องครักษ์เฝ้ารักษาการณ์สองนายใต้ซุ้มประตู แตกต่างกันกับผู้คุ้มกันเรือนเกียจคร้านของตระกูลใหญ่ในเมืองเหล่านั้น พวกเขารูปร่างสูงใหญ่ แววตาเฉียบคม มือถือหอกยาว ท่าทางห้าวหาญองอาจทรงพลัง มีระเบียบวินัยเคร่งครัด แค่มองก็รู้แล้วว่าผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
เนื่องจากส่งเทียบเชิญมาให้ล่วงหน้าหลายวันแล้ว ชื่อของเถ้าแก่รองจึงปรากฎอยู่ในบัญชี องครักษ์จึงปล่อยเขาเข้าไปด้านใน
เขาชี้ไปที่หมอชรากับกู้เจียวพลางเอ่ยว่า “หมอและเด็กจัดยาจากหุยชุนถังของพวกเรา”
สตรีที่เป็นเด็กจัดยาหาได้ยากยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
องครักษ์ไม่ได้พูดอะไร แต่เกิดความสงสัยกับตะกร้าใบเล็กที่กู้เจียวแบกอยู่
“ข้างในใส่อะไรไว้รึ” องครักษ์นายหนึ่งถามขึ้น
กู้เจียวเอาตะกร้าที่แบกมาให้เขาดู
องครักษ์พลิกเปิดดู พบว่าด้านในเป็นกล่องใบเล็กเก่าโทรม กับของป่าจำนวนหนึ่ง เขาจึงคืนตะกร้าคืนนาง
“เดินตรงไปตามถนนเส้นนี้ ทะลุผ่านศาลาแรกไปก็จะมีคนมาต้อนรับพวกเจ้าเอง” องครักษ์บอกทางให้ทั้งสามคน
เถ้าแก่รองประสานมือขอบคุณ แล้วสาวเท้าเดินไปยังศาลารับลมด้วยกันกับกู้เจียวและหมอชรา
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว นอกซุ้มประตูก็มีรถม้าอีกคันแล่นมา เถ้าแก่รองคิดว่าเป็นคนในหมู่บ้านจึงไม่ได้สนใจนัก ไหนเลยจะรู้ว่ากลับถูกเสียงเรียกด้วยเรี่ยวแรงเต็มปรี่รั้งเอาไว้ “ด้านหน้าเป็นนายท่านใหญ่หรือ”
เถ้าแก่รองฝีเท้าพลันชะงัก หันหลังกลับด้วยความตกใจ ผลสุดท้ายเห็นบุรุษรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์
อายุอานามพอๆ กันกับผู้ดูแลหวังสาวเท้าก้าวยาวๆ มาทางเขารวดเร็วราวกับดาวตก
ด้านหลังบุรุษคนนั้นมีหมออายุห้าสิบกว่าๆ คนหนึ่งกับเด็กจัดยาที่แบกกระเป๋ายาไว้อีกคน
เถ้าแก่รองสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา
บุรุษคนนั้นคล้ายว่าไม่เห็นความรังเกียจของเขา ยิ้มแย้มแจ่มใสเดินไปหา ประสานมือคำนับให้ “นายท่าน บังเอิญเสียจริง นายท่านรู้ว่าข้าจะพาคนมารักษาให้ท่านชายน้อย ดังนั้นจึงได้ตั้งใจมารอข้าโดยเฉพาะหรือ แต่ว่า สองท่านนี้เป็นใครกันล่ะ”
“หมอของหุยชุนถัง” เถ้าแก่รองเอ่ยเสียงเรียบ
ทั้งสองท่านเป็นใคร เถ้าแก่รองไม่ได้บอกละเอียด บุรุษคนนั้นกลับคิดว่าหมอมีแค่หมอชราคนนั้นเพียงคนเดียวไปโดยปริยาย ส่วนคนหน้าตาอัปลักษณ์มีปานอยู่บนหน้าคนนี้เป็นแค่เด็กจัดยา
“เขาเป็นใครหรือ” กู้เจียวถามเถ้าแก่รอง
เถ้าแก่รองมองบุรุษคนนั้นอย่างเย็นชาพลางบอกว่า “ผู้ดูแลของตระกูลหู ผู้ดูแลของหุยชุนถังในเมืองหลวง”
“ข้าแซ่เหอ” ผู้ดูแลเหอยิ้มพลางบอกกับกู้เจียว
กู้เจียวปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เหอที่แปลว่าดอกบัวหรือ ดอกสีขาวอะไรเทือกนั้น”
ผู้ดูแลเหอ “…”
รู้สึกแปลกๆ ว่านางกำลังด่าข้า
“พวกเราไปกันเถอะ” เถ้าแก่รองคร้านจะเสแสร้งแสดงความนอบน้อมเอาใจด้วย
ผู้ดูแลเหอกลับเรียกเขาไว้อีกครั้ง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยแววเยาะเย้ยเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย “ที่แท้นายท่านก็มารักษาให้แก่ท่านชายน้อยนี่เอง ไม่ทราบว่านายท่านใหญ่กับเถ้าแก่ใหญ่ทราบเรื่องนี้หรือไม่”
แน่นอนว่า…ไม่รู้ หากเขาบอกเรื่องนี้ให้ที่บ้านรู้ นายท่านใหญ่ต้องไม่เห็นด้วยเป็นคนแรกแน่ๆ
เถ้าแก่รองกำหมัดแน่น สีหน้าดูไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม
ในขณะนั้นเอง กู้เจียวก็เอ่ยขึ้นว่า “นายใหญ่เป็นใครหรือ แล้วเถ้าแก่ใหญ่เป็นใคร”
เถ้าแก่รองสูดหายใจลึก “นายใหญ่เป็นพ่อข้า เถ้าแก่ใหญ่…เป็นน้องชายข้า”
กู้เจียวไม่เข้าใจ “เหตุใดน้องชายเจ้าจึงเป็นเถ้าแก่ใหญ่ แล้วเจ้าเป็นแค่เถ้าแก่รองเล่า เจ้าเป็นสายรองหรือ”
ไม่ใช่
เขาเป็นลูกสายตรง
เป็นลูกชายคนโตสายตรงของตระกูลหูที่แท้จริง
จนใจที่มารดาแท้ๆ ของเขาจากไปไว บิดาเขาแต่งงานใหม่ในเวลาต่อมา จากนั้นไม่นานมารดาใหม่ก็คลอดน้องชาย น้องชายเขาฉลาดกว่าเขา เรียกความรักความเอ็นดูจากพ่อได้มากกว่าเขา
นายท่านใหญ่ค่อยๆ ลืมเลือนไปแล้วว่ายังมีลูกชายคนโตอย่างเขาคนนี้อยู่ ด้วยความสามารถแสนธรรมดาอย่างเขาจึงถูกโยนเข้าไปยังหุยชุนถังในเมืองเล็กๆ อันห่างไกลแห่งหนึ่ง กิจการของตระกูลหูแทบทั้งหมดจึงมอบให้แก่น้องชายเขาไป
เขาที่เป็นเถ้าแก่รอง อันที่จริงก็แค่เรียกให้ฟังดูดีเท่านั้น
ผู้ดูแลเหอเป็นแค่ผู้ดูแลคนหนึ่ง แต่อาศัยที่ตัวเองเป็นคนสนิทของเถ้าแก่ใหญ่ ไม่มองเถ้าแก่รองตระกูลหูที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงผู้นี้อยู่ในสายตา “ท่านชายน้อยแห่งจวนติ้งอันโหวไม่ใช่คนธรรมดาในเมืองเล็กๆ ที่รักษาตายไปก็ตายไป เจ้าอย่าได้ไม่ประมาณกำลังตน ทำร้ายให้ตระกูลหูต้องลำบากเลย!”
กู้เจียวมองไปยังเขา เอ่ยอย่างรำคาญว่า “ชอบขันขนาดนี้ เจ้าเป็นไก่หรือไร”
ผู้ดูแลเหอสะอึกอยู่ในลำคอ
พวกกู้เจียวทั้งสามคนจากไปแล้ว
พวกเขาผ่านศาลารับลมมา เจอเข้ากับคนรับใช้สองสามคนในหมู่บ้านจริงดังว่า
การแต่งกายของบรรดาคนรับใช้มีหน้ามีตาเสียยิ่งกว่าเจ้านายในตระกูลใหญ่เสียอีก หน้าตาท่าทางก็ไม่ธรรมดา การต้อนรับขับสู้แม้จะไม่ซื่อสัตย์จริงใจเหมือนคนรับใช้ของเจ้าสำนัก แต่ก็ยังคงทำตามธรรมเนียม คำพูดและการกระทำอยู่ในกรอบ ไม่กระทำสุ่มสี่สุ่มห้าให้คนอื่นจับผิดได้
บ่าวรับใช้คนหนึ่งนำทางพวกกู้เจียวไป ผู้ดูแลเหอสามคนเพิ่งจะมาถึง
“มาจากหุยชุนถังอีกแล้ว หุยชุนถังมากันกี่คนกันแน่” สาวใช้ฝีปากกล้าต้อนรับผู้ดูแลเหอ
อย่าเอาแต่คิดว่าด้านหลังผู้ดูแลเหอมีตระกูลหูกับหุยชุนถังคอยให้ท้าย เพราะเขาไม่กล้าเล่นเนื้อเล่นตัวใดๆ กับสาวใช้ของจวนโหวเลยแม้แต่น้อย
ผู้ดูแลเหอยิ้มเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “แม่นาง ท่านดูป้ายคำสั่งนี้ให้ละเอียดสิ ข้าต่างหากที่เป็นคนจากหุยชุนถังในเมืองหลวง คนพวกนั้นน่ะมาจากหุยชุนถังในหมู่บ้านชิงเฉวียน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันกับตระกูลหูของหุยชุนถังในเมืองหลวง! อีกเดี๋ยวหากเกิดเรื่องใดขึ้น ขอแม่นางอย่าได้ตำหนิติโทษมายังพวกเราหุยชุนถัง”
“ก็มาจากหุยชุนถังเหมือนกันหมดมิใช่หรือไร” สาวใช้ถาม
“ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือน” ผู้ดูแลเหอยิ้มบอก
สาวใช้ครุ่นคิด “พวกเจ้าแค่บังเอิญชื่อโรงหมอเหมือนกันอย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ…ก็เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้” จู่ๆ ผู้ดูเหอก็หาคำอธิบายที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้
สาวใช้พยักหน้า “ทราบแล้ว ท่านโหวของพวกเราไม่มีทางดึงเอาคนไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยวโยงด้วย”
ผู้ดูแลเหอพรูลมหายใจออกมา นายใหญ่ผู้ไร้ฝีมือคนนั้นเชิญหมอเก่งกาจอะไรมาไม่ได้อยู่แล้ว มิฉะนั้น
ตอนแรกคงไม่ยืมหมอจางจากหุยชุนถังสาขาเมืองหลวงไปเป็นแพทย์ประจำหรอก ครานี้ เป็นไปได้มากที่จะเป็นเรื่องแย่
โชคดีที่เขาฉลาดมีไหวพริบ ปัดความเกี่ยวข้องกับนายท่านไปได้ทันการ
พวกผู้ดูแลเหอเดินกันไวนัก ตอนพวกกู้เจียวมาถึง พวกเขาก็มาถึงแล้วเช่นกัน
สาวใช้ที่ร่วมเดินทางมากับผู้ดูแลเหอเลิกม่านเปิดออกแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงหลัก เอ่ยเสียงเบากับผู้ดูแลและแม่นมว่า “สามคนนั้นต่างหากที่มากจากหุยชุนถังในเมืองหลวง สามคนนี้มาจากในหมู่บ้านเล็กๆ”
ความหมายนี้เหมือนว่าพวกกู้เจียวอาศัยชื่อเสียงของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
ผู้ดูแลและแม่นมประเภทนี้เห็นมานักต่อนักแล้ว แต่ในเมื่อมาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะตวาดด่าคนโดยไม่ตรวจรักษาโรค นางเอ่ยว่า “ให้สามคนนั้นตรวจก่อน”
“ได้” สาวใช้ขานรับ
สาวใช้เรียกพวกผู้ดูแลเหอเข้าไป
ท่านชายน้อยป่วยมานานหลายปี เชิญหมอมาไม่น้อย แต่หมอทุกคนหลังจากตรวจอาการแล้วล้วนถูกออกคำสั่งปิดปากไม่ให้พูดต่อ ด้วยเหตุนี้ในหมู่ชาวบ้านจึงไม่รู้ว่าท่านชายน้อยป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ซ้ำยังป่วยเสียหนักด้วย
ผู้ดูแลเหอครานี้ที่พามาเป็นหมอเทวดาที่ได้รับการขนานนามว่าหวาถัว[1]กลับชาติมาเกิดแห่งเจียงหนาน เชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่รักษายากโดยเฉพาะก่อนจะมาทั้งสองคนต่างมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม พอมองดูแวบหนึ่งแล้ว หมอเทวดาก็มึนงงไปทันใด
“ทำไมรึ หมอเทวดาเลี่ยว” ผู้ดูแลเหอถาม
หมอเทวดาเลี่ยวไม่ตอบคำถามของผู้ดูแลเหอ แต่หันหน้าไปมองสาวใช้ภายในห้อง “ท่านชายน้อยสลบไสลไปนานเท่าใดแล้ว”
“สิบวันแล้ว” สาวใช้บอก
หมอเทวดาสีหน้าซีดเผือด
เขาไม่มีทางเลือกใดนอกจากจำต้องจับชีพจรให้ท่านชายน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นโซเซ
“ข้าน้อยหมอเลี่ยวฝีมือต่ำต้อย ไร้หนทางรักษาท่านชายน้อยได้ ทางจวน…โปรดเชิญผู้มีความสามารถมาเถิด!”
สิ่งที่เขาอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ ท่านชายน้อยบ้านเจ้าป่วยเป็นโรคหัวใจ เดิมทีโรคประเภทนี้ก็ไร้หนทางรักษาให้หายได้อยู่แล้ว ทั้งยังสลบไสลติดต่อกันสิบวันแล้วด้วย เทพเซียนก็ช่วยให้ฟื้นไม่ได้ รีบเตรียมงานศพเสียดีกว่า!
————————
[1] หวาถัว เป็นแพทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศัลยแพทย์ผู้บุกเบิก มีชีวิตอยู่ในยุคสามก๊ก