ตอนที่ 47 หมอหญิงตัวเล็ก ๆ

เมื่อพวกชาวบ้านได้ยินก็รู้สึกว่านี่ต้องไม่ธรรมดาแล้ว เถ้าแก่ของโรงยาฮุ่ยหมินถึงกับตั้งใจมาที่หมู่บ้านพวกเขาเพื่อมาขอร้องจี้จือฮวน!

เฉินไคชุนเองก็ประหลาดใจเช่นกัน อยากจะถามว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ จี้จือฮวนก็เปิดรั้วออกมาและเอ่ยกับหวังหงอี้เสียก่อน “มีเรื่องอะไรหรือ?”

ในเมื่อเป็นคนของโรงยาฮุ่ยหมิน เช่นนั้นก็คงเป็นจางหยวนเฉียวที่ต้องการพบนาง

และก็เป็นดังที่คาดเอาไว้ หวังหงอี้ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเรารับคนไข้มาคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถรักษาได้ ตอนนี้กำลังช่วยชีวิตอยู่ ท่านหมอจางหมดปัญญาจะรักษา และสั่งข้าว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญท่านไปให้ได้”

จี้จือฮวนหลับตาลงเล็กน้อย “ได้ ข้าจะไปกับท่าน”

เผยจี้ฉือดึงแขนเสื้อของจี้จือฮวนเอาไว้ “ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“ได้” จี้จือฮวนหันไปหาท่านป้าหยาง ฝากฝังให้ช่วยดูแลบ้านให้สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็จูงมือของเผยจี้ฉือขึ้นไปบนรถม้าของโรงยาฮุ่ยหมิน

เผยจี้ฉือมองไปที่มือที่จับกันอยู่ เดิมคิดจะบอกนางว่าตนเองโตแล้วไม่ต้องให้ใครจูงมืออีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของจี้จือฮวน เขาก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมา

เมื่อขึ้นมาบนรถม้า จี้จือฮวนก็ปล่อยมือออก แล้วเอ่ยถามหวังหงอี้ “ท่านช่วยเล่าอาการของคนป่วยให้ข้าฟังที”

“มีอาการปวดท้องอย่างหนัก กินยาไปก็ไม่ได้ผล แต่เนื่องจากคนไข้มีอายุมากแล้ว พวกเราจึงไม่กล้าสั่งยาแรงให้เขา”

จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อย่างโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจ

รถม้าพุ่งทะยานไปทางตำบลฉาซู่อย่างรวดเร็ว

เหล่าชาวบ้านที่ยังอยู่ที่เดิมต่างก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “สะใภ้ตระกูลเผยรักษาคนเป็นด้วยอย่างนั้นหรือ?”

“จริงหรือเปล่า นางมีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ?”

เฉินไคชุนไม่คิดเช่นนั้น “แยกย้ายกันไปได้แล้ว ไม่แน่พวกเขาอาจเป็นแค่พวกขายยาปลอมก็เท่านั้น แต่ขอแค่ไม่ทำให้หมู่บ้านตระกูลเฉินของเราลำบากก็พอแล้ว”

เมื่อเขาพูดเช่นนี้ทุกคนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ที่แท้จี้จือฮวนก็เที่ยวไปหลอกคนในตำบลหรอกหรือ มิน่าเล่าถึงได้มีเงินมากมายจนสร้างบ้านได้เช่นนี้

ตอนที่มาถึงโรงยาฮุ่ยหมิน คนรับใช้ที่หน้าประตูก็กำลังรอพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นรถม้าก็ออกมารับทันที หวังหงอี้ลงจากรถม้าก่อน และจี้จือฮวนก็ตามลงมา

“คนป่วยอาการเป็นเช่นไรบ้าง”

“ปวดท้องจนสลบไปแล้วขอรับ” คนรับใช้เองก็ร้อนใจมากเช่นกัน หากว่าคนผู้นี้เป็นอะไรที่โรงยาขึ้นมา เช่นนั้นก็คงยากที่จะอธิบายได้ ชื่อเสียงของโรงยาคงต้องเสียหายเป็นแน่

หวังหงอี้หันกลับมาและเอ่ยขึ้น “แม่นางจี้ รีบตามข้ามาเถอะ”

คนรับใช้จึงได้เห็นชัด ๆ ว่าสตรีที่หวังหงอี้ไปเชิญมาด้วยตัวเองนั้น มีใบหน้าอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้

กลางวันแสก ๆ คิดจะทำให้คนตกใจตายหรืออย่างไร?

จี้จือฮวนรีบร้อนออกมาจึงไม่ได้เอาผ้าคลุมหน้ามา คนในโรงยาต่างก็พากันจ้องหน้านาง และก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป

จู่ ๆ เผยจี้ฉือก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

จากโถงหน้าบ้านไปยังเรือนหลังบ้าน พบว่ามีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ และด้านในยังมีเสียงร้องไห้ดังออกมาอีกด้วย

“หลีกทางหน่อย รีบหลีกทางหน่อย” คนรับใช้ตะโกนขึ้นมา

คนที่ขวางทางอยู่จึงรีบหลบให้ทันที หวังหงอี้ชี้ไปที่ห้องที่อยู่ด้านใน “คนไข้อยู่ด้านในนั้น”

จี้จือฮวนพยักหน้ารับ และกำลังจะเข้าไปด้านใน แต่กลับถูกคนที่เฝ้าประตูอยู่ขวางเอาไว้ “หยุดนะ เจ้าเป็นใคร”

หวังหงอี้เอ่ยด้วยความร้อนใจ “อาจารย์หลินขอรับ นี่เป็นท่านหมอที่ข้าไปเชิญมาโดยเฉพาะ รีบให้นางเข้าไปเถอะขอรับ”

คนที่ขวางทางก็คืออาจารย์ของสำนักศึกษาชิงอวิ๋น หลินเซวียเหวิน เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าสงสัย พลางมองหน้าจี้จือฮวนและตะเบ็งเสียงออกมา “นางอย่างนั้นหรือ? เจ้ากล้าให้หมอหญิงชั้นต่ำคนหนึ่งมารักษาอาจารย์ของข้าอย่างนั้นหรือ?”

จี้จือฮวนมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปจูงมือเผยจี้ฉือและเตรียมจะกลับออกไป

อะไรกัน จะไม่รักษาแล้วอย่างนั้นหรือ?

หวังหงอี้เห็นดังนั้น ก็รู้ว่าต้องแย่แน่ ๆ “แม่นางจี้ แม่นางจี้อย่าได้โมโหไปเลย”

จางหยวนเฉียวได้ยินเสียงดังจากทางด้านนอกจึงเดินออกมาดู เขาร้อนใจจนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อเห็นจี้จือฮวนมาแล้วแต่กำลังจะกลับ ด้วยความความสงสัยเขาจึงเอ่ยถามออกไป “เหตุใดถึงจะกลับไปเช่นนี้เล่า คนไข้ใกล้จะไม่ไหวแล้วนะ”

จี้จือฮวนหันไปมองจางหยวนเฉียว “มีคนปากเสีย ข้าไม่อยากรักษาให้แล้ว”

จางหยวนเฉียวมองไปรอบ ๆ “ใครตาบอดเช่นนั้นกัน เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก รีบเข้ามาดูเถอะ”

หลินเซวียเหวินได้ยินดังนั้นก็ใบหน้าแดงก่ำ “โรงยาฮุ่ยหมินของพวกเจ้าเชื่อถือได้จริงหรือไม่? จะเชื่อหมอหญิงที่หน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ร่างกายของอาจารย์ข้าไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นได้นะ”

จางหยวนเฉียวโกรธจนแทบจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน ถ้าขืนชักช้าเช่นนี้ เจ้าอยากจะให้อาจารย์ของเจ้าตายหรืออย่างไร”

ครั้งนี้จี้จือฮวนไม่สนใจใครอีกแม้กระทั่งจางหยวนเฉียว นางปัดมือของหวังหงอี้ที่ขวางไว้ออก ก่อนจะเดินไปทางโถงด้านหน้า พร้อมทั้งตะโกนขึ้นมาว่า “รีบให้อาจารย์หลินท่านนี้เตรียมโลงศพชั้นดีไว้ให้อาจารย์ของเขาเถอะ”

หลินเซวียเหวินได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเบิกกว้าง “หมอหญิงเช่นเจ้ากล้าแช่งอาจารย์ข้าอย่างนั้นหรือ?”

จี้จือฮวนหันไปหัวเราะเยาะเขา “อย่างไรเสียข้าก็ดีกว่าศิษย์อย่างท่าน ที่ไม่สนใจอาจารย์เพียงเพราะอคติของตัวเอง หากวันนี้เขาเป็นอะไรขึ้นมานั่นก็เป็นเพราะศิษย์อย่างท่านที่เป็นคนทำ!”

หลินเซวียเหวินโกรธจนแทบจะขอสู้ตายกับจี้จือฮวน ทว่าตอนนั้นเองก็มีคนร้องไห้และวิ่งออกมาจากภายในห้อง เป็นหญิงสูงวัยท่านหนึ่ง “หมอเล่า หมออยู่ที่ใด เลิกทะเลาะกันได้แล้ว!”

จางหยวนเฉียวเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ศิษย์ตัวดีของสามีเจ้าไม่ให้หมอเข้าไป โรงยาฮุ่ยหมินของเราก็ไร้หนทางแล้ว เจ้ารีบเอาตัวคนไปเถอะ”

หลินเซวียเหวินเองก็รีบเอ่ยขึ้นมา “อาจารย์แม่ หมอของโรงยาแห่งนี้ฝีมือไม่ถึง กลับไปเอาหมอหญิงที่ไม่ได้เรื่องมา พวกเรารีบพาอาจารย์ไปรักษาที่อื่นเถอะขอรับ”

หญิงสูงวัยเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันไปมองทางจี้จือฮวนทันที นางผลักคนออกก่อนจะคุกเข่าลงโดยไม่สนใจสิ่งใด “เมื่อครู่หากว่ามีสิ่งใดล่วงเกินท่านไป ข้าต้องขอโทษแทนพวกเขาด้วย แต่ขอท่านหมอเทวดาได้โปรดช่วยสามีข้าด้วยเถอะนะเจ้าคะ”

จี้จือฮวนขี้เกียจจะสนใจเรื่องพวกนี้จริง ๆ กล่องยาน้อย ๆ ของนางล้ำค่ามาก หากไม่ใช่เพราะจางหยวนเฉียวรับปากว่าจะช่วยหาที่มาของยาพิษของเผยยวนให้แล้วละก็ นางก็คงยังอยู่ในครัวที่บ้านแล้วทำขนมกินกันไปแล้ว!

แต่เมื่อเห็นหญิงสูงวัยร้องไห้อย่างน่าเวทนาเช่นนี้ จี้จือฮวนก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ท่านไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าหรอก รักษาได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่หากรักษาได้จริง ๆ ก็ต้องจ่ายค่ารักษามา ส่วนเขาก็ต้องคุกเข่าขอโทษข้าด้วย”

หลินเซวียเหวินเห็นอาจารย์แม่คุกเข่าเช่นนี้ เขาก็รีบเอ่ยขึ้นมา “ขอเพียงเจ้าสามารถรักษาอาจารย์ข้าได้ อย่าว่าแต่คุกเข่าขอโทษเลย จะให้ข้าคุกเข่าคารวะทุกครั้งที่เจอเจ้าก็ยังได้”

“ไม่ต้อง เห็นหน้าท่านครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว หลีกทาง” จี้จือฮวนโบกมือไล่ฝูงชนและเข้าไปในห้องทันที

ภายในห้อง อายุของคนไข้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เพราะผมข้างขมับเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว เขาปวดจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว ดิ้นจนที่นอนยับย่นไปหมด จี้จือฮวนจึงเปิดเสื้อของเขาออกเพื่อตรวจดูอาการ

หวังหงอี้มีสีหน้าอึกอักเล็กน้อย เพราะอย่างไรนางก็เป็นสตรี ต่อให้คนป่วยจะเป็นคนชราแต่นั่นก็ยังเป็นบุรุษอยู่ดี การเปิดเสื้อออกเช่นนี้ นางไม่กลัวว่าตัวเองจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเลยหรืออย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้นในโรงยายังมีคนอยู่มากมายอีกด้วย

ทว่าสีหน้าของจี้จือฮวนกลับไม่ได้เขินอายเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เอ่ยเสียงเย็นออกมา “ตอนเริ่มแรกมีอาการปวดบริเวณกลางท้องหรือรอบ ๆ สะดือ จากนั้นก็ย้ายมาที่ท้องน้อยด้านขวาใช่หรือไม่ มีอาการปวดแปลบ ๆ เวลาที่รู้สึกปวดจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียร่วมด้วยใช่หรือไม่?”

หญิงสูงวัยจึงรีบตอบกลับทันที “ใช่เจ้าค่ะ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ”

หลินเซวียเหวินรู้สึกประหลาดใจ หรือว่าหมอหญิงผู้นี้จะมีความสามารถจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

จี้จือฮวนดึงมือออก “เป็นอาการไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน การจะรักษาเขาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องลงนามในหนังสือยินยอมเสียก่อน หากมีปัญหาใดเกิดขึ้น ห้ามกล่าวโทษหมอเด็ดขาด”

จะยุคโบราณหรือปัจจุบันก็เหมือนกัน เมื่อเกิดเรื่องก็โทษหมอไว้ก่อน นางเองก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว