บทที่ 45 มีเหตุผลว่าเหตุใดนักบุญจึงไม่เป็นที่มองเห็นในโลก

รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人

บทที่ 45 มีเหตุผลว่าเหตุใดนักบุญจึงไม่เป็นที่มองเห็นในโลก

“เจ้ามีหัวใจแห่งเต๋าที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร…!”

ตงจู่อ้าปากค้างด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

เขาปลดปล่อยแรงกดดันออกไปในทุกทาง ต่อให้เป็นบุคคลที่อยู่ขอบเขตครองนภาเช่นเดียวกันกับเขา ก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร

ทว่าจักรพรรดิเซี่ยกลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย มันทำให้เขาไม่สามารถเชื่อและยอมรับได้!

ขอบเขตกงล้อชะตาจะมีหัวใจแห่งเต๋าอันน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร

เพียงแค่หัวใจแห่งเต๋าอย่างเดียว จักรพรรดิเซี่ยก็ทิ้งเขาไปไกลมากแล้ว เขาไม่อาจเปรียบเทียบกับจักรพรรดิเซี่ยได้เลย!

ชายผู้นี้ฝึกฝนมาอย่างไร

ตงจู่คิดไม่ออกเลยสักนิดว่าผู้ฝึกตนขอบเขตกงล้อชะตา จะสามารถฝึกฝนหัวใจแห่งเต๋าอันน่าสะพรึงนี้ได้อย่างไร!

“ทรงพลังมาก?”

ใบหน้าของหนิงเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดคิดว่า แล้วดวงตาของเขาก็เผยความประหลาดใจออกมา

‘เอกภาพแห่งสวรรค์และโลก!’

ในใจของหนิงเจี๋ย เสียงของวิญญาณนักบุญดังขึ้นด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักบุญ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หลิงเสิ่งก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงหัวใจแห่งเต๋าของจักรพรรดิเซี่ย ซึ่งนี่ทำให้เขาประหลาดใจทันที

ขอบเขตเอกภาพแห่งสวรรค์และโลกนั้นไม่ถือว่าต่ำ ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าตนเองต้องฝึกหัวใจแห่งเต๋านานมากเพียงใด กว่าจะบรรลุถึงขอบเขตเอกภาพแห่งสวรรค์และโลก

สำหรับอายุของจักรพรรดิเซี่ยในขอบเขตดังกล่าว ขอบเขตหัวใจแห่งเต๋าของเขานั้นแย่กว่าจักรพรรดิเซี่ยหลายเท่า และไม่อาจเปรียบเทียบอีกฝ่ายได้เลย!

“หนิงเจี๋ยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงจัดการเขาเสีย และเรียนรู้ว่าเขาฝึกจิตใจของเขาได้อย่างไร! สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับเจ้า!”

เต๋าเป็นรากฐานของผู้ฝึกฝน ด้วยเต๋าที่แข็งแกร่งเเท่านั้นจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นในทุกด้าน

หากหัวใจแห่งเต๋าไม่ดี ต่อให้ด้านอื่นจะแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

หลิงเสิ่งสั่งให้หนิงเจี๋ยฝึกฝน เพราะเขาให้ความสำคัญกับการลับคมหัวใจแห่งเต๋าของหนิงเจี๋ยยิ่ง

แม้จะใช้ประสบการณ์ในฐานะนักบุญเข้าช่วยแล้ว แต่ขอบเขตหัวใจแห่งเต๋าของหนิงเจี๋ยยังคงตามหลังจักรพรรดิเซี่ยอยู่มาก ซ้ำยังแย่กว่าของจักรพรรดิเซี่ยมากอยู่ดี!

“ได้!”

ดวงตาของหนิงเจี๋ยเป็นประกาย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ เขารู้ยิ่งว่าการฝึกฝนวิถีแห่งเต๋านั้นสำคัญเพียงใด

ดวงตาของตงจู่เปล่งประกาย และเขาก็เริ่มคิดเกี่ยวกับจักรพรรดิเซี่ยว่า หากตนได้วิธีลับคมหัวใจแห่งเต๋าของอีกฝ่ายมา จนสามารถเข้าถึง ‘เอกภาพแห่งสวรรค์และโลก’ ได้ละก็ ขอบเขตและความแข็งแกร่งของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดแน่นอน!

“เจ้าคิดอย่างไร”

จักรพรรดิเซี่ยยิ้ม เพียงมองดูก็รู้ทันความคิดของตงจู่และหนิงเจี๋ยอย่างรวดเร็ว “ข้าเป็นเพียงจักรพรรดิของอาณาจักรเซี่ยเล็ก ๆ แห่งนี้ และขอบเขตของข้าก็อยู่แค่ขอบเขตกงล้อชะตาเท่านั้น เจ้าคงจะคิดว่าข้าลับคมหัวใจแห่งเต๋าได้อย่างไร? อย่าได้คิดมากไป ข้าเพียงได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น”

“เจ้าหมายถึงมนุษย์ตะวันออกคนนั้น?”

หนิงเจี๋ยคิดถึงหลี่จิ่วเต้าทันที

เพราะนอกจากหลี่จิ่วเต้าแล้ว เขาก็นึกถึงใครอื่นไม่ได้จริง ๆ

“หนิงเจี๋ย! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงพ่นวาจาสามหาวไม่เคารพผู้อาวุโสเพียงนี้”

เซี่ยหวงตะคอกอย่างเย็นชาและเอ่ยว่า “เจ้าหารู้ไม่ว่าตนเองกำลังเผชิญกับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่แบบไหน ต่อหน้าอาวุโสผู้นั้น นิกายเจ็ดดาราที่เจ้าเป็นศิษย์อยู่ก็เป็นได้เพียงวัชพืชข้างถนนเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยแม้แต่น้อย!”

“เจ้าพยายามทำให้ข้ากลัว?”

ดวงตาของหนิงเจี๋ยมองไปที่เซี่ยหวงฉายแววดุร้าย “หนิงเจี๋ยผู้นี้ไม่กลัวหรอก!”

“นิกายเจ็ดดาราเป็นได้เพียงวัชพืชข้างถนนหรือ ช่างโอหังเสียจริง!”

ร่างกายของตงจู่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังปราณชวนหายใจไม่ออก และเขาก็แข็งแกร่งพอ ๆ แดนศักดิ์สิทธิ์ ขนาดตัวเขาเองยังไม่กล้าประเมินนิกายเจ็ดดาราต่ำไป!

“ผู้ฝึกฝนตัวน้อยในขอบเขตกงล้อชะตา แต่กลับมีหัวใจแห่งเต๋าของ ‘เอกภาพแห่งสวรรค์และโลก’ หนิงเจี๋ย เจ้าต้องระวังไว้ มนุษย์ผู้นั้นอาจไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด”

หลิงเสิ่งเตือนให้หนิงเจี๋ยอย่าหุนหันพลันแล่นมากเกินไป แม้แต่เขาก็ยังกล้าพูดว่าตนไม่สามารถทำให้ผู้ฝึกฝนขอบเขตกงล้อชะตามีหัวใจแห่งเต๋าของ ‘เอกภาพแห่งสวรรค์และโลก’ เลย

“แปลว่าเขาเองก็เป็นนักบุญด้วยหรือ?” หนิงเจี๋ยถาม

“ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น…”

หลิงเสิ่งกล่าวว่า “นักบุญในโลกนี้แทบไม่ปรากฏตัวให้เห็น มันมีเหตุผลอยู่ ในสมัยโบราณนั้นโลกบังเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากล้มลง และเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจจำนวนมากก็ถูกกำจัด…”

ยุคนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคมืด วิถีแห่งการฝึกตนถูกทำลายอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ขณะที่โลกก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ในยุคนี้จึงไม่ค่อยมีผู้แข็งแกร่งมากนัก และนักบุญได้กลายเป็นตำนานไปในที่สุด

เผ่าพันธุ์ทรงอำนาจบางเผ่ารอดพ้นมาจากยุคสมัยนั้นได้

แต่พวกเขาตระหนักดีถึงความน่ากลัวของความโกลาหลนั้น และพวกเขารู้ด้วยว่าความโกลาหลนั้นยังไม่ได้หายไป

เพราะอย่างนี้แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดมา แต่ก็ไม่อาจปรากฏตัวให้ผู้อื่นพบได้ในยุคนี้

“เขาไม่สามารถเป็นนักบุญได้!”

หลิงเสิ่งมั่นใจมากและกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นนักบุญคนใหม่ในโลก หรือนักบุญที่รอดชีวิตมาจากยุคสมัยนั้น พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยตนให้ผู้อื่นเห็นอยู่ดี นี่เพราะพวกเขาเกรงกลัวในบางสิ่งอยู่!”

หลิงเสิ่งเป็นนักบุญ เขาจึงได้รู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ซ้ำยังรู้ด้วยว่าผลที่ตามมาอาจร้ายแรงและน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

โผล่หัวมาเท่ากับตาย!

“ความโกลาหลคืออะไร? แล้วบางสิ่งที่ว่านั่นคืออะไร?”

หนิงเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะถาม

สิ่งที่หลิงเสิ่งพูดมานั้นน่ากลัวเกินไป เพราะขนาดบรรดานักบุญยังกลัวมัน กระทั่งไม่กล้าโผล่หัวออกมา นี่ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างไมต้องสงสัย และเขาต้องการรู้รายละเอียด!

“อย่าถาม!”

หลิงเสิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สิ่งเหล่านี้หาใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ในตอนนี้ การรู้มากเกินไปก็ไม่ดีสำหรับเจ้า”

“ย่อมได้!”

หนิงเจี๋ยไม่กล้าถามคำถามอีกต่อไป

“แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”

เขาถามหลิงเสิ่งถึงวิธีจัดการกับจักรพรรดิเซี่ย

“มนุษย์ตะวันออกผู้นั้นสมควรเป็นผู้ฝึกตนที่ขอบเขตสูงพอสมควร อีกทั้งความแข็งแกร่งก็ไม่น่าอ่อนแอ แต่หากบอกว่าเขาแตะขอบเขตที่สูงกว่านักบุญ มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน..”

หลิงเสิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เขาสามารถทำให้จักรพรรดิเซี่ยบรรลุถึงขอบเขต ‘เอกภาพแห่งสวรรค์และโลก’ ในขอบเขตกงล้อชะตาได้ ข้าว่ามันต้องอาศัยมรดกโบราณ เพื่อให้หัวใจแห่งเต๋าของจักรพรรดิเซี่ยได้รับการยกระดับเป็น ‘เอกภาพแห่งสวรรค์และโลก’ เป็นแน่”

เขาแค่นเสียงเอ่ย “สภาพแวดล้อมในโลกนี้เลวร้ายเกินไป มันยากที่จะมี ‘ผู้ทรงอำนาจที่แท้จริง’ เกิดขึ้นมา เขาคิดว่าตนเองสามารถเดินท่องไปทั่วใต้หล้านี้ได้ โดยไม่มีใครสามารถสยบได้ แต่คงจะไม่รู้ว่าฟ้าดินนั้นสูงต่ำเพียงใด ในโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขานึกไม่ถึง เช่นตัวข้า…!”

“คิดจะสู้กับเขาให้ถึงที่สุดหรือ”

“หากเจ้าไม่มีความขัดแย้งกับเขา เจ้าสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีและรับประโยชน์จากเขาได้ แต่ตอนนี้เจ้ามีความขัดแย้งกับเขาแล้ว เพราะฉะนั้นก็มิอาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว…”

หลิงเสิ่งเอ่ยคำแนะนำออกมา “ต้องมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ยากจินตนาการได้ในตัวเขา นี่เป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดสำหรับเจ้าและข้า! ตอนนี้เจ้าเป็นถึงศิษย์หลักของนิกายเจ็ดดารา ใช้นิกายเจ็ดดาราทดสอบความแข็งแกร่งเขาเสีย”

หลิงเสิ่งต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก่อน แล้วจึงจะหาวิธีจัดการกับมันต่อ กล่าวโดยสรุปคือพวกเขาจะต้องไม่พลาดการได้รับโอกาสครั้งใหญ่นี้

“อย่ากังวลไป หากเขาไม่ได้เป็นนักบุญ ก็มิอาจคุกคามชีวิตของข้าได้ และข้ามีวิธีรับรองความปลอดภัยของพวกเราแน่นอน”

หลิงเสิ่งกล่าว

นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นนักบุญได้ แม้ว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หลิงเสิ่งก็ไม่กลัว นี่เพราะเขามีวิธีการป้องกันตัวเองอยู่

“เข้าใจแล้ว!”

ด้วยความมั่นใจของหลิงเสิ่ง หนิงเจี๋ยก็ไม่กังวลอีกต่อไป ซ้ำแล้วนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ ชายหนุ่มไม่ต้องการล่าถอยไปอย่างขี้ขลาด!

ในเวลาเดียวกัน เขาไม่อยากยอมแพ้เซี่ยเหยียนไปทั้งอย่างนั้น!