หลังจากที่กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซู ซูมู่เก๋อก็ตรงไปที่โถงดอกท้อบาน

กําลังจะเข้าไปในโถง นางได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มนวลของนางจ้าว

ซูมู่เก๋อคิ้วขมวดบางๆ มองไปที่เยว่รู่และก้าวเข้าไปในห้อง

เมื่อพวกเขามาถึงประตู พวกเขาก็เห็นเหมยฮัววิ่งเข้ามาพร้อมกับชาเย็น ซึ่งก็ตะลึงงันเมื่อนางเห็นซูมู่เก๋อและเยว่รู่

“คุณหนูใหญ่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ! ท่านต้องตกใจก็เพราะข้า” เหมยฮัวขอโทษในทันที

ซูมู่เก๋อพบว่านางค่อนข้างปกติ ไม่มีร่องรอยของความวิตกกังวลแม้แต่น้อย “เจ้าบอกกับเยว่รู้ว่าท่านแม่ของข้ารู้สึกไม่สบาย เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหมยฮัวก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรแจ้งข่าวแก่ท่านก่อนที่จะสืบสาวราวเรื่องให้แน่ชัดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โปรดอภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”

เมื่อนึกถึงการแสดงออกของเหมยฮัวในตอนนั้น เยว่รู่รู้ว่าตอนนั้นเหมยฮัวเป็นยังไง นางจริงจังมากกับเรื่องราวที่แจ้งกับนาง นางจึงถามว่า “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”

เหมยฮัวนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอีกครั้ง

ในเวลานั้น นางจ้าวอยู่กับซูเหวินม่อตามปกติ ขณะที่เหมยฮัยนั่งอยู่ข้างๆนางและกําลังพับเก็บเสื้อผ้าและถุงเท้าเล็กๆของซูเหวินม่อ

ทําใดนั้น นางจ้าวก็เอามือกุมหน้าอกของนางด้วยความเจ็บปวด

เมื่อเห็นเช่นนั้น เหมยฮัวก็กลัวอย่ามาก นางรีบวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นให้ไปตามหมอ และไปแจ้งข่าวของนางจ้าวให้กับเยว่รู่ แต่เมื่อนางกลับมาที่ห้องนางจ้าว นางจ้าวเป็นปกติ นอนพักอยู่บนขอบเตียงเหมือนไม่ได้เป็นอะไร

“ต่อมา นายหญิงได้เชิญหมอมาดูอาการของนายหญิงใหญ่ หมอบอกว่านายหญิงใหญ่อาจจะเหนื่อยเกินไปกับการดูแลนายน้อยและนางไม่ได้มีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ซูมู่เก๋อพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้อง

นางจะจับชีพจรของนางจ้าว ทุกๆห้าวันเพื่อให้แน่มจว่าสุขภาพแข็งแรง ครั้งล่าสุดที่นางตรวจร่างกายนางจ้าวก็คือเมื่อสามวันที่แล้ว และนางไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด นางจ้างสุขภาพดีกว่าเมื่อก่อนมาก

นั่งอยู่ด้านในห้อง นางจ้าวได้ยินการเคลื่อนไหวที่ข้างนอก แต่ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างชัดเจน

“เจ้ากลับมาแล้ว นายหญิงท่านแม่ทัพอาการดีขึ้นหรือไม่?”

ตามปกติ ซูมู่เก๋อนั่งข้างๆ นางจ้าวและตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “นางดีขึ้นมาก ข้าได้ยินจากพี่เหมยฮัวว่าท่านแม่รู้สึกไม่สบาย ให้ข้าจับชีพจรท่านแม่ดูอาการด้วยเจ้าค่ะ”

“อย่างกังวลเลย ข้าสบายดี ข้าแค่นอนหลับไม่สนิทและมันให้ข้ารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาในตอนนั้น”

เมื่อมองไปที่ใบหน้าของนางจ้าว ซูมู่เก๋อพบว่าดวงตาของนางมีดลงและเศร้าโศก

“ข้าจะรู้สึกสบายใจก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าท่านแม่สบายดีเจ้าค่ะ”

นางจ้าวจึงยื่นแขนออกมาอย่างเชื่อฟังเพื่อให้นางจับชีพจร

จาการตรวจจับชีพจรนางจ้าวไม่มีปัญหา ซูมู่เก๋อถามเพิ่มเติมกับนางและคิดถึงเหตุในใจนางก่อนกลับไปที่ห้องของนาง นางขอให้เหมยฮัวใส่ใจดูแลกับอาการของนางจ้าวให้มากขึ้น

หลังจากซูมู่เก๋อกลับไป นางจ้าวก็ถอนหายใจเล็กน้อยมองไปที่ผ้าม่านที่พลิ้วไหว

“ทําไมท่านถึงถอนหายใจล่ะเจ้าค่ะ นายหญิง? มันไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน” เหมยฮัวเดินเข้ามาพร้อมกับชาร้อนและเห็นนางจ้าวนั่งนิ่งๆที่เตียง

นางจ้าวส่ายหน้าและปล่อยให้พี่เลี้ยงอุ้มเหวินม่อน้อยออกไป

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่ข้ารอคอยคือการที่มู่มู่จะได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดีในอนาคต สามีไม่จําเป็นต้องร่ำรวยหรือสูงศักดิ์ แต่เขาต้องดีกับนาง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

“คุณหนูของเรามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมากถึงขนาดนายหญิงท่านแม่ทัพมาที่คฤหาสน์ของเราเพื่อให้นนางไปรักษา ไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการแต่งงานในอนาคตของนางเลยเจ้าค่ะ

ผู้หญิงที่มีพรสวรรค์คือผู้หญิงที่มีตราบาป ซึ่งนางจ้าวรู้ดี

นางแค่อยากให้ซูมู่เก๋อมีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุขในอนาคต แต่ซูหลุนก็ไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับนาง

เช้าวันรุ่งขึ้น

ในตอนรุ่งสาง ซูมู่เก๋อตื่นขึ้นมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังจากนอกห้อง

“คุณหนูใหญ่ตื่นหรือยังเจ้าค่ะ?” ซินเอ๋อร์ถาม จงใจลดเสียงของนางให้เบา

“ยังไม่ตื่น นางจะต้องนอนต่ออีกหนึ่งชั่วโมง มีอะไร?” เยว่รู่พูด

“มีคนจากโถงใหญ่เพิ่งส่งข้อมความมาว่าองค์หญิงเก้าต้องการพบคุณหนูใหญ่และขอให้นางเข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เก๋อก็ลุกขึ้น ทําเสียงที่เตียงเบาๆ เพื่อแสดงว่านางตื่นแล้ว

เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว เยว่รู่ก็เข้ามาในห้องพร้อมกับซินเอ่อร์

“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว”

ซูมู่เก๋อยืดตัว รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเมื่อคืนนี้นางนอนหลับไม่สนิท

“ใช่ ข้าจําเป็นต้องเข้าวังหลวงงั้นรึ?”

ซินเอ๋อร์ตอบทันที่ว่า “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู นายหญิงเชิญผู้ส่งสารไปรอที่โถงใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

“เยว่รู่ ช่วยฉันทําความสะอาดและแต่งตัวด้วย”

“เจ้าค่ะ”

หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เซี่ยโฮวโม่ขอให้นางเข้าวังในวันนี้ นางสงสัยว่าองค์หญิงต้องการพบนางหรือมีคนขอให้นางเข้าวังโดยอ้างองค์หญิง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร นางต้องคิดมันให้ออก

หลังจากอาหารเช้าง่ายๆ ซูมู่เก๋อขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังพระราชวัง

มันเป็นเวลารุ่งสาง ซูหลุนออกไปศาลตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แต่ถนนด้านนอกยังคงเงียบสงบและมีคนเดินไปมาเพียงไม่กี่คน

รถม้าหยุดอยู่ที่ประตูนอกพระราชวัง จากนั้นนางกํานัลในชุดสีชมพูของวังหลวงก็ก้าวเข้ามาหาและนําซูมู่เก๋อเข้าไป

“พี่สาว ข้าสงสัยว่ามีเหตุอันใดองค์หญิงเก้าถึงได้มีคําสั่งให้ข้าเข้าพบ ข้าแทบไม่มีโอกาสได้เข้าวังหลวงเลย ข้ากลัวว่าจะทําให้องค์หญิงทรงไม่พอพระทัยได้ พี่สาวช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าค่ะ?” ในขณะที่พูดคุยกันซูมู่เก๋อก็ยัดกระเป๋าเงินให้กับนางกํานัลผู้นําทาง

นางกํานัลในวังรู้จักตัวตนของซูมู่เก๋อ แม้ว่าดวงตาข้างหนึ่งของนางจะมีผมปกปิดไว้ แต่คําพูดและการกระทําของนางก็เป็นธรรมชาติและสง่างาม ทําให้คนอื่นประทับใจ

“คุณหนูซู ท่านเคยช่วยองค์หญิงเก้าที่ทะเลสาบพระจันทร์ในครั้งก่อน องค์หญิงเก้าจึงรู้สึกขอบคุณและนางอยากจะขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”

ดวงตาของซูมู่เก๋อเต้นระริก เป็นวิธีที่โดดเด่นในการแสดงความขอบคุณ

นางกํานัลในวังให้ซูมู่เก๋อรออยู่ด้านนอกตําหนักกงยู

นางกํานับที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานทันทีและในไม่ช้าก็กลับมาเพื่อนําซูมู่เก๋อเข้าไปในตําหนัก

เซี่ยโฮวซีมองมาที่ทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อน ดวงตาของนางสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองเห็นซูมู่เก๋อ

ซูมู่เก๋อก้าวเข้าไปในศาลาและคํานับเพื่อแสดงความเคารพ “ขอถวายพระพรเพค่ะ องค์หญิงเก้า”

เซี่ยโฮวซีลุกขึ้นยืนและช่วยซูมู่เก๋อลุกขึ้นด้วยท่าทางที่อ่อนโยนมาก

“คุณหนูซู ไม่จําเป็นต้องคํานับข้าขนาดนี้ นําชาเหมาเจียนของข้ามา”

“เจ้าค่ะ”

“คุณหนู เชิญนั่ง”

ซูมู่เก๋อเดินไปที่ม้านั่งหินและนั่งลง นางกํานัลนําชาร้อนเข้ามาและเดินออกไปจากศาลา

“คุณหนูซู ขอบคุณมากที่ช่วยข้าขึ้นเรือและข้าขอโทษที่ไม่สามารถไปเยี่ยมเจ้าที่คฤหาน์ตระกูลซูเพื่อแสดงคําขอบคุณได้” เซี่ยโฮวซีกวักมือเรียกนางกํานัลที่อยู่ข้างหลังนาง นางกํานัลก็ยกกล่องใบใหญ่ขึ้นมา กล่องสูงครึ่งตัวของคนๆหนึ่ง

“องค์หญิง พระองค์ทรงให้เกียรติหม่อมฉันเกินไปเพค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่” นางไม่ได้คิดมากเกินไปในตอนนั้นที่ช่วยเซี่ยโฮวซี

เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันสงบนิ่งของนางและรู้สึกถึงความจริงใจในคําพูดของนาง เซี่ยโฮวซีก็ยิ่งชอบนางมากยิ่งขึ้น

“นี่เป็นของตอบแทนน้ำใจสําหรับเจ้า คุณหนูซู โปรดรับไว้และข้าหวังว่าเจ้าจะชอบมัน”

นางกํานัลเปิดกล่องที่บรรจุหนังสือทางการแพทย์ที่เรียงกันไว้อย่างเรียบร้อย

ซูมู่เก๋อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ลึกๆ แล้วนางรู้สึกมีความสุขมาก

มีการเผยแพร่หนังสือทางการแพทย์เพียงไม่กี่เล่มในแคว้นฉู่ ส่วนใหญ่เป็นสําเนาของแต่ละคน ท้ายที่สุดทักษะเหล่านั้นเป็นทักษะที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของครอบครัวและจะไม่แพร่กระจายได้ง่ายๆ รางวับที่เซี่ยโฮวซีให้นั้นเหมาะกับซูมู่เก๋อ

“ข้าหมกมุ่นอยู่กับยามาตั้งแต่เล็กและเคยเรียนรู้จากหมอหลวงในสํานักหมอหลวงของวังแห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีความสามารถในด้านนี้ หนังสือทางการแพทย์เหล่านี้ได้รับการรวบรวมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและมีค่าอย่างยิ่ง วันนี้ข้าอยากจะมอบมันให้กับเจ้า คุณหนูซู ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้” เซี่ยโฮวซีมองไปที่หนังสือในกล่องด้วยความเสียดายในสายตาของนาง

“ข้าไม่สมควรรับเอาสมบัติของพระองค์ไปเพค่ะ องค์หญิง”

เซี่ยโฮวซีส่าวยหน้า “พวกมันอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์กับข้า คุณหนูซู อย่าปฏิเสธอีกเลย”

เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ซูมู่เก๋อก็ไม่ยืนกรานอีก “ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ”

“จากที่เจ้าช่วยข้าจากสถานการ์คับขันนั้นได้ ข้าจึงยินดีที่จะส่งบ้านหนังสือนี้ให้เจ้า”

“ข้าสงสัยว่าทําไมองค์หญิงเก้าไม่อ่านหนังสือทางการแพทย์ในห้อง ที่แท้นางอยู่กับแขกผู้มีชื่อเสียงที่นี่นี่เอง”

บนทางเดิน มีคนหลายคนกําลังเดินเข้ามาหาพวกเขา

ซูมู่เก๋อมองย้อนกลับไปและเห็นเซี่ยโฮวหยินในชุดคลุมสีน้ำเงินอมฟ้าเดินมาหาพวกเขาพร้อมกับองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย

หญิงที่จับแขนของเซี่ยโฮวรุย หน้าตาดูคล้ายกับเซี่ยโฮวหยินมาก นางสวมเสื้อคลุมสีม่วงทอง พร้อมปิ่นปักผมนกฟินิกซ์สีทองห้าหางซึ่งส่องแสงเป็นประกายเมื่อต้องแสงแดดยิ่งทําให้ใบหน้าที่ได้รับการตกแต่งอย่างปราณีตดูกระจ่างมากยิ่งขึ้น

นางต้องเป็นแม่ของเซี่ยโฮวหยินแน่ นางสนมฉิน (สนมชั้นสาม)

เมื่อเห็นเช่นนั้น เซี่ยโฮวซีจึงเดินออกมาจากศาลา “อย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่นี่”

เมื่อมองไปที่ร่างเพรียวตรงหน้านาง ซูมู่เก๋อเลิกคิ้วเล็กน้อยและเดินตามนางไปเพื่อคํานับ

“ขอถวายบังคมฝ่าบาท พระสนมฉินและองค์หญิงแปดเพคะ”

“ขอถวายบังคมเสด็จพ่อ พี่แปดและสนมฉินเพคะ”

เซี่ยโฮวรุยเดินเข้ามาหาเด็กสาวทั้งสองและตอบด้วยเสียงต่ำและแหบแห้ง “ลุกขึ้น”

สนมฉินช่วยเซี่ยโฮวรุยเข้าไปในศาลาและนั่งลง

“เสด็จพ่อ หม่อมฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของคุณหนูซู และน้องเก้าก็หมกมุ่นอยู่กับยามากจนนางต้องขอให้คุณหนูซูสอนยาให้นางในตอนนี้” เซี่ยโฮวหยินมองไปที่ซูมู่เก๋อ

ด้วยรอยยิ้มที่ปลอม

ซูมู่เก๋อเลิกคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นความอาฆาตพยาบาทของเซี่ยโฮวหยิน โดยรู้ดีว่านางจะไม่ปล่อยซูมู่เก๋อไปง่ายๆ

“พี่แปดพูดถูกเพค่ะ แต่คราวนี้หม่อมฉันเชิญคุณหนูซูมาที่ตําหนักเพื่อขอบคุณที่นางช่วยชีวิตหม่อมฉันบนเรือ”

“ข้ายังได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้ามีอาการหัวใจวายบนเรือและได้รับการช่วยเหลือจากคุณหนูซูได้ทันเวลา ทักษะทางการแพทย์ของคุณหนูซูนั้นโดดเด่นมาก นางไม่เพียงรักษาโรคระบาดในเมืองโจวได้ แต่ยังช่วยองค์หญิงด้วย ฝ่าบาทเพค่ะ พระองค์จะทรงประทานรางวัลอะไรแก่นางดีเพคะ”

สนมฉินยิ้มน้อยๆบนใบหน้านางตลอดการพูด แต่นางไม่สามารถทําให้คนที่ไม่คุ้นเคยรู้สึกถึงความเป็นมิตรได้เพราะมีความเย่อหยิ่งแอบแฝงอยู่ตลอดในดวงตาเรียวที่ดูเชิดของนาง

ด้วยรอยยิ้มในดวงตามัวอันริบหรี่ของเขา เซี่ยโฮวรุยจ้องมองไปที่ซูมู่เก๋ออย่างพินิจตั้งแต่หัวจรดเท้าและมองหลับจากเท้าจรดหัว

ซูมู่เก๋อกํามือเล็กน้อยในแขนเสื้อ เขาเป็นถึงองค์จักรพรรดิของแคว้น แค่แรงกดดันเพียงเล็กน้อยจากเขาก็ทําให้คนอื่นรู้สึกหายใจไม่ได้แล้ว

แต่ในไม่ช้า เซี่ยโฮวรุยก็ยับยั้งท่าทางสง่าสูงส่งของเขา “เจ้าพูดถูก นางสมควรได้รับรางวัล”

เซี่ยโฮวหยินไม่สามารถทนดูความชื่นชมของเซี่ยโฮวรุยที่ซูมู่เก๋อได้ ในฐานลูกสาวของขุนนางชั้นต่ำที่มีแม่โง่เขลา นางจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นนางกํานัลของนางด้วยซ้ำ!

“เสด็จพ่อเพค่ะ จากที่คุณหนูซูมีทักษะการปรุงยาดีมาก ข้าสงสัยว่านางจะเก่งกว่าหมอหลวงในวังหรือไม่? หากหมอที่มีอายุห้าสิบปีเครายาวสีขาวด้อยกว่าเด็กสาวอายุต่ำกว่าสิบห้าปีจริง มันคงจะเป็นเรื่องตลกและน่าอับอายยิ่งนะเพคะ”

ทันทีที่เซี่ยโฮวหยินพูดจบอากาศในศาลาก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที