ทันใดนั้นเปปเปอร์ก็มาหาซ่เงินพร้อมกับพูดทักทายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็สรุปสถานการณ์คราว ๆ เกี่ยวกับบริษัทแห่งนี้ให้ซู่เจินฟัง โดยที่เธอยังบอกอีกว่าบริษัทแห่งนี้เป็นคนที่ซ่อมตึกสตาร์คทาวเวอร์ให้กับโทนี่หลังจากจบสงครามใจกลางนิวยอร์ก ดังนั้นเมื่อพูดถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพการทํางานของบริษัทแห่งนี้แล้ว เธอจึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้กับบริ้งค์ฟัง แล้วให้บริ้งค์ไปบอกกับซู่เจินต่ออีกที่หนึ่ง

เมื่อมองไปยังรูปลักษณ์ที่พิถีพิถันของเปปเปอร์ ซู่เจินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้ไหมว่ารูปลักษณ์ของคุณในตอนนี้มันทําให้ผมรู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย และผมก็ขอพูดตามตรงเลยนะว่าผมเริ่มกังวลขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าถ้าเกิดคุณไม่อยู่ที่นี่หลังจากสร้างฐานเสร็จแล้ว ผมจะเป็นอย่างไรหลังจากที่ผมเคยชินกับรูปลักษณ์ของคุณในรูปแบบนี้ไปแล้ว!”

เปปเปอร์ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“เดี๋ยวคุณช่วยติดต่อบริษัทนี้ให้ผมหน่อย ผมอยากลองคุยกับพวกเขาดูก่อน!”

“ฉันรู้ว่าบริษัทของพวกเขาอยู่ที่ไหน ดังนั้นคุณสามารถไปหาพวกเขาได้ในตอนนี้เลย เพราะ ถ้าเกิดว่าให้พวกเขามาที่นี่มันอาจจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ แถมถ้าคุณไปที่นั่นคุณก็สามารถทําความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทของพวกเขาได้ง่ายขึ้นด้วย!”

“เอาล่ะ! งั้นผมขอรบกวนคุณให้ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยความเกรงใจเล็กน้อย

“ให้ฉันไปเรียกบริ้งค์มาให้ไหม?” ในช่วงเวลาที่เปปเปอร์อยู่ที่นี่ เธอได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดว่าเธออยากออกไปนอกเกาะ เธอก็แค่เดินไปหาบริ้งค์ เพราะถึงยังไงที่นี่มันก็ค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากชายฝั่งมาก

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมพาคุณไปที่นั่นเอง แล้วคุณอยากไปแบบไหนล่ะ บิน หรือว่า เรือ ? ”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และหลังจากนั้นไม่นานเปปเปอร์ก็ตัดสินใจเลือกที่จะบินไป เพราะว่า … มันค่อนข้างจะสะดวกในการเดินทาง แถมเธอก็ยังเคยลองบินด้วยชุดเกราะไอรอนแมนมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งมันให้ความรู้สึกที่ดีมาก ๆ

“คุณรู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้?”

เมื่อพวกเขาทั้งสองคนเดินมาถึงท้ายเกาะ ซู่เจินก็เปลี่ยนพลังงานของอนุภาคอีเทอร์ให้กลายเป็นชุดเกราะเหล็กคล้าย ๆ กับไอรอนแมนขึ้นมาครอบคลุมร่างกายของเปปเปอร์เอาไว้ ซึ่งชุดเกราะอันนี้มันเป็นสีเขียวเข้ม

เปปเปอร์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเธอเห็นว่าจู่ ๆ ก็มีชุดเกราะปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของเธอ ทําให้เธอลองควบคุมมันเล็กน้อย และหลังจากนั้นไม่นานไอพ่นที่อยู่ใต้เท้าของเธอมันก็ค่อย ๆ เริ่มทํางานและส่งตัวของเธอบินขึ้นไปด้านบนทันที

“โอ้พระเจ้า! มันสุดยอดมาก แถมมันยังให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าฉันกําลังบินอยู่จริง ๆ ด้วย” เปปเปอร์พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

ซู่เจินยิ้มขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับตัวของเขาที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นและบินตามเปปเปอร์ไปอย่างรวดเร็ว

นิวยอร์ก เมืองแมนแฮตตัน , สี่แยกถนนบรอดเวย์ มีตัวตึกที่มีรูปร่างทันสมัยตั้งอยู่ตรงใจกลางของสี่ยก

ตึกแฟลตไอรอน

หรือก็คือสํานักงานของใหญ่ของบริษัท Damage Control

หลังจากที่ซู่เจินและเปปเปอร์เดินทางมาถึง พวกเขาก็ค่อย ๆ ร่อนลงกับพื้นอย่างช้า ๆ และเดินเข้าไปด้านในด้วยกันทันที ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาที่พวกเขาทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปถึงด้านใน เปปเปอร์ก็เดินเข้าไปพูดคุยกับพนักงานตอบรับอย่างรวดเร็ว ทําให้ซู่เจินได้แต่ยืนรอและมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และหลักจากนั้นไม่นานเปปเปอร์ก็พาซ่เงินเดินไปที่ลิฟต์และขึ้นไปชั้นบนสุด เพื่อพบกับผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทแห่งนี้ ซึ่งเธอมีชื่อว่า แอนน์ แมรี่ หญิงสาววัยกลางคนที่มีน่าตาสละสลวย และความสามารถมากมาย

ในระหว่างที่ซู่เจินอยู่ในลิฟต์เขาก็อธิบายให้กับเปปเปอร์ฟังคราว ๆ ว่าเขาต้องการอะไรประมาณไหน เพราะถึงยังไงเปปเปอร์ก็เป็นนักธรุกิจดังนั้นเขาจึงฝากให้เธอเป็นคนจัดการจะดีกว่า ส่วนเหตุผลที่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาดูว่าบริษัทแห่งนี้มันน่าเชื่อถือจริง ๆ หรือเปล่า!

ในขณะที่เปปเปอร์กําลังนั่งพูดคุยเรื่องธุรกิจกันอยู่ ซู่เจินก็จ้องมองไปที่ แอนน์ แมรี่ เล็กน้อย และเขาก็เห็นว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่ฉลาดและเก่งมาก ๆ เพราะถ้าเธอไม่เก่งจริง ๆ เธอก็คงไม่สามารถดูแลบริษัททั้งหมดได้แบบนี้อย่างแน่นอน

“คุณแอนน์” ในขณะที่พวกเธอกําลังนั่งพูดคุยกับอยู่ จู่ ๆ ซู่เจินก็พูดแทรกขึ้นมาอย่า งกะทันหัน

แอนน์ แมรี่ หันหน้าไปมองทางซู่เจินเล็กน้อย ทันใดนั้นซู่เจินก็ใช้พลังจิตของเขาควบคุมแอนน์ แมรี่ อย่างรวดเร็ว พร้อมกับถามคําถามขึ้นมาสองสามข้อ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เพราะซู่เจินก็แค่อยากรู้ว่าแบบแปลนฐานและวงจรอื่น ๆ ภายในฐานพวกเขาจะถูกนําออกไปขายให้กับคนอื่นได้หรือไม่ ? แล้วแบบแปลนฐานของเขาจะถูกเก็บเอาไว้ในบริษัทของเธอใช่ไหม ? และจะทําอย่างไรถ้าเกิดว่ามันรั่วไหลออกไป ?

ซึ่งซู่เจินก็รู้สึกพอใจมากสําหรับคําตอบที่เธอพูดออกมา และเห็นได้ชัดว่าทําไมบริษัทแห่งนี้มันถึงได้อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะว่าพวกเขาจะทําลายแบบแปลนทั้งหมดทิ้งทันทีที่พวกเขาทํางานเสร็จ พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบคนงานทุกคนอย่างละเอียด เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหว และความปลอดภัยของลูกค้า

แม้ว่าซู่เจินจะไม่สามารถจับผิดพวกเขาได้ แต่มันก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วที่เขาจะทําให้ฐานของเขามันสร้างในเร็วกว่านี้ เว้นแต่ว่าเขาจะสามารถกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ได้จนหมดและใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์สร้างฐานของเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง

หลังจากที่ซู่เจินเก็บพลังจิตของเขากลับมา เขาก็ปรับเปลี่ยนความทรงจําของเธอเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เธอรู้ว่าเมื่อกี้เขาควบคุมจิตใจของเธออยู่ ซึ่งหลังจากที่พวกเขาตกลงอะไรกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็เซ็นลงนามในสัญญาเพื่อให้แน่ใจว่าฐานของเขาจะเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนพร้อมกับส่งคนไปเริ่มงานทันที

หลังจากนั้นซู่เจินและเปปเปอร์ก็พากันเดินออกมาจากตึกแฟลตไอรอน

เอ่อ …. ชื่อตึกของบริษัทนี้มันแปลกจริง ๆ

ซู่เจินบ่นพึมพําขึ้นมาเล็กน้อย และค่อย ๆ หันไปมองที่เปปเปอร์และพูดขึ้นมาว่า ”คุณมีอะไรที่อยากได้ไหม?”

เปปเปอร์ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันอยากได้เสื้อผ้าใหม่สักสองสามชุด เพราะว่าเมื่อกี้ตอนที่ฉันออกมาฉันรีบเกินไปจนลืมหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน

“โอเค!”

ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม และพาเปปเปอร์ไปเดินซื้อของด้วยกันทันที

อย่ามองว่าที่เปปเปอร์ชอบแต่งตัวอย่างเป็นทางการบ่อย ๆ เพราะเธอชอบมัน แต่มันเป็นเพราะเธอจะต้องออกไปทําการเจรจาธุรกิจอยู่บ่อย ๆ ทําให้เธอมักจะแต่งตัวแบบนี้เสมอ ส่วนเวลาตามปกติเธอก็จะแต่งตัวเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ทําให้ในมือของซูเงินในตอนนี้มันเต็มไปด้วยถุงเสื้อผ้ามากมาย

เพราะเวลาที่ผู้ชายไปซื้อของกับผู้หญิงจะปล่อยให้ผู้หญิงถือของด้วยตัวเองได้ยังไงจริงไหม ? แถมข้าวของที่ซื้อมาทั้งหมดซู่เจินก็เป็นคนจ่ายเองทั้งหมด เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนให้กับเปปเปอร์ที่ช่วยเขาทํางานมากมายในช่วงที่ผ่านมานี้

แม้ว่าซู่เจินจะไม่ได้ร่ํารวยเท่ากับโทนี่สตาร์ค แต่มันก็แค่ในตอนนี้เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นถ้าเกิดว่าเขาต้องการเงินจริง ๆ เขาก็สามารถหามาได้อย่างง่ายดาย เพราะว่ามันยัง… มีดันเจี้ยนอีกมากมายที่รอให้เขาเข้าไปสํารวจ

“มีร้านกาแฟอยู่ตรงนั้น พวกเราไปนั่งพักกันหน่อยไหม? ” ซู่เจินชี้ไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับหันไปพูดกับเปปเปอร์

เมื่อเปปเปอร์ได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบหันไปขอโทษกับซู่เจินอย่างรวดเร็วว่า “ฉันไม่ได้ออกมาเดินซื้อของแบบนี้นานมากแล้ว จนทําให้ฉันลืมตัวไปเลย มันคงทําให้คุณรู้สึกเบื่อมากใช่ไหม?”

“ไม่ ๆ ผมก็แค่กังวลว่าคุณจะเหนื่อย เพราะว่าตอนนี้คุณก็กําลังใส่รองเท้าส้นสูงอยู่แถมขาของคุณก็เล็กมาก” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็พากันเดินไปที่ร้านกาแฟ

หลังจากที่พนังงานเสิร์ฟเอากาแฟมาเสิรฟ์ให้กับซู่เจินและเปปเปอร์เรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้นมาจากด้านนอก ทําให้เปปเปอร์ถึงกับผงะเล็กน้อย ส่วนซู่เจินก็เหลือบมองไปที่ฝูงชนที่แตกตื่นอยู่ด้านนอกเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็มีชายคนหนึ่งที่กําลังใช้อุ้งเท้าเหล็ก ยึดตัวเข้ากับกําแพงส่วนตัวของเขาลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งอุ้งเท้าเหล็กอันนั้นมันก็ดูเหมือนกับหนวดปลาหมึกเล็กน้อย หลังจากนั้นชายคนนั้นก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับดีดตัวออกจากกําแพงอย่างรวดเร็ว

“ดร.อ๊อกโตปุส!” ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะพึมพําขึ้นมาเบา ๆ ในขณะที่เขามองไปที่ชายคนนั้น เพราะว่าชายคนนั้นคือคู่ปรับตัวฉกาจของสไปเดอร์แมน

ซึ่งซู่เจินก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าพวกเขาจะมาต่อสู้กันตรงนี้และซู่เจินก็ยังสังเกตเห็นอีกว่า นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีชายผิวสีอีกคนหนึ่งที่กําลังนอนเหยียดแขนขาอยู่บนกําแพงเหนือหัวของสไปเดอร์แมนขึ้นไป

“นั่นมันไม่ใช่ “เวนอม” งั้นหรอ?”

ซู่เจินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา