บทที่ 46 จอมปราชญ์หรืออาวุธขั้นสูงสุด

รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人

บทที่ 46 จอมปราชญ์หรืออาวุธขั้นสูงสุด

“นิกายเจ็ดดารานั้นทรงพลังมาก แม้จะอยู่ในภาคกลางที่เต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่ง ซึ่งมีแดนศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ ข้าก็ไม่เคยกลัวใคร จักรพรรดิเซี่ย เจ้าต้องการทำให้เราตกใจด้วยคำพูดไม่กี่คำ แต่เจ้าน่ะคิดเยอะเกินไปแล้ว!”

หนิงเจี๋ยมีท่าทีแข็งกร้าวและตะโกนอย่างเย็นชา

“ดี!”

ตงจู่เอ่ยเสียงดังและยังคงปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงออกมา “ไม่ว่าใครก็ตามที่หนุนหลังเจ้า แต่นิกายเจ็ดดารา เจ้ามิอาจดูถูกได้!”

นิกายเจ็ดดารามีประวัติอันยาวนาน แล้วด้วยเหตุนี้เขาจะกลัวได้อย่างไร

หากเป็นเช่นนั้น นิกายเจ็ดดาราจะมีหน้าไปพบใครได้อีก

หากผู้อื่นรู้ เขาจะคิดอย่างไรกับนิกายเจ็ดดารา? ไม่แคล้วว่าใคร ๆ ก็คงมาทำตัวอวดดีต่อหน้านิกายเจ็ดดาราใช่หรือไม่?

‘ฮ่า ๆ ข้าพามาถูกคนเสียจริง!’

หนิงเจี๋ยยิ้มทันทีเมื่อเห็นท่าทีของตงจู่

ตงจู่ให้ความสำคัญกับใบหน้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าของเขาเองหรือของนิกายเจ็ดดารา ตงจู่จะไม่มีวันถูกทำให้อับอายโดยง่าย!

ครั้งหนึ่ง มีศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ดูถูกศิษย์ของนิกายเจ็ดดารา ตงจู่บังเอิญอยู่ที่นั่นในเวลานั้น และโดยไม่เอ่ยสักคำ เขากระทืบศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างรุนแรงและขอให้ศิษย์ผู้นั้นขอโทษ

อาจารย์ใหญ่แห่งนิกายเจ็ดดารารู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้

นั่นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!

อย่างไรก็ตาม ตงจู่เป็นคนเช่นนั้น

เขาให้ค่ากับใบหน้าของเขายิ่งกว่าอะไรดี!

หลังจากนั้น ตงจู่ก็ไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์เป็นการส่วนตัว เพื่อบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนิกายเจ็ดดารา และหากแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องการจัดการกับเขา เขาก็ยินดี

ในตอนนั้น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ หลายคนรู้ว่าศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมากเรื่อง และการดูหมิ่นนิกายเจ็ดดาราก็นับว่าร้ายแรงเกินไป แดนศักดิ์สิทธิ์สนใจภาพลักษณ์ของตนเองและพวกเขาไม่ต้องการเสียชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่เอาเรื่องตงจู่

‘หากข้าพาผู้อาวุโสคนอื่นมาที่นี่ เกรงว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะไม่ดีนัก’

หนิงเจี๋ยคิดในใจ

หากเป็นผู้อาวุโสคนอื่น เขาคงจะกังวลเกี่ยวกับจักรพรรดิเซี่ยอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่กล้าทำอะไรเยอะ หรือสุดท้ายแล้วคงจะล่าถอยไปเลยก็เป็นไปได้

และความคิดของเขาที่จะใช้นิกายเจ็ดดาราเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็คงจะล้มเหลว

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าไม่สามารถลบหลู่นิกายเจ็ดดาราได้!”

ตงจู่ก้าวไปข้างหน้า ดวงตาของเขาฉายแววน่าพรั่นพรึง ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าจะต้องชดใช้!”

‘เยี่ยมยอด!’

หนิงเจี๋ยหัวเราะในใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่จำเป็นต้องผลักดันอะไร ตงจู่ก็ทำตามหัวใจของเขาลงไปแล้ว

“ดูความสามารถของคนผู้นั้นสิ!”

หลิงเสิ่งพูดในใจของหนิงเจี๋ย

ตู้ม!

ทันใดนั้นเอง ความว่างเปล่าพลันระเบิดออก บนอากาศปรากฏลูกธนูแห่งแสงพุ่งเข้ามาอย่างน่าสะพรึงกลัว เจาะผืนพสุธาตรงหน้าตงจู่ทันที!

หนังศีรษะของตงจู่ด้านชาไปในบัดดล ที่หลังมีเหงื่อเย็น ๆ ไหลซึมออกมา

เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไร้ขอบเขตจากลูกศรแสง!

หากโดนมันเข้า ไม่แคล้วชีวิตคงปลิวหายไปกับศรลูกนี้…เขาจะต้องตายตกอย่างแน่นอน!

ลูกศรแสงระเบิดออกมาเป็นเปลวเพลิง พลังของมันยังถูกยับยั้งไว้ และไม่มีร่องรอยของการรั่วไหล

ซึ่งแปลว่าไม่มีการรั่วไหลของพลังปราณออกมา

หากพลังปราณนั้นรั่วไหลออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระราชวังทั้งหมดจะพังทลายลงในทันที!

“นิกายเจ็ดดาราไม่อาจขายหน้าได้ แล้วผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่สามารถขายหน้าได้หรือ?”

เซี่ยเหยียนเดินออกมาพร้อมกับคันศรราชัน นางในเวลานี้ราวกับเทพีแห่งน้ำแข็งและหิมะ ทั่วทั้งร่างปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือก สายตาจับจ้องไปยังตงจู่อย่างเย็นชา

นางดูกล้าหาญและสง่างาม แม้ว่าขอบเขตจะต่ำกว่าตงจู่มาก แต่นางก็หาได้กลัวไม่

“คันธนูนี้…!”

หลิงเสิ่งตกตะลึง พลังปราณที่ออกมาจากคันธนูในมือเซี่ยเหยียน ทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด

เขาไม่รู้จักคันธนูนี้ แต่มั่นใจได้ว่าคันธนูนี้เหนือกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน และไม่ใช่เพียงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นอาวุธขั้นสูงสุด!

‘จอมปราชญ์’ นี่นับเป็นตัวตนซึ่งดำรงอยู่บนจุดสูงสุดในหมู่นักบุญ ต่อให้เขาจะอยู่ขอบเขตสูงสุดของนักบุญ แต่มันก็ยังห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของจอมปราชญ์อยู่ดี!

ส่วนอาวุธขั้นสูงสุดนับว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เพราะมันมีพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตของนักบุญเสียอีก

ด้วยอาวุธระดับนี้ เพียงศรเดียวก็สามารถกวาดล้างตัวตนนักบุญนับพันด้วยการยกมือเพียงครั้งเดียว!

“วิญญาณนักบุญของข้าได้รับความเสียหาย ข้าไม่กล้าตรวจสอบอย่างละเอียด มิเช่นนั้นข้าจะรู้ระดับของธนูนี้ไปแล้ว!”

วิญญาณนักบุญพึมพำกับตัวเอง

“เจ้ายิงธนูดอกนี้หรือ!?”

ตงจู่มองไปที่เซี่ยเหยียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

ไม่ต้องเขาหรอก เกรงว่าแม้แต่บรรพบุรุษของนิกายเจ็ดดาราก็ไม่อาจคว้าลูกศรนี้ได้!

ดรุณีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปีจะยิงธนูอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้อย่างไร

เขาไม่อยากจะเชื่อ!

“ใช่!”

เซี่ยเหยียนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “นี่คือการยิงธนูที่ผู้อาวุโสสอนข้า และธนูนี้ยังเป็นสมบัติที่ผู้อาวุโสมอบให้ข้าด้วย!”

ตงจู่มองไปที่คันธนูในมือเซี่ยเหยียน จากนั้นก็อ้าปากค้าง

แม้ว่าเขาจะไม่รู้อันดับของธนู แต่ปราณของธนูก็ทำให้เขาสั่นสะท้านแล้ว!

นี่ต้องเป็นธนูระดับสูงส่งจนไม่อาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน!

เหงื่อของเขาแตกพลั่ก ผู้ใดสามารถให้ธนูเช่นนี้กับเซี่ยเหยียนได้กัน คนผู้นั้นเป็นต้องเป็นคนเช่นไร?

จักรพรรดิเซี่ยอาจพูดถูก

ต่อหน้าบุคคลผู้นั้น นิกายเจ็ดดาราของเขานับว่าไม่มีค่าอะไรเลย!

“เข้าใจแล้ว!”

เสียงของวิญญาณนักบุญดังก้องอยู่ในใจของหนิงเจี๋ยว่า “บุคคลนั้นอาจมีมรดกของจอมปราชญ์หรือสมบัติอาวุธขั้นสูงสุดก็เป็นได้ และความน่ากลัวที่ข้าสัมผัสได้ในเนินเขาเขียวก็อาจเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นด้วย! นี่จะต้องมีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นในตัวคนผู้นั้นเป็นแน่ เพราะขนาดสมบัติของเขายังน่าสะพรึงกลัวเลย!”

หัวใจของหนิงเจี๋ยสั่นสะท้าน ไม่ว่าจะเป็นจอมปราชญ์หรืออาวุธขั้นสูงสุด ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่เหนือจินตนาการทั้งนั้น!

‘เราจะทำต่อหรือไม่’

เขานึกคิดในใจ คนผู้นั้นเป็นคนที่สู้ได้จริง ๆ หรือ

“เจ้าไม่เห็นศรที่เด็กสาวผู้นั้นยิงมาหรือไร บรรพชนของนิกายเจ็ดดาราอยู่ที่นี่แล้ว!”

หลิงเสิ่งรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย

เดิมทีเขาต้องการใช้นิกายเจ็ดดาราเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของบุคคลนั้น แต่เขารู้สึกผิดหวังก่อนที่จะเริ่มเสียอีก

ไม่ต้องพูดถึงนิกายเจ็ดดารา แม้แต่เซี่ยเหยียนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา นิกายเจ็ดดาราก็ไม่อาจรับมือได้

“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด!”

หนิงเจี๋ยรู้สึกผิด กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขายังอยู่ที่นี่

ชายหนุ่มถอยกลับไปอย่างเงียบ ๆ พยายามจะหนีออกไปจากที่นี่

อย่างไรก็ตาม ลูกธนูแสงพลันพุ่งเข้าใส่หน้าเขาทันที และอยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น!

เขาตกใจกลัวจนแทบทรุดลงกับพื้น

แม้แต่วิญญาณนักบุญยังหวาดกลัวเมื่อลูกธนูแสงพุ่งเข้ามา เพราะเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงมันเลย!

ต่อให้วิญญาณนักบุญของเขาเสียหาย มันก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น การยิงธนูของเซี่ยเหยียนนั้นอยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง!

“นี่เขาเป็นจอมปราชญ์หรือปรมาจารย์ผู้เก่งกาจด้านการยิงธนูกัน!”

หลิงเสิ่งพยายามจะยืนยันสิ่งที่ตนคิด

บุคคลนั้นต้องได้รับมรดกของจอมปราชญ์ หรือไม่ก็อาวุธขั้นสูงสุดซึ่งทำให้เชี่ยวชาญด้านการยิงธนูได้ มิเช่นนั้นแล้ว เซี่ยเหยียนคงไม่อาจมีทักษะการยิงธนูอันน่าทึ่งเช่นนี้ได้

“อย่ารีบร้อนไปสิ”

ใบหน้าของเซี่ยเหยียนสงบนิ่ง และนางเอ่ยว่า “ข้าไม่ต้องการฆ่าคน เจ้าควรเชื่อฟังข้า ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้ข้าไม่ต้องการ แต่ข้าก็จะฆ่า!”

“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรเล่า”

หนิงเจี๋ยถามอย่างมึนงง

ชายหนุ่มกลัวมาก เพราะแม้แต่วิญญาณนักบุญก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าพวกเขาจะอยู่รอดปลอดภัย คันธนูนั้นน่ากลัวยิ่ง ถึงขั้นว่าสามารถยิงเขาและวิญญาณนักบุญจนสิ้นชีพได้ในคราวเดียว

“เอาล่ะ ตบปากตัวเองสักร้อยทีก่อน นี่เป็นการลงโทษที่เจ้าทำตัวไม่สุภาพต่อผู้อาวุโส”

เซี่ยเหยียนมองไปที่หนิงเจี๋ยแล้วเอ่ย

ชายผู้นี้ดูหมิ่นผู้อาวุโสซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางไม่คิดลืมและเก็บไว้ในใจเสมอมา