ตอนที่ 32 ข้ารู้ว่านางแสดงเก่ง
“หลายปีก่อนตอนที่ท่านอ๋องออกจากวังมาอยู่ในตำหนักของตนเอง องค์รัชทายาท ท่านอ๋อง และราชโอรสท่านอื่นส่งสาวงามเข้ามา มีสองคนในนั้นวางยาท่านอ๋อง ห้าคนเปิดเผยการไปไหนมาไหนของท่านอ๋อง และมีหนึ่งคนเคยพยายามปลิดชีพท่านอ๋องเพคะ”
“อืม” ฉินปู้เข่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เจ้าของร่างเดิมเป็นลูกอนุแห่งจวนมหาเสนาบดี คู่หมั้นคู่หมายคนเก่าขององค์รัชทายาทจากการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการแต่งงานกะทันหันในตอนนั้น ทำให้หมี่โม่หรู่สงสัยว่านางเป็นสายลับที่มหาเสนาบดีและองค์รัชทายาทส่งเข้ามาก็นับว่าสมเหตุสมผล
แต่พอนึกถึงเรื่องที่เขาทดสอบนางถึงสองคราในวันเดียว มิหนำซ้ำตนยังอวดฉลาดต่อหน้าเขา ฉินปู้เข่อก็โมโหจนแทบทนไม่ไหว
โดยเฉพาะตอนนี้ นางได้มารับรู้ความลับของเขาอีก
เปลือกตาฉินปู้เข่อกระตุกเล็กน้อย คนผู้นี้อันตรายเกินไปหากอยู่ข้างกายเขามีความเป็นไปได้ว่าจะโดนฆ่าปิดปากได้ทุกเมื่อ นางจะต้องหาทางไปจากที่นี่
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างชายรูปงามกับชีวิตน้อย ๆ ของตนแล้ว นางต้องเลือกชีวิตของตัวเองอย่างไม่ต้องคิด!
อีกอย่าง นางอุตส่าห์ทะลุมิติมาหากต้องโดนขังอยู่ในตำหนักก็ออกจะน่าเบื่อ นางย่อมต้องออกไปท่องเที่ยวให้ทั่วถึงคุ้มค่า
ความฝันเมื่อชาติก่อนของนางคือเป็นบล็อคเกอร์ท่องเที่ยว ในเมื่อชาติก่อนไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ เช่นนั้นก็มาทำให้มันเป็นจริงในชาตินี้เถิด
“ซวงหวน นำพู่กันมา”
หลังจากที่ฉินปู้เข่อเค้นเอาความสามารถที่มีทั้งชีวิต ก็ทำกระดาษเสียไปมากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุดนางก็เขียน ‘หนังสือหย่า’ ใบแรกในชีวิตสำเร็จ
ภายนอกห้องสว่างขึ้นแล้ว ฉินปู่เข่อก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นด้านนอก
“พระชายา ท่านอ๋องขอเชิญท่านไปที่ห้องหนังสือเพคะ”
“อืม” ฉินปู้เข่อเก็บหนังสือหย่าเข้าแขนเสื้อ กินข้าวเช้าอย่างเชื่องช้าก่อนจะเดินไปตามซวงหวนไปยังห้องหนังสือ
ภายในห้องหนังสือ หมี่โม่หรู่นั่งถือม้วนหนังสืออยู่บนเก้าอี้เลื่อน ท่าทางประหนึ่งคุณชายสูงส่งมิสนสิ่งใด
“เจ้าเจ็ด ตอนนี้เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าฉินปู้เข่อคนนั้นไม่มีปัญหาอะไร” หมี่ฉงนั่งกอดอกบนเก้าอี้ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “แค่เพราะนางนอนไปสามวันสามคืนและไม่ไปเปิดเผยความลับรึ”
“อืม ตอนนี้ยังไม่มีปัญหา” หมี่โม่หรู่วางม้วนหนังสือลง ยกถ้วยชาขึ้นหมุนไปมา
เขารู้ตั้งแต่ที่นางตื่นมาเมื่อคืนแล้ว บทสนทนาระหว่างนางและซวงหวนเขาก็ทราบดี
“เจ้าเจ็ด ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย เจ้าอย่าได้โกรธไป” หมี่ฉงเหลือบมองสีหน้าของหมี่โม่หรู่ด้วยความระมัดระวัง
“ถามมาเถิด”
“เจ้าคงไม่ได้ชอบฉินปู้เข่อคนนั้นเข้าแล้วใช่หรือไม่…” หมี่ฉงเกร็งมือและส่ายหัวไปมาพร้อมบ่น “ข้าจะไม่พูดเรื่องที่นางเป็นสายลับหรือไม่ เจ้าดูท่าทางดุดันของนางในคืนนั้นสิ สภาพเช่นนั้นยังถูกยกย่องให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ยอีกรึ คนอื่นตาบอดหรือเปล่า…”
หมี่โม่หรู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตากวาดผ่านหมี่ฉง “ตอนนี้นางคือชายาอ๋องหลี่ชิน คนอื่นตาบอดหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่านางแสดงเก่ง”
หมี่ฉงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยเตือนไม่ได้ “เจ้าเจ็ด หากเพราะฉิน…เพราะน้องสะใภ้เจ้าจึงต้องอยู่ในกำมือของจวนมหาเสนาบดี ความพยายามและที่เราพยายามกันมาหลายปีนี้ได้เป็นอันสูญเปล่า…”
“ชายาเสด็จแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตู หมี่ฉงหยุดพูดและสุ่มหยิบม้วนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ” ฉินปู้เข่อก้าวช้า ๆ เข้ามาในห้อง ย่อตัวคำนับเล็กน้อยก่อนที่ตาคู่สวยใสสกาวดั่งน้ำกวาดผ่านหมี่ฉงด้วยความสงสัย
ดูจากความสงบของนางในตอนนี้ ต้องเป็นสาวงามที่สง่างามเรียบร้อยอย่างแน่นอน ทั้งตัวตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้ายังให้ความรู้สึกอ่อนโยน
เป็นความอ่อนโยนที่บุรุษส่วนใหญ่หลงใหลตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
หมี่ฉงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ‘นางแสดงเก่ง’ หมายถึงสิ่งใด
“นี่น้องสะใภ้ใช่หรือไม่ ข้าหมี่ฉง ท่านอ๋องคังชินโอรสลำดับสาม เจ้าเรียกข้าว่า ‘พี่สาม’ เหมือนเจ้าเจ็ดก็ได้” ในเมื่อเจ้าเจ็ดยอมรับนางเป็นชายาอ๋องหลี่ชินแล้ว เขาย่อมต้องมีความเกรงใจ