บทที่ 45 ออกตรวจ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เซียวลิ่วหลังไม่อยากให้กู้เจียวไปเยี่ยมเยือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าสำนักเลยจริงๆ แต่จนใจที่ความคิดนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนในครอบครัวอย่างเป็นเอกฉันท์ และคนในครอบครัวนั้นคือท่านป้า

หญิงชราพลางเอ่ย “อืม ควรจะไปเยี่ยมเยือนเสียหน่อย”

เซียวลิ่วหลังหอบผ้าห่มกลับห้องด้วยความหงุดหงิด

กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ “คืนนี้เจ้า…ยังจะมานอนกับข้าหรือ”

เซียวลิ่วหลังกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันใด “…เข้าผิดห้อง”

กู้เจียวเลิกคิ้ว มือสองข้างยกขึ้นกอดอกอย่างเอาแต่ใจ “พักอยู่ห้องด้านตะวันตกมาครึ่งปีไม่เห็นเจ้าเข้าผิดเสียที มาพักห้องข้าสามวันก็เข้าผิดแล้วหรือ”

เซียวลิ่วหลังโดนย้อนโกรธจนใบหูแดงแจ๋ เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ก็บอกว่าเข้าผิดอย่างไรเล่า!”

กู้เจียวสงบนิ่ง “อ๋อ”

เซียวลิ่วหลัง “…”

กู้เจียวพูดได้ทำได้ คืนนั้นก็เอาของขวัญปีใหม่ที่เป็นสินบนจากอาจารย์ออกมาตรวจสอบดู

วันรุ่งขึ้นกู้เสี่ยวซุ่นมากินมื้อเช้า ได้ยินว่าพี่สาวเขาจะพาเขาไปเยี่ยมเยือนเจ้าสำนักระแวกหมู่บ้านเวินเฉวียนซานก็ตื่นเต้นจนกู่ร้องขึ้น

ข้าโตมาขนาดนี้! ยังไม่เคยออกจากบ้านไกลเพียงนี้เลย!

ข้าโตมาขนาดนี้! พี่สาวข้ายังไม่เคยพาข้าออกจากบ้านเลย!

ในความเป็นจริงคือ…หากกู้เจียวไม่พาเขาไป เซียวลิ่วหลังก็จะไม่อนุญาตให้นางที่เป็นสาวเป็นแซ่ออกจากบ้านไปคนเดียวไกลเพียงนั้น

ไปที่นั่นจะนั่งเกวียนเทียมวัวไปคงไม่ได้หรอก เกวียนช้าเกินไป ไม่แน่ว่าฟ้ามืดแล้วพวกเขาอาจจะยังไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ แต่ทางรถในเมืองต่างปิดหมดแล้ว รถม้าก็หาเช่าไม่ได้

หลังจากครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างครั้งหลายหนแล้ว กู้เจียวจึงพาน้องชายมาปรากฏตัวที่หุยชุนถัง

เผชิญหน้ากับกู้เจียวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น เถ้าแก่รองสีหน้าแปลกพิกลเล็กน้อย “แม่นางกู้มีคำชี้แนะใดหรือ”

กู้เจียวเอ่ยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ข้าคิดตกแล้ว หมู่บ้านเวินเฉวียนซานไม่ไกลจริงๆ นั่นแหละ นั่งรถม้าไปหนึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางดีกว่า! รถม้าเจ้าคงมีอยู่หรอกกระมัง!”

เมื่อวานยังเอ่ยเสียหนักแน่นว่าไม่ออกตรวจรักษา เหตุใดข้ามคืนพ้นผ่านไปก็เปลี่ยนความคิดแล้วเล่า

เถ้าแก่รองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมองห่อผ้าในอ้อมกอดนาง รวมถึงกู้เสี่ยวซุ่นที่กอดห่อผ้าหอบใหญ่แบบเดียวกันอยู่นอกประตู “เหตุใดจึงพาคนกับของมากมายเพียงนี้มาด้วยเล่า เอามาใช้ในการรักษาหมดเลยหรือ”

กู้เจียวอมยิ้มส่ายหน้า “ของพวกนี้เป็นของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก ลืมบอกไป เจ้าสำนักของสามีข้าพักอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน อีกเดี๋ยวตรวจรักษาคนเสร็จข้าจะได้แวะไปเยี่ยมเยือนเขาเสียหน่อย!”

เถ้าแก่รองแทบจะพ่นน้ำชาออกมา ข้าว่าเจ้าไปเยี่ยมเยือนเจ้าสำนักนั้นเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ส่วนเรื่องตรวจรักษาคนเป็นเรื่องรองเสียมากกว่ากระมัง พูดเสียจนคนฟังรื่นหูสบายอกสบายใจ ไม่ละอายใจเสียบ้างเลยหรือไร!

สุดท้ายเถ้าแก่รองก็เป็นต้องจำยอมอยู่ดี

เถ้าแก่รอง กู้เจียว กู้เสี่ยวซุ่นรวมถึงหมอชราพากันเบียดเสียดอยู่บนรถม้า

รถม้าแล่นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงเรือนที่อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน บนแผ่นป้ายที่แขวนไว้เหนือประตูเขียนไว้ว่า จวนหลี

นี่น่าจะเป็นเรือนอีกหลังของใต้เท้าเจ้าสำนัก

ว่ากันว่าเดิมทีเจ้าสำนักเป็นขุนนางในเมืองหลวง มารดาล้มป่วยหนัก เขาจึงได้ลาออกจากข้าราชการกลับเมืองหลวงมา ซื้อเรือนอีกหลังอยู่ที่นี่ เพื่อให้มารดาได้พักรักษาตัว

กู้เจียวพากู้เสี่ยวซุ่นลงจากรถ เคาะประตูเรือนที่ปิดสนิทให้ดังขึ้น

เพียงไม่นาน บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็มาเปิดประตูให้พวกเขา เห็นเป็นคนชนบทเสื้อผ้าเก่าโทรมสองคน กลับไร้ซึ่งสีหน้าเหยียดหยามดูถูกเผยออกมาให้เห็น ตรงกันข้ามยังถามอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านคือ…”

กู้เจียวเอ่ยว่า “สามีข้ากับน้องชายข้าเป็นศิษย์ของสำนักบัณฑิตเทียนเซียง ตั้งใจมาเยี่ยมเยือนเจ้าสำนักโดยเฉพาะ”

“หา” บ่าวรับใช้ตกใจ

“มีอะไรกันรึ” เสียงแก่ชราลอยมาจากในบ้าน

บ่าวรับใช้รีบหันหน้าไปตอบว่า “เรียนเหล่าฮูหยิน เป็นศิษย์ของนายท่านขอรับ!”

เหล่าฮูหยินใช้น้ำเสียงอ้อมแอ้มไม่ชัดเจนเอ่ยว่า “แล้วยังไม่รีบเชิญคนเขาเข้ามาอีก อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ ให้คนเขาเข้ามาดื่มชาร้อนๆ สักถ้วยสิ”

แม้กู้เจียวจะไม่เคยเจอเจ้าสำนักคนนั้น แต่ท่าทีของคนในครอบครัวเขาและบ่าวรับใช้ล้วนทำให้รู้สึกสบายใจยิ่ง

บ่าวรับใช้เปิดประตูเรือนพลางเอ่ยว่า “เชิญทั้งสองท่านตามข้าเข้ามาเถิด นายท่านเขาออกไปตกปลา

หากเร็วหน่อยอีกเดี๋ยวก็คงกลับมา หากช้าหน่อยก็อาจจะกลับยามฟ้ามืดแล้ว เมื่อครู่ท่านผู้นั้นคือเหล่าฮูหยินบ้านข้าเอง มารดาของนายท่าน”

บ่าวรับใช้พาทั้งสองคนไปคารวะเหล่าฮูหยิน แต่เมื่อพวกเขามาถึงหน้าเตียงของเหล่าฮูหยินแล้ว อีกฝ่ายกลับหลับสนิทกรนครอกไปเรียบร้อย

หลีเหล่าฮูหยินอายุเข้าสู่วัยชราแล้ว ทุกวันนี้เดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่นเอาแน่เอานอนไม่ได้ เหมือนกับทารกตัวน้อย

“ทั้งสองท่านมานั่งที่ห้องน้ำชาก่อนดีกว่า ข้าจะยกชาให้มาให้” บ่าวรับใช้พากู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่นไปห้องชา แล้วก็ทั้งยกชาทั้งเผาถ่าน ต้อนรับอย่างไม่ขาดตกบกพร่องยิ่ง ไม่ชักช้าโอ้อ้าเพราะฐานะของพวกนางต่ำต้อยเลยแม้แต่น้อย

กู้เจียวนั่งอยู่พักหนึ่ง คาดเดาว่าเจ้าสำนักคงไม่กลับมาไวปานนี้ หลีเหล่าฮูหยินก็ไม่ตื่นขึ้นมาไวเพียงนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงเอ่ยกับบ่าวรับใช้ว่านางจะไปหาเจ้าสำนักเอง

สถานที่ตกปลานั้นไม่นับว่าไกลนัก บ่าวรับใช้บอกทางให้แก่นาง

“ข้าก็อยากไปเช่นกัน” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย

กู้เจียวเอ่ยกล่อมว่า “เกิดเหล่าฮูหยินตื่นขึ้นมาพบว่าพวกเราทั้งคู่ต่างไม่อยู่ จะรู้สึกว่าพวกเราเฉยเมยดูแคลน”

“อ้อ” กู้เสี่ยวซุ่นจึงรั้งอยู่ต่ออย่างเชื่อฟัง

กู้เจียวออกจากเรือนมา หันหลังขึ้นรถม้าของเถ้าแก่รอง

“ข้าก็คิดว่าจะอีกนานเสียอีก” เถ้าแก่รองเอ่ย

“เจ้าสำนักไม่อยู่” กู้เจียวเอ่ยถามว่า “ผู้ป่วยที่เจ้าพูดถึงพักอยู่ที่ไหนหรือ”

“อะแฮ่ม ตรงนั้น” เถ้าแก่รองโบกมือชี้ไป เห็นเพียงจุดสิ้นสุดของถนนสายเล็กๆ มุ่งตรงไปสู่ภูเขาเขียวขจี ทิวทัศน์ตรงตีนเขางดงามยิ่ง บ้านเรือนสลับซับซ้อนเรียงราย นั่นคือหมู่บ้านเวินเฉวียนซานของจวนอันติ้งโหวอันเลื่องชื่อลือนาม

ฐานันดรที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายเถ้าแก่รองไม่ได้สนใจมากนัก รู้เพียงว่าเป็นลูกชายคนเล็กของท่านโหวสักคนในเมืองหลวง คลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ตามหาหมอโด่งดังเลื่องชื่อมาหลายปีเพียงนี้ ทว่าอาการก็ยังไม่ดีขึ้น

“ท่านชายน้อยผู้นั้นอายุอานามพอๆ กันกับเจ้า ลือกันในหมู่ชาวบ้านว่าเขาอยู่ไม่ถึงอายุสิบห้าหรอก” เถ้าแก่รองเอ่ยด้วยความเสียดาย

“เช่นนั้นก็เหลืออีกแค่ปีเดียวแล้วมิใช่หรือ” ปีนี้กู้เจียวสิบสี่แล้ว

“ก็นั่นน่ะสิ แต่ว่า อาจจะยื้อไว้ไม่ถึงเดือนหกก็ได้”

“เขาป่วยหนักจริงๆ หรือ”

เถ้าแก่รองถอนหายใจพลางพยักหน้า “ใช่น่ะสิ สงสารโหวฮูหยิน ทายาทมีเพียงลูกชายคนเดียวคนนี้”

แม้จะบอกว่าท่านชายน้อยยังมีพี่สาวฝาแฝดด้วยอีกคน แต่นี่ก็ชดเชยความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายไปไม่ได้หรอก

ข้อมูลเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยเถ้าแก่รองจึงไม่ได้ชี้แจงให้กู้เจียวฟัง

ระหว่างพูดคุยกัน รถม้าก็มาถึงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเวินเฉวียนซานแล้ว

ที่นี่ตั้งซุ้มประตูโค้งมีชายคาปลายกระดกขนาดใหญ่ อักษรคำว่า ‘หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน’ ขนาดใหญ่ใช้ทองชั้นดีฉาบ ส่วนทางด้านขวาสุดของตัวอักษรนี้มีตัวอักษรเฉ่าซูแถวหนึ่งเขียนว่า จวนอันติ้งโหว

พวกนางลงจากรถม้ามา

กู้เจียวยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูใหญ่อันงดงามแล้วตัวเล็กเท่ากระต่าย

ความโอ่อ่าของจวนโหวแสดงออกมาให้เห็นเต็มตา และนี่เป็นเพียงหมู่บ้านหุบเขาที่อยู่ในนามจวนโหวเท่านั้น

เถ้าแก่รองเดินผ่านหมู่บ้านมาหลายครั้งแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่ บอกตามตรงว่าเขาก็ถูกซุ้มประตูขนาดใหญ่ตรงหน้าทำเอาตื่นตะลึงเช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งที่เขาไม่รู้คือ ที่กู้เจียวเหม่อมองซุ้มประตูนั้นไม่ใช่เพราะตื่นตะลึง หากแต่กำลังคิดว่าทองบนซุ้มประตูนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม