“อา ต้าฟู่ เราดื่มมากไปแล้วไหม พระจันทร์ดูแล้วกลมใช่ไหม”

“เอิ้ก…” เถียนต้าฟู่สะอึก ได้ยินเหลาโหย่วคุนพูดมาก็เงยหน้ามองวงจันทร์บนท้องฟ้าทางตะวันออก

“พี่คุน พระจันทร์ทำไมมีสามดวง” เถียนต้าฟู่อึ้งมอง จากนั้นก็อ้อแอ้เกาหัวตอบกลับ

“พวกเจ้าสองคนไหวไหมเนี่ย อา? ใครให้พวกเจ้าดื่มมาขนาดนั้นกัน เดินมาตั้งนานยังมามัวโอ้เอ้อยู่นี่”

หลังงานเลี้ยงจบลงก็ช่วยเก็บงาน ยามนี้ป้าเหลาและป้าเถียนเห็นสามีตนเองนั่งยองอยู่บนก้อนหินใต้ต้นไม้ชมจันทร์ ก็ขำจนอดกล่าวออกมาไม่ได้ว่า

“อายไหมเนี่ย ดูอาเย่าเขาไม่เห็นเมาสักนิด พวกเจ้าสองคนดีเลย ปากก็เอาแต่พล่ามว่าจะมอมสุราเขาให้เมา ไม่เมาไม่เลิก ตัวเองเมาเอง” นางเหลาเห็นสามีตนเองเดินล้มลุกคลุกคลาน ก็อดเอ่ยแขวะไม่ได้ นางเถียนอายุน้อยกว่านางเหลาหลายปี ย่อมไม่กล้ากล่าวเช่นนี้ ได้แต่เดินไปกับเถียนต้าฟู่พลางแอบหัวเราะไม่หยุด

“นังเฒ่านี่นะ…เอิ้ก…น่าเบื่อ ข้าดื่มไปนิดเดียว…เจ้า…เอิ้ก…พล่ามอยู่ได้” เหลาโหย่วคุนพอเมากรึ่มขึ้นมา ก็ไม่สนใจว่าจะมีเรื่องกับภรรยาหรือไม่ ยื่นหน้ายื่นตาส่งเสียงดังตวาดนางเหลา ทำเอานังเหลาทั้งโมโหทั้งขบขัน คิดอยู่ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นสามีนางอารมณ์ฮึดเช่นนี้ ฮา…

……

ซูสุ่ยเลี่ยนบิดผ้าขนหนูร้อนมาวางบนหน้าผากหลินซือเย่า “ไม่รู้สึกไม่สบายจริงหรือ” เห็นเขาถูกแต่ละคนมอมสุราอุ่นเอาแก้วแล้วแก้วเล่า ไม่รู้ดื่มไปเท่าไร นางมองจนในใจรู้สึกปวดแปลบสงสารเขา

“ไม่เป็นไร” หลินซือเย่าส่ายหน้า หากดื่มไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาย่อมใช้พลังภายในขับออกจากร่างกาย เพียงแต่ชาวบ้านเมืองฝานฮัวนี่ดื่มเก่งจริง สุราเกาเหลียงที่เตรียมไว้ดื่มหมด ยังยอมควักเงินตัวเอง ไม่ก็ไปเอาสุราอุ่นที่แต่ละครอบครัวเก็บไว้ดื่มหน้าหนาวกันออกมา

อมยิ้มมองสตรีตัวน้อยคอยดูแลตนเองวุ่นวาย ฉวยโอกาสที่มือน้อยวางผ้าขนหนูลงบนหน้าผากตนอยู่ หลินซือเย่าดึงมือนางรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอดตน

“อา!” ซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ๆ ถูกเขารั้งเข้าหาเช่นนี้ก็ตกใจ รีบตะกายตัวขึ้นคว้าคอเสื้อเขาไว้ เสื้อตัวนอกเขาถูกนางดึงคลายออกเช่นนี้เอง ดึงคอเสื้อเขาไปมาเช่นนี้อยู่สักพัก ซูสุ่ยเลี่ยนจะปล่อยก็ไม่ได้ จะคว้าต่อก็ไม่ได้ อยู่ๆ ก็หน้าแดงเห่อ กัดริมฝีปากแน่นไม่รู้ควรทำเช่นไรดี

“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าถอนหายใจ ค่อยๆ ลูบไล้ใบหน้านาง ให้นางหันหน้ามาทางตนเอง

ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้าแดงก่ำขึ้นมอง ข้อศอกยันหน้าอกเขาไว้พลางมองหน้าเขา

“อย่ากลัว” หลินซือเย่ายกมือลูบสองแก้มแดงเขินอายของนางเบาๆ ค่อยๆ วาดไปตามวงคิ้ว ผ่านจมูกและริมฝีปากอย่างแผ่วเบา จนปลายนิ้วชี้แตะนิ่งที่ริมฝีปากนุ่มละมุนของนาง จึงได้ใช้ริมฝีปากเขาเข้าแทนที่นิ้วชี้นั่น บรรจงแตะแผ่วเบา…

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนเรียกชื่อเขาอย่างไม่รู้จะหาที่พึ่งที่ไหน น้ำเสียงสั่นสะอึกในลำคอ

“สุ่ยเลี่ยน…อย่ากลัว…ห้ามกลัวข้า” หลินซือเย่าหลั่งลมหายรินรดคิ้วโก่งราวใบหลิว ขนตายาวราวใบพัด จมูกโด่งงาม ก่อนจะไปหยุดที่ริมฝีปากแดงงดงามของนาง ค่อยๆ บอกความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางอย่างไร้สำเนียง ในความสั่นไหวเหมือนมีความไม่แน่ใจ ผู้ใดล้วนกลัวเขาเกรงเขา มีแต่นางคนเดียว ที่เขาไม่อนุญาต ลมหายใจหอบผ่าวพร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบาชิดริมใบหูนางรอบแล้วรอบเล่า

ซูสุ่ยเลี่ยนเข้าใจที่หลินซือเย่าตั้งใจทำเช่นนี้ แต่ว่า…อา…ชายผู้นี้ ยามนี้ยังมัวกังวลว่านางจะหวาดกลัวเขา เพราะเขาเคยเป็นนักฆ่าหรือ หากกลัวจริง จะตัดสินใจร่วมตั้งรกรากที่เมืองฝานฮัวกับเขาหรือ จะยอมแต่งงานกับเขาหรือ

ซูสุ่ยเลี่ยนตัวสั่นเทา ปล่อยให้หลินซือเย่าโอบกอดนางไว้ บรรจงวางนางลงบนเตียงใหญ่ที่โรยเม็ดลำไยแห้ง พุทธาแดง และพวกถั่วลิสงเอาไว้ทำเอานางรู้สึกแปลบตามแผ่นหลัง ค่อยๆ ปัดผลไม้แห้งพวกนี้ออกไปริมขอบเตียงด้วยอาการเขินอาย ช่วยขยับที่ว่างให้หลินซือเย่านอนได้อีกคน ทำเอาหลินซือเย่าหัวเราะขำนางไม่หยุด

ซูสุ่ยเลี่ยนไม่ทันได้ถามว่าเขาหัวเราะอะไร ก็เห็นเขาถอยออกไปถอดเสื้อชุดตัวนอกออก คลุมร่างน้อยของนางเอาไว้

“เด็กโง่ ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการนอนข้างกายเจ้า” หลินซือเย่าดีดจมูกนางเบาๆ ยิ้มกว้างอย่างรักใคร่เอ็นดูกล่าวขึ้น

ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งไปไม่นานก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “อา อาเย่า เจ้าหัวเราะแล้วงามจริง”

หลินซือเย่าได้ยิน คิ้วดาบของเขาก็กระตุก งาม? ใช้คำพวกนี้บรรยายภาพภายนอกผู้ชายได้ด้วยหรือ แต่นางว่าอย่างไรก็อย่างนั้น จากนั้นก็ไม่สนใจนางอีก เริ่มก้มหน้าลงสัมผัสรสชาติหอมหวานของสตรีตรงหน้า

นาง…ในที่ที่สุดก็เป็นของเขาแล้ว ยามริมฝีปากทั้งสองประสานกัน หลินซือเย่าอุทานอย่างพึงใจ

……

ไกลออกไปเหมือนได้ยินเสียงไก่ขันแรกของยามเช้า น่าจะเป็นปลายยามอิ๋นแล้วกระมัง ซูสุ่ยเลี่ยนดิ้นรนลุกขึ้น นวดเอวที่ปวดเมื่อยเบาๆ ยังรู้สึกถึงความปวดปลาบของร่างกาย

พยายามฝืนทนเหลือบมองไปยังหลินซือเย่าที่นอนหลับหายใจยาวเป็นปกติอยู่ด้านนอก นางขยับตัวข้ามผ่านเขาออกไป อาศัยแสงเทียนวับแวมดึงกะละมังไม้ออกจากใต้เตียง ค่อยๆ หลบไปปลดทุกข์หลังม่านในห้องแต่งตัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกง่วงนอนแล้ว หยิบเสื้อตัวนอกที่ไม่รู้มาวางอยู่บนชั้นวางเสื้อตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนคลุมกาย ค่อยๆ ขยับตัวไปที่ริมหน้าต่างเบาๆ แหวกม่านมุมหนึ่งมองลอดออกไปด้านนอก ท้องฟ้ามืดครึ้มเริ่มมีแสงรำไร พระจันทร์เสี้ยวยังคงลอยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ มีเสียงไก่ขัน สุนัขเห่าดังมาเป็นบางครั้ง ยามเช้าในเมืองฝานฮัวคล้ายกำลังเปิดม่านออกแล้ว

หันกลับไปมองดูเทียนมงคลมังกรหงส์คู่ที่ยังเผาไหม้อยู่ เหลือแค่เปลวไฟสุดท้ายแล้ว นางยิ้มมุมปากเดินมาที่โต๊ะกลม หยิบไม้บนโต๊ะขึ้นเขี่ยไส้เทียน จากนั้นก็มีเสียงดังเบาๆ ก่อนแสงเทียนจะวาบสว่างขึ้นอีก

มองดูเปลวไฟที่สว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ซูสุ่ยเลี่ยนก็เหม่อลอย ตอนนี้นางเป็นสตรีออกเรือนแล้ว โบราณว่า เจ้าสาวออกเรือนต้องตื่นเช้าหุงหาอาหารดูแลพ่อแม่สามี คอยตักน้ำอาบให้สามี…เช่นนั้น ตนเองควรไปที่ห้องครัวเตรียมอาหารเช้าสินะ ซูสุ่ยเลี่ยนคิดจะต้มน้ำร้อนมาให้หลินซือเย่าล้างหน้าเช็ดตัว คิดแล้วก็แอบหน้าแดงขึ้นมาทันที โอ สวรรค์…นางคิดถึงการกระทำของเขาเมื่อคืน ใบหน้านางก็ร้อนเห่อขึ้นราวกับถูกไฟแผดเผา

“คิดเหม่อลอยอะไร” เสียงทุ้มนุ่มของหลินซือเย่าดังขึ้นข้างใบหูนาง จากนั้นสองแขนก็โอบกอดนางไว้ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น

“อา อาเย่า!” ซูสุ่ยเลี่ยนสะดุ้งตกใจ พอเห็นเขาก็วางใจปล่อยให้เขากอดตนไว้เช่นนั้น

“เช้าอย่างนี้ตื่นมาทำอะไร เมื่อคืน…ไม่เหนื่อยหรือ” หลินซือเย่าขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่พอใจ โอบนางเดินกลับไปที่เตียง

“ข้า…ข้าใช่ว่า…ต้องไปต้มน้ำหุงข้าว?” ซูสุ่ยเลี่ยนเสียงแผ่วเขินอาย

อย่าว่าแต่นางในฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลซูที่ไม่ต้องทำงานบ้านจิปาถะเลย แม้แต่ออกเรือนไป ด้วยสถานะนางก็ต้องเป็นคุณนายน้อยตระกูลร่ำรวย ยิ่งไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้ นาง…ซูสุ่ยเลี่ยน เกิดมาก็ได้รับการอบรมสั่งสอนอยู่แต่สองคำ ‘ซูซิ่ว’

เพียงแต่ตอนนี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว นางออกจากตระกูลซูมาแล้ว แต่งงานกับอาเย่าแล้ว ไม่ใช่คุณหนู หรือคุณนายตระกูลร่ำรวย ที่บ้านมีกันแค่สองคน โบราณว่าผู้ชายให้ห่างไกลครัว เช่นนั้นงานครัวก็คงต้องเป็นนางอย่างไม่ต้องสงสัย

“อา…ยังเช้าอยู่” หลินซือเย่ากอดนางกลับขึ้นเตียง ให้นางนอนต่อ เมื่อคืนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชีวิตที่เขามีความรู้สึกพึงใจ ทำให้เขาไม่อยากตื่นเลยจริงๆ

“แต่ว่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนที่ไม่รู้สึกง่วงคิดจะพูดต่อ แต่ถูกหลินซือเย่าพลิกตัวทับนางไว้ ก้มหน้าบรรจงปิดริมฝีปากนาง ในเมื่อไม่นอนก็มาทำเรื่องที่เขาคิดอยากจะทำอีกสักรอบ

“อืม…อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนถูกเขาปิดปากจนหายใจไม่ออก กว่าจะสลัดหลุดมาได้ก็นาน หอบหายใจไม่หยุด สองมือหลินซือเย่าว่องไวจนนางไม่อาจปฏิเสธได้อีก

“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่ามองร่างบางที่นอนอยู่ข้างกายตนแล้วก็ยากระงับใจ

ไม่เคยคิดเลยว่า ตนเองจะได้แต่งภรรยามีชีวิตเหมือนผู้ชายธรรมดา ยิ่งไม่คิดว่าตนเองจะได้จูงมือกับสตรีดูมีชาติตระกูลบอบบางเช่นนี้ไปจนแก่เฒ่า เดิมเขาถูกกำหนดแล้วว่าชีวิตต้องโดดเดี่ยวเป็นนักฆ่าไปจนตาย บางทีเขาควรขอบคุณประมุขไร้สามารถอย่างเฟิงชิงหยาที่สั่งให้กลุ่มนักฆ่าแห่งหอเฟิงเหยาไล่ล่าสังหารเขา เพราะเขาแท้ๆ ตนเองจึงได้ของล้ำค่างดงามข้างกายตนในวันนี้มาครอง