจ็บสาหัสกลับมา ท่านอาเล็กกับท่านตาคงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วกระมัง”

จวินชิงกับจวินเสี่ยนพยักหน้ารับ ตอนนี้พอนึกย้อนไปถึงภาพในวันที่จวินอู๋เสียกลับมาที่จวนหลินอ๋อง พวกเขาก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกไม่หาย

“ในตอนนั้นตอนที่ข้าตกจากหน้าผา กระดูกในร่างกายของข้านั้นหักเกือบทุกท่อน และหากไม่ได้ท่านอาจารย์ช่วยชีวิตไว้ ข้าก็คงนอนตายอยู่ที่ก้นเหวนั่นนานแล้ว คงไม่มีวันได้กลับมาที่จวนหลินอ๋องแห่งนี้อีก” จวินอู๋เสียกล่าวด้วยแววตาสงบ

“ท่านอาจารย์หรือ”

จวินอู๋เสียพยักหน้ารับ “ท่านคือคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ทั้งยังช่วยส่งข้ากลับมาที่จวนหลินอ๋องอีก อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเขาต่อหน้าคนอื่น ก็เลยส่งตัวข้าให้กับอู๋…พี่ชาย และตลอดเวลาระหว่างที่ข้าพักฟื้นอยู่กับท่านอาจารย์ ท่านก็ได้สังเกตเห็นว่าข้ามีความสนใจในวิชาแพทย์ จึงยอมรับข้าเป็นลูกศิษย์ แม้ว่าข้าจะไม่ทราบที่มาของเขา แต่เขาก็เป็นผู้มีพระคุณต่อข้า ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็รู้ซึ้งดีว่าฝีมือของเขานั้นเก่งกาจเพียงใด เหตุผลที่ข้าเลือกเรียนวิชาแพทย์นั้น ไม่ใช่เพราะข้าชอบมันหรือเป็นเพราะความสนใจชั่วครั้งชั่วครู่ แต่ท่านอาจารย์ได้บอกกับข้าว่าร่างกายของข้านั้นอ่อนแอ ทั้งภูติวิญญาณก็ไม่มี การเรียนวิชาแพทย์จะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้” จวินอู๋เสียหยุด จากนั้นก็พิจารณาสีหน้าของพวกเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาตั้งใจฟังสิ่งที่นางพูดอย่างจริงจัง นางจึงอธิบายต่อว่า “ที่จริงแล้วสิ่งที่ข้าให้ท่านอาเล็กกลืนลงไปนั้นไม่ใช่แค่เมล็ดบัวธรรมดาทั่วไป แต่มันคือสมบัติที่ท่านอาจารย์มอบให้กับข้า เป็นยาที่มีสรรพคุณช่วยชำระล้างไขกระดูก”

………………

[1] ฝ่ามือและหลังมือล้วนแต่เป็นเนื้อทั้งสิ้น หมายความว่าคนนั้นก็ลูกคนนี้ก็ลูก จะตัดเนื้อก้อนไหนออกไป มันก็เจ็บปวดหัวใจด้วยกันทั้งนั้น