ตอนที่ 47 น้าเขยของผมยังคงมีอิทธิพลอยู่บ้าง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 47 น้าเขยของผมยังคงมีอิทธิพลอยู่บ้าง

ตอนที่ 47 น้าเขยของผมยังคงมีอิทธิพลอยู่บ้าง

ทันทีที่เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยออกไป โจวลี่หรงก็เดินออกจากห้องตะวันออก

หวังอวี้เสียกำลังหวีผมดัดของตน เมื่อเห็นโจวลี่หรงออกมา หล่อนจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

“พี่คะ ดูลูกสะใภ้ของพี่สิว่าเก่งขนาดไหน หล่อนไปทำงานแต่เช้าและทำงานหนักกว่าเราทุกคนอีก ทำไมพี่ถึงไม่ชอบหล่อนล่ะ? อย่าอคติกับหล่อนแค่เพราะมาจากชนบทเลยน่า หล่อนเติบโตอยู่ในเมืองและได้รับการศึกษาดี ไม่เหมือนกับสาวชนบทเลยสักนิด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะหาภรรยาหน้าตาดีแบบนี้ในบ้านเกิดของเรา พี่อย่าทำตัวไร้เหตุผลไปหน่อยเลย”

โจวลี่หรงเหลือบมองไปทางประตูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “สวยแล้วกินได้หรือเปล่าล่ะ?”

“อย่างน้อยก็ดูเจริญตา และลูกหลานที่เกิดมาจะหน้าตาดีทุกคน นอกจากนี้เซี่ยเซี่ยไม่ใช่พวกที่สวยไปวัน ๆ หล่อนมีฝีมือไม่ธรรมดา พี่อย่าได้ดูถูกช่างทำผมไปเชียว ผู้หญิงสมัยนี้รักสวยรักงาม ฝีมือแบบหล่อนอยู่ในเมืองได้สบาย”

โจวลี่หรงไม่สามารถอดทนฟังคำพูดของหวังอวี้เสียได้อีกต่อไป

ต่อให้หาเงินได้ แต่มันไม่ใช่งานที่มีเกียรติ

“ลี่หรง ฟังคำแนะนำของฉันนะ อย่าต่อต้านเด็กคนนี้เลย คุณกำลังทำตัวน่ารำคาญ”

เมื่อหวังอวี้เสียเรียกชื่อของหล่อน โจวลี่หรงก็ตอบกลับเสียงเรียบ “ฉันเป็นพี่สาวของเจี้ยนกั๋ว อย่ามาเรียกฉันด้วยชื่อ”

สิ้นเสียง หล่อนก็ผลักอีกฝ่ายออกและไปยืนอยู่หน้าอ่างเพื่อล้างหน้า

หวังอวี้เสียกลอกตา ขณะยืนด้านข้างด้วยคิ้วขมวดมุ่น

เฉินเจียเหอพาหลินเซี่ยไปยังร้านตัดผม จากนั้นซื้อแป้งทอดและนมถั่วเหลืองมาให้เธอ นอกจากนี้เขายังซื้อมาเผื่อสำหรับเถ้าแก่เนี้ยและเด็กฝึกงานที่กำลังสระผมให้ลูกค้าด้วย

เขามองดูหลินเซี่ยกินเสร็จ แล้วจึงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่มีความตั้งใจที่จะออกไป

หลินเซี่ยหันกลับมาและเห็นว่าเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น จึงถามว่า “ทำไมคุณยังไม่กลับไปล่ะ?”

“กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ” เฉินเจียเหอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่นั่งอยู่เฉย ๆ เขาจึงช่วยนำหม้ออะลูมิเนียมใบใหญ่ไปตั้งบนเตาเหล็กเพื่อต้มน้ำ

เถ้าแก่เนี้ยเผยยิ้มอย่างมีความสุข “ขอบใจนะเสี่ยวเฉิน เธอแข็งแรงจริง ๆ”

เฉินเจียเหอช่วยทำงานที่ต้องใช้แรงกาย หลินเซี่ยพูดขึ้นว่า “คุณควรรีบกลับไปช่วยงานที่บ้านนะคะ”

ร่างสูงของเฉินเจียเหอเหยียดตรงและพูดกับเธอว่า “วันนี้คุณเลิกงานเร็วได้ไหม ผมจะพาคุณไปดูหนัง”

“ดูหนังเหรอคะ?” หลินเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “เราจะดูหนังอะไรตอนกลางวันแสก ๆ ได้บ้าง ฉันยังคงทำงานหาเงินเพิ่มได้”

เธอไม่สนใจที่จะดูหนังในเวลานี้ และมุ่งความสนใจที่การเพิ่มเงินในกระเป๋า

เฉินเจียเหอครุ่นคิด “ถ้าเราไปดูตอนกลางคืน เราอาจจะกลับบ้านลำบาก”

“เราค่อยดูคราวหลังก็ได้”

หลินเซี่ยผลักเขาออกไปและพูดว่า “คุณอย่าอยู่ที่นี่เลย ทำไมไม่ออกไปตลาดเพื่อซื้อของสำหรับวันปีใหม่ล่ะ เรายังไม่ได้ซื้อประทัดให้หู่จือเลยนะ”

“ก็ได้ ผมจะไปบ้านของน้าชายก่อน แล้วถามว่าวันนี้เขาจะกลับบ้านด้วยไหม”

ในที่สุดเฉินเจียเหอก็ถูกเธอขับไล่ออกไป

เถ้าแก่เนี้ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูสิว่าคนรักของเธอเป็นห่วงเธอขนาดไหน เขากลัวว่าจะมีผู้ชายเข้ามาพูดคุยกับเธอน่ะสิ ถึงได้อยู่ที่นี่เพื่อจับตาดู”

หลินเซี่ยสวมปลอกแขนและทำความสะอาดกระจก ตอบไปว่า “คุณพี่ ฉันต่างหากที่กลัวว่าจะมีเด็กสาวมาคุยกับเขา ถ้าเขายังนั่งอยู่ที่นี่ ฉันคงห่วงมากจนฝีมือตก”

รับฟังคำพูดของหลินเซี่ย เถ้าแก่เนี้ยก็ถอนหายใจ “หนุ่มสาวนี่ดีจริง ๆ”

เมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยงก็ไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามาในร้าน เถ้าแก่เนี้ยกำลังตัดผมให้ลูกค้าอีกคน หลินเซี่ยจึงถือโอกาสพักกลางวัน เธอดื่มน้ำและเดินออกไปนอกร้านเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์

และอยากดูด้วยว่าหลินเยี่ยนกำลังทำอะไรอยู่?

วันมะรืนนี้จะเป็นวันที่ยี่สิบเก้า หลินเยี่ยนยังต้องทำงานอีกสามวัน ขณะที่ร้านตัดผมของเธอจะเปิดวันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนหยุดยาว

เธอต้องการพูดคุยกับหลินเยี่ยน เพื่อดูว่าเถ้าแก่สามารถปล่อยให้หลินเยี่ยนหยุดงานก่อนกำหนดได้หรือไม่

ทันทีที่ผ่านประตูร้านอาหาร เธอพลันได้ยินเสียงสาปแช่งอยู่ด้านใน

หลินเซี่ยเปิดม่านประตูร้านอาหาร เห็นหลินเยี่ยนนั่งอยู่บนพื้นพลางร้องไห้ ขณะที่ชายร่างท้วมในผ้ากันเปื้อนชี้หน้าเธอพลางด่าทอคำหยาบคาย

ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยง จึงไม่มีลูกค้าอยู่ในร้าน

“สรุปทำงานเป็นหรือเปล่า ถ้าทำไม่เป็นก็เก็บข้าวของออกไปซะ แกทำให้เรื่องมันแย่ไปหมด”

หลินเซี่ยรีบเข้าไปดึงหลินเยี่ยนให้ลุกขึ้นและถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวเยี่ยน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

หลินเยี่ยนไม่ได้ตอบกลับและเอาแต่ร้องไห้ จนทำให้ดวงตาของหล่อนบวมเป่ง

หลินเซี่ยเช็ดน้ำตาให้พลางปลอบโยน “หยุดร้องไห้นะ แล้วบอกพี่มาว่าเกิดอะไรขึ้น?”

หลินเยี่ยนละล่ำละลัก “มีลูกค้าขี้เมากินข้าวที่ร้าน ตอนที่ฉันกำลังเก็บชาม เขาคว้ามือของฉัน ฉันจึงสลัดมือเขาออกและถอยกลับ แต่ลูกค้าคนนั้นก็เริ่มสร้างปัญหา เขาอ้างว่าในขณะที่ฉันกำลังเก็บชาม ฉันสาดน้ำซุปที่เหลือในชามใส่เขา แล้วเขาก็ออกไปจากร้านโดยไม่ได้จ่ายเงิน เถ้าแก่เรียกฉันมาตำหนิ และให้ฉันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายโดยหักเงินจากค่าจ้าง”

ยิ่งหลินเยี่ยนพูดมากเท่าใด หล่อนยิ่งร้องไห้หนักขณะกล่าวคำเสียงสะอื้น และไม่กล้าเงยหน้ามองเถ้าแก่

หลินเซี่ยมองเถ้าแก่ร่างท้วมและพูดว่า “เถ้าแก่ คุณทำเกินไปหน่อยหรือเปล่าคะ?”

เถ้าแก่ร่างท้วมตอบกลับด้วยท่าทางดุร้าย “หล่อนเป็นคนทำให้ลูกค้าขุ่นเคือง ลูกค้าก็เลยกินฟรี แล้วใครจะจ่ายถ้าหล่อนไม่จ่าย? เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ”

หลินเซี่ยรู้สึกรังเกียจกับคำพูดหลอกลวงของเขา

ความเดือดดาลในใจปะทุขึ้น เธอออกมาปกป้องหลินเยี่ยนไว้ด้านหลังและโต้เถียงเขาว่า “น้องสาวของฉันอธิบายอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นลูกค้าขี้เมาที่จงใจลวนลามหล่อน หล่อนจึงป้องกันตัวเอง แต่เขาหาข้อแก้ตัวเพื่อที่จะกินฟรี คุณไม่เข้าใจเลยหรือไง? ในฐานะเถ้าแก่ร้าน คุณไม่เพียงไม่ปกป้องลูกน้อง แต่ยังเอาผิดลูกค้าไม่ได้แล้วมาระบายความโกรธใส่ลูกน้องแทน นี่คุณยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า? ทำตัวแบบนี้จะเป็นเจ้าคนนายคนได้เหรอ?”

เถ้าแก่ร่างท้วมถูกหลินเซี่ยโต้กลับ เขาหน้าแดงด้วยความโกรธและคำรามใส่ “แล้วแกเป็นใคร? ใหญ่โตมาจากไหนถึงมาด่าคนอื่นแบบนี้”

“ฉันเป็นพี่สาวของหล่อน และฉันจะปกป้องหล่อนให้ได้”

รูปร่างผอมเพรียวของหลินเซี่ยดูเล็กกระจ้อยร่อยเป็นพิเศษเมื่ออยู่ต่อหน้าเถ้าแก่ร่างท้วม แต่ความน่าเกรงขามของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย “คุณในฐานะเถ้าแก่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นคนขี้ขลาด เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังลูกน้องเท่านั้น”

เถ้าแก่ร่างท้วมตกตะลึงกับคำด่าทอของหญิงสาว

เด็กสาวคนนี้เป็นใครมาจากไหน ถึงได้อุกอาจขนาดนี้?

หลินเซี่ยพูดด้วยสีหน้าขึงขัง “เอาค่าจ้างของน้องสาวฉันมา แล้วเราจะออกไปจากที่นี่”

เถ้าแก่ร่างท้วมเป็นคนแข็งกร้าวและไร้ศีลธรรม เขาไม่คิดจริงจังกับเด็กสาวทั้งสองตรงหน้าและโต้กลับไปว่า “ค่าจ้างอะไร? เราจะจ่ายค่าจ้างวันที่ยี่สิบเก้าเท่านั้น ถ้าออกก่อนวันที่ยี่สิบเก้า หล่อนก็จะไม่ได้รับแม้แต่เหมาเดียว”

หลินเซี่ยแสยะยิ้ม “ได้ จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม?”

“งั้นเราจะไปร้องเรียนที่กระทรวงแรงงานทีหลัง ให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานมาตรวจสอบดูว่า คุณเป็นเถ้าแก่ใจอำมหิตที่ไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างพนักงาน วันนั้น ฉันเข้าไปด้านในครัวและเห็นว่ามันสกปรกโสโครกขนาดไหน ฉันได้มากินบะหมี่ที่ร้านและปวดท้องหลังจากกลับไป ฉันคิดว่ามันคงจำเป็นต้องไปรายงานเรื่องนี้กับกระทรวงสาธารณสุขด้วยเช่นกัน”

หลินเซี่ยพูดอย่างใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของเถ้าแก่ร่างท้วมเริ่มเปลี่ยนไป “อย่ามาข่มขู่กันหน่อยเลย คิดว่าฉันจะกลัวหรือยังไง?”

“งั้นลองดูก็ได้ค่ะ ฉันจะโทรหาผู้นำจากกระทรวงเหล่านี้ แล้วเราจะได้รู้กันว่าราคาค่าปรับหรือค่าจ้างน้องสาวของฉันที่มากกว่ากัน? ไม่สิ คุณต้องจ่ายทั้งค่าปรับและค่าจ้างของหล่อนโดยไม่มีทางเลือก”

หลินเยี่ยนรู้สึกหวาดกลัว

หล่อนดึงหลินเซี่ยออกไป โดยไม่อยากทำให้เรื่องแย่ลง

หลินเซี่ยจับมืออีกฝ่ายและปลอบเธอ “อย่ากลัวเลยนะ เธอไปที่ร้านตัดผมขณะรอพี่ไปร้องเรียนยังกระทรวงแรงงาน น้าชายและน้าสะใภ้ของเฉินเจียเหอทำงานอยู่ในเมือง เรามีคนรู้จักที่นั่นอยู่แล้ว”

เมื่อเถ้าแก่ร่างท้วมได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะมันเป็นเวลาเดียวกับที่เฉินเจียเหอกลับมาพอดี

เขาออกไปซื้อของบางอย่าง เมื่อกลับมาที่ร้านตัดผม เขาได้ยินจากเถ้าแก่เนี้ยว่าหลินเซี่ยไปหาน้องสาว เขาจึงได้ตามมาที่ร้าน

ทันทีที่เข้ามา เขาเห็นหลินเซี่ยกำลังเผชิญหน้ากับเถ้าแก่ร่างท้วม และบรรยากาศก็ตึงเครียดมาก

เฉินเจียเหอรีบเข้าไปปกป้องหลินเซี่ยโดยไม่ต้องคิด “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“เถ้าแก่ร้านรังแกพนักงาน และยังปฏิเสธที่จะจ่ายค่าจ้างหลินเซี่ย ฉันจะไปกระทรวงแรงงานเพื่อร้องเรียนและขอเลือกอนุญาโตตุลาการ(1) อีกอย่างสุขอนามัยในร้านก็ไม่ได้มาตรฐาน ฉันจะไปถามหาผู้ดูแลตลาดเพื่อมาตรวจสอบ”

หลินเซี่ยมองเฉินเจียเหอและพูดอย่างจริงจังว่า “ยังไงก็ตาม ไม่ใช่ว่าน้าเขยของคุณทำงานอยู่ในกระทรวงแรงงานเหรอคะ? เราไปหาเขากันเถอะค่ะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครมาจัดการเรื่องนี้”

เฉินเจียเหอเข้าใจได้ทันที จึงพยักหน้ารับ “น้าเขยของผมยังคงมีอิทธิพลในเรื่องนั้นอยู่บ้าง”

……………………………………………………………………………………………………………….

กระบวนการอนุญาโตตุลาการ คือ การระงับข้อพิพาทโดยไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน แต่คู่กรณีจะเป็นผู้เลือกผู้ตัดสิน (อนุญาโตตุลาการ) มาชี้ขาดข้อพิพาท และคู่กรณีตกลงที่จะปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้น

สารจากผู้แปล

หลินเซี่ยเป็นนักสู้ที่แท้จริง ฝีปากคมเหมือนกรรไกรตัดผมเลย

เอาสิ เค้าแบคใหญ่ขนาดนี้จะว่ายังไง ถ้าเค้าฟ้องจริงก็เตรียมปิดร้านได้เลย

ไหหม่า(海馬)