จากนั้นหลายวันต่อมา ซูสุ่ยเลี่ยนก็ลงแรงทำความสะอาดบ้านใหม่ หลินซือเย่าปูศิลาอยู่ในลาน ศิลาชุดนี้ซื้อมาจากพ่อค้าต่างถิ่น ราคาไม่แพง แต่ไม่ปูให้ ดังนั้นหลินซือเย่าจึงต้องพับแขนเสื้อมาลงแรงเอง มือที่จับดาบจนชิน จับมีดตัดลงแรงอยู่หน้าลานเสียงดังตึงตัง ลงมือทำงานอย่างมีความสุข

รั้วล้อมเสร็จแล้ว รั้วไม้หนานมู่ทองขนาดสูงเท่าคน ล้อมรอบลานบ้านพื้นที่ราวหนึ่งหมู่ ด้านบนท่อนไม้แหลม ด้านล่างปักลงดิน แต่ละท่อนหนาราวหนึ่งฝ่ามือ เว้นระยะห่างกันราวสองนิ้วมือ ยืนด้านในยังคงมีลมพัดเข้ามาได้ ไม่ส่งผลต่อการถ่ายเทอากาศในและนอกรั้วแต่อย่างใด ยืนนอกกำแพงมองลอดเข้ามา ก็เห็นภาพด้านในไม่ชัดนัก มองภาพด้านในไม่เห็นเท่าไร เช่นนี้ก็ปลอดภัยและวางใจได้

เฝิงเหล่าลิ่วเห็นแล้วก็เอาแต่ร้องชมว่าวิธีนี้ดี ยังว่าครั้งหน้าบ้านเขาก็จะแก้ไขใหม่ เลียนแบบวิธีนี้ หลินซือเย่าจ่ายค่าแรงให้เขาวันหนึ่งและมอบไม้หนานมู่ทองที่เหลืออีกครึ่งท่อนให้เขาตามสัญญา เฝิงเหล่าลิ่วขอบคุณไม่หยุด กอดไม้หนานมู่ทองวิ่งกลับบ้านไปบอกภรรยาตนด้วยความดีใจ

ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา

“เจ้าได้บอกที่มาที่ไปของไม้นี้กับเขาไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา

หลินซือเย่าสบตากับนางพลางส่ายหน้าทันที ไม่ใช่กลัวเขาไปแย่งตัดไม้ในป่าบนเขาต้าซื่อ แต่ที่นั่นมันอันตรายจริงๆ แม้ตอนนี้ไม่มีเสือขาวแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีสัตว์ดุร้ายเติบโตใหญ่ตัวอื่นอีกหรือไม่ บอกพวกเขาไป ในระยะเวลาสั้นๆ นี้อาจพอหาประโยชน์ได้ แต่หากวันใดเกิดต้องเสียชีวิตด้วยเหตุนี้เข้าจะทำเช่นไร

“อืม ข้าก็รู้สึกว่าไม่บอกดีกว่า เกิดว่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนก็คิดกังวลเหมือนเขา “เจ้าก็ด้วย คราวหน้าอย่าไปอีกนะ” นางมองเขาอย่างเป็นกังวลพลางเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้าตอบ ไม่จำเป็นตนเองก็ไม่อยากขึ้นไปอีกเหมือนกัน

……

ซูสุ่ยเลี่ยนทำความสะอาดเก็บกวาดห้องสามห้องหลักและห้องครัวเสร็จ สะอาดจนแทบจะไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อยแล้วจึงได้หยุดพัก

“ฮู่ว์” นางถอนหายใจเบาๆ ตบไหล่และเอวที่เริ่มปวดเมื่อยของนาง

ห้าวันติดต่อกัน วันๆ เอาแต่ทำความสะอาดเช็ดถู วันที่สองยังคงมีฝุ่นจากเศษไม้ แต่ทำความสะอาดเช็ดถูทุกวัน ฝุ่นก็ค่อยๆ น้อยลงไปเอง จนมาวันนี้ ตอนนางเข้ามาในห้องก็ไม่ค่อยได้เห็นฝุ่นเล็กๆ แล้ว คิดว่าทำความสะอาดดีแล้ว แต่ว่ายังคงเอาถังน้ำกับผ้ามาเช็ดเครื่องเรือนอีกรอบ สุดท้ายยังเช็ดพื้นปูลาดหินเสียสะอาดรอบหนึ่งก่อนจะหยุดพัก

“อาเย่า พักหน่อยเถอะ” ซูสุ่ยเลี่ยนล้างมือสะอาดลูบใบหน้าเสร็จก็ยกกะละมังน้ำมาพร้อมผ้าบิดหมาดส่งให้หลินซือเย่าที่กำลังปูศิลายาวไปจรดท่าน้ำด้านหลังลานบ้าน

หลินซือเย่าหยุดมือลุกขึ้น ใบหน้ามีเหงื่อจริงๆ รับผ้าเช็ดหน้าหมาดๆ มาจากมือซูสุ่ยเลี่ยนเช็ดไปมา ก่อนจะรู้สึกอะไรขึ้นมาได้ ดึงมือซูสุ่ยเลี่ยนไปจ้องมองเป็นนาน

“อาเย่า?” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่เข้าใจ มือตนเหมือนไม่ได้เป็นไรนี่ แค่เช็ดเครื่องเรือนกวาดถู ไม่มีบาดแผลอะไร นอกจากหยาบกร้านขึ้นมาอีกหน่อยเท่านั้น

ใช่แล้ว หลินซือเย่าเห็นมือที่เคยละมุนขาวผ่องของนาง ตอนนี้เริ่มหยาบกร้าน ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“ไม่เป็นไร เจ้าไม่เคยเห็นมือของพวกป้าเหลาที่ขึ้นก้อนไตแข็งๆ หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขาจ้องมองจนรู้สึกอาย คิดจะชักมือกลับ แต่ไม่คาดว่าหลินซือเย่าจะกุมไว้แน่นยิ่งขึ้น

“เจ้าไม่เหมือนกัน” หลินซือเย่าเอ่ยน้ำเสียงเบายิ่ง นางไม่เหมือนกัน นางควรได้รับการทะนุถนอมให้มาก ไม่ใช่ต้องมาลงแรงทำงานเช่นตอนนี้

“มีอะไรไม่เหมือน อาเย่า ข้าชอบชีวิตตอนนี้มาก” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขาเหมือนกับตำหนิตัวเองอยู่บ้าง ก็เปลี่ยนมากุมมือเขาไว้แทน มือเขาหลายวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าทำงานหนักมากมายเหมือนกันหรือ

“ชอบ…จริงหรือ” หลินซือเย่าพลิกดูมือนางไปมาหลายรอบถามขึ้น

ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าหงึกๆ คอเริ่มแดงระเรื่อ

หลินซือเย่าถอนใจโอบนางเข้ามา “เจ้าควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่…”

“ข้าชอบตอนนี้มาก อาเย่า เมื่อก่อน…แม้มีชีวิตสุขสบาย แต่ไม่มีความสุขเหมือนตอนนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนซุกหน้ากับอกเขาน้ำเสียงอู้อี้ ซูสุ่ยเลี่ยนเมื่อก่อนสิบนิ้วไม่เคยต้องน้ำในฤดูใบไม้ผลิ อาหารการกินความเป็นอยู่ไม่มีอะไรไม่ประณีต เพียงแต่ตอนนี้มาคิดดู ตนเองตอนนั้นถึงกับไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเติมเต็มและมีความสุขในชีวิตเรียบง่ายเช่นตอนนี้เลย เป็นเพราะชายตรงหน้าหรือ เขามอบความสบายใจและอุ่นใจที่คนอื่นไม่อาจมอบให้นางได้

พระอาทิตย์ตกดินริมแม่น้ำ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี

สองคนตระกองกอดกันเป็นนานอย่างไร้วาจา แต่ในใจรู้ถึงความในใจของอีกฝ่ายกระจ่างชัด

จับมือกันเดินไปจนแก่เฒ่า บางครั้งก็เป็นเรื่องง่ายมากจริงๆ บางครั้งแม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจได้สัมผัส

……

“ป้าเหลา ขอบคุณท่านมาก” ซูสุ่ยเลี่ยนขอบคุณที่ป้าเหลามอบเชิงเทียนมาให้คู่หนึ่งเพื่ออวยพรพวกเขาที่จะขึ้นบ้านใหม่ในอีกสองวันข้างหน้า

เมืองฝานฮัวมีธรรมเนียมที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์ประการหนึ่งก็คือไม่ว่าบ้านไหนขึ้นบ้านใหม่ ก็ควรให้คนในหมู่บ้านเดียวกันมอบเชิงเทียนคู่หนึ่งเพื่อใช้จุดเซ่นสรวงบูชา จึงจะเป็นสิริมงคล

“อะไรกัน แค่เชิงเทียนคู่เดียว ลูกชายข้าอะไรก็ไม่เป็น แต่งานช่างเหล็กพวกนี้ชำนาญอยู่” ป้าเหลายิ้มเอ่ยสัพยอกลูกชายตนเอง ในใจยังอดชื่นชมการจัดบ้านใหม่ของซูสุ่ยเลี่ยนไม่ได้

“ป้าเหลา พวกเราคิดว่าอีกสามวันจะย้ายบ้าน ท่านว่าวันนั้นเหมาะไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเทน้ำให้ป้าเหลาแก้วหนึ่ง

“อีกสามวัน? วันที่แปดเดือนแปด? วันดี!” ป้าเหลาตบหน้าขา วันที่แปดเดือนแปดเป็นวันดี เหมาะกับการแต่งงานและย้ายบ้าน

“คือว่า…นางหนู อย่าหาว่าป้าเหลาปากมากเลยนะ เจ้ากับคุณชายหลินคิดจะแต่งงานกันเมื่อไร” ป้าเหลาตาคมกวาดตามองเห็นเตียงใหญ่ที่มีเพียงตัวเดียว พลางถามขึ้นเบาๆ

พอนางเตือน ซูสุ่ยเลี่ยนจึงได้คิดถึงเรื่องนี้ หลายวันนี้ยุ่งกับการจัดบ้านหาซื้อเครื่องเรือนข้าวของเครื่องใช้ ลืมไปสนิทเลย แต่ว่า…ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปาก หลินซือเย่าก็ไม่ได้เอ่ยถึงนี่

“ข้าว่านะ พวกเจ้าก็จะแต่งแล้ว ทำไมไม่จัดทีเดียวเลย พอย้ายเข้ามาแล้วก็เลือกวันแต่ง เจ้า…อะไรนั่น เตียงตัวเดียวจะพอนอนได้อย่างไร ไม่ใช่หรือ หากมีคนเห็นเข้าเอาไปนินทา ก็คงยากรับฟัง” ป้าเหลากล่าวสิ่งที่คิดออกมาหมด

นางเห็นซูสุ่ยเลี่ยนเหมือนลูกสาวตนจริงๆ แม้ว่าเหตุน่าจะเพราะซูสุ่ยเลี่ยนเริ่มต้นก็มอบผ้าเช็ดหน้าผ้าฝ้ายให้นางสี่ผืน ตอนนั้นเห็นๆ ว่าถูกตระกูลฮัวฉีกสัญญาไปแล้ว ยังยืนยันว่าเตรียมของขวัญมอบให้ป้าเหลาไว้แล้ว แม่นางที่ใจกว้างรู้ความเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่ชอบกัน ตั้งแต่นั้นมาป้าเหลาก็สนิทสนมกับซูสุ่ยเลี่ยนไม่น้อย

“อืม ข้าขอกลับไปหารือกับอาเย่าก่อน เกรงว่า…เวลาจะกระชั้นชิดเกินไปสักหน่อย” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าแสดงการยอมรับข้อเสนอของป้าเหลา แต่ว่าวันย้ายบ้านกำหนดวันกันแล้ว ของอะไรก็เตรียมพร้อมแล้ว หากว่ามาจัดร่วมงานแต่งอีก จะเตรียมตัวทันไหมนะ

……

“มีอะไรจะพูดกับข้า” หลินซือเย่าเอาฟืนไปเก็บใต้เตาที่ห้องครัว ล้างมือออกมาเห็นซูสุ่ยเลี่ยนมองตน จะพูดแต่ก็เงียบ จึงนั่งลงข้างนาง ดึงมือนางมาบีบนวดไปมาให้เลือดลมเดินสะดวกก่อนจะถามน้ำเสียงอ่อนโยน

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเสริมกำลังใจก้มหน้าลงกล่าวว่า “พวกเรา…พวกเรา…”

“งานแต่งพวกเราหรือ” หลินซือเย่าเห็นสองแก้มนางแดงก่ำก็พอเดาได้จึงถามขึ้นแทน

“เอ๋? เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าได้ยินป้าเหลาพูดหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ

หลินซือเย่าส่ายหน้า อมยิ้ม ช่วยนางปัดผมที่ยุ่งเหยิงข้างแก้มไปทัดไว้หลังใบหู

“เจ้า เจ้าเองคิดอย่างไร” ซูสุ่ยเลี่ยนห่อไหล่

“ย้ายบ้านและแต่งงานวันเดียวกัน” หลินซือเย่าก้มหน้าลงช่วยนางนวดกดจุดต่อ

“เช่นนั้นทำไมก่อนหน้านี้จึง…” ไม่เอ่ยสักคำ ซูสุ่ยเลี่ยนกลืนวาจาหลังกลับลงไป เพราะหลินซือเย่าเงยหน้าขึ้นสบตานางด้วยแววตาร้อนแรง

“สุ่ยเลี่ยน…” เขาถอนหายใจเรียกชื่อนางเบาๆ “เราสองคน…ข้าเป็นเด็กกำพร้า แต่เจ้า…ข้ากลัววันหน้าเจ้าจะ…”

“อาเย่า” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบขัดการคาดเดาของเขาขึ้นทันที “เจ้า…หรือว่าก่อนหน้านี้ข้ายังแสดงท่าทีไม่ชัดเจนหรือ” นางแทบจะคำรามออกมาด้วยความโมโห “หรือว่า เจ้าคิดว่าข้าเป็นภาระเจ้า เช่นนั้นข้า….อู้…”

หลินซือเย่าเขยิบตัวเข้าไปปิดปากซูสุ่ยเลี่ยนที่คิดจะเอ่ยวาจาทำร้ายจิตใจออกมา หญิงโง่เขลาผู้นี้ มักชอบเข้าใจตนเองผิดอยู่เสมอ หรือว่าการกระทำปกติของเขาไม่ชัดเจนพอ?

หลินซือเย่าบรรจงจุมพิตซูสุ่ยเลี่ยนแผ่วเบา อาศัยจังหวะที่นางไม่ทันระวังตัวก็แทรกเข้าไปพันพัวหยอกเย้าจนนางเริ่มหายใจไม่ทันจึงได้ปล่อยนาง หากก็ยังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากผละไปจากริมฝีปากอ่อนนุ่มของนาง

“เจ้าเป็นของข้า สุ่ยเลี่ยน” จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ หลินซือเย่ากระซิบเสียงแผ่วอยู่ข้างหูนาง

ซูสุ่ยเลี่ยนอายจนหน้าแดง นางหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดเขา เขา…เขาถึงกับจูบนางเช่นนี้ นี่มันควรเป็นเรื่องส่วนตัวที่สามีกับภรรยาเท่านั้นที่กระทำได้ไม่ใช่หรือ

“อีกสามวันพวกเราแต่งงานกัน ยังมีอะไรสงสัยไหม” หลินซือเย่าลูบไล้สองแก้มนุ่มของนาง ก่อนจะอมยิ้มย้ำอีกครั้ง