ตอนที่ 53 คบหากับคนเหล่านั้นต่อมีแต่จะทำร้ายตัวเอง
ตอนที่ 53 คบหากับคนเหล่านั้นต่อมีแต่จะทำร้ายตัวเอง
หลังจากที่หลินเซี่ยกลับมาจากเทศมณฑล เธอก็เห็นคิ้วปลิงสองตัวบนใบหน้าหวังอวี้เสีย ทำให้เธอพูดไม่ออก จากนั้นจึงเรียกหวังอวี้เสียไปที่ลานบ้าน ทั้งสองคนนั่งลงบนม้านั่ง ขณะที่หลินเซี่ยแต่งหน้าให้กับหวังอวี้เสีย
หวังอวี้เสียอยู่ในห้องทำงานตลอดทั้งปีและแทบไม่โดนแสงแดด ผิวของหล่อนจึงค่อนข้างขาว แม้จะอายุสี่สิบปีแล้ว แต่กลับดูอ่อนเยาว์กว่าผู้คนวัยเดียวกันมาก
หลินเซี่ยทาลิปสติกให้หล่อนเสร็จ จากนั้นก็ถือกระจกไว้ด้านหน้าหวังอวี้เสีย
“เซี่ยเซี่ย ทำไมเธอถึงทามันออกมาได้เป็นธรรมชาติแบบนี้ล่ะ? ทั้งที่ใช้ลิปแท่งเดียวกัน แต่ทำไมตอนที่ฉันทาเองถึงดูเหมือนเพิ่งกินเด็กมา?”
“น้าสะใภ้ การทาลิปสติกก็มีเทคนิคนะคะ หากทาไม่ดีก็อาจทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่ได้”
หวังอวี้เสียมองดูตัวเองในกระจกแล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า “เซี่ยเซี่ย ฉันอยากเรียนแล้ว ช่วยสอนฉันหน่อยนะ”
“พรุ่งนี้เช้าฉันจะสอนให้ค่ะ ตอนนี้เพิ่งทาไป ถ้าเช็ดออกคงน่าเสียดายแย่”
“ก็ได้ ฉันเองก็ยังมีงานต้องทำ ถ้าไปช้าเดี๋ยวยายเธอจะดุฉันอีก ฉันต้องไปทำงานแล้วล่ะ”
หวังอวี้เสียลุกขึ้น เก็บกระเป๋าเครื่องสำอางแล้วไปที่ห้องครัว
เฉินเจียเหอไปที่โรงสีเพื่อใช้เครื่องโม่แป้ง ในตอนแรกหลินเซี่ยต้องการไปกับเขาด้วย แต่เขาบอกว่าตนอาจจะกลับมาช้า อีกสองวันก็เป็นวันปีใหม่ ทุกคนในหมู่บ้านคงกำลังเข้าคิวที่โรงสีเพื่อรอใช้เครื่องนั้น ซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน จึงขอให้เธออยู่ที่บ้าน
โจวลี่หรงไม่สนใจเธอ และเธอเองก็ไม่ต้องการยั่วยุโจวลี่หรง
เธอจึงเลือกที่จะกลับไปบ้านตระกูลหลิน เพื่อพบกับหลินเยี่ยนและหลิวกุ้ยอิง
หลินเซี่ยถือกล่องสินเดิมติดมือมาด้วย ด้านในเป็นชุดสีน้ำเงิน มีปกเสื้อแบบพิมพ์นิยมของยุคนั้น ซึ่งเธอวางแผนที่จะมอบชุดนี้ให้กับหลินเยี่ยน
หลังจากเริ่มฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนสามารถใส่เสื้อสเวตเตอร์และกางเกงลองจอห์นไว้ด้านใต้ได้
นอกจากนี้ยังมีกางเกงผ้าขนสัตว์คุณภาพดี มันเป็นกางเกงขากว้างที่ได้รับความนิยมในยุคนี้ และถือว่าค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่กางเกงขากว้าง
เธอใส่กล่องมาด้วยกันและต้องการมอบให้หลิวกุ้ยอิง
วันนี้หลินเอ้อร์ฝูและหญิงชราไปตลาดด้วยกันและยังไม่กลับมา ส่วนหวังจวี๋เซียงกลับไปบ้านพ่อแม่ของหล่อนแล้ว ทำให้ที่บ้านเหลือเพียงหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยน
หลินเซี่ยหยิบเสื้อผ้าออกมา ซึ่งทำให้หลิวกุ้ยอิงประหลาดใจ “เซี่ยเซี่ย นี่มันสินเดิมของลูกนี่ เอากลับมาทำไม?”
“หนูมีเสื้อผ้าเยอะ สองตัวนี้หนูเอามาให้แม่กับเสี่ยวเยี่ยน”
“ลูกคิดว่าเสื้อผ้าที่สั่งตัดดูไม่ดีงั้นเหรอ?” หลิวกุ้ยอิงถามอย่างระมัดระวัง
เสื้อผ้าสำเร็จรูปมีราคาแพงเกินไป และหญิงชราก็ไม่ยอมจ่ายเพิ่ม เธอจึงจ้างช่างตัดเสื้อให้ทำเสื้อผ้าสองชุดนี้
“ไม่ใช่ค่ะ เฉินเจียเหอซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หนู หนูจึงเอาพวกมันมาให้ แม่ต้องใส่เสื้อผ้าใหม่ในวันปีใหม่นะ ทั้งสองรีบไปลองเร็ว”
หลินเซี่ยดำเนินการอย่างรวดเร็วและถอดเสื้อแจ็กเกตตัวเก่าของหลินเยี่ยนออก จากนั้นให้หล่อนลองสวมเสื้อผ้าตัวใหม่
ท้ายที่สุดหลินเยี่ยนยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุน้อย มีความรักสวยรักงามเช่นกัน ในเมื่อหลินเซี่ยตั้งใจมอบให้ หล่อนจึงลองสวมมันโดยไม่ลังเล
พวกเธอทั้งสองมีรูปร่างคล้ายกันและค่อนข้างผอมเพรียว แต่หลินเยี่ยนยังโตไม่เต็มที่ ทำให้หน้าอกยังเล็กกว่าหลินเซี่ยมาก
ความยาวของชุดของหลินเยี่ยนกำลังพอดี
“ดูเหมาะมากเลยนะ เอาไว้ใส่ตอนที่อากาศอุ่นขึ้นแล้วหลังปีใหม่แล้วกัน”
“แม่ก็ไปลองเสื้อผ้านี้สิ”
หลิวกุ้ยอิงปฏิเสธ “แม่ไม่ลองหรอก ลูกเอากลับไปเถอะ เสื้อผ้าพวกนี้ไม่เหมาะกับแม่”
หล่อนคืนมันให้กับลูกสาว ท้ายที่สุดเสื้อผ้านี้คือสินเดิม ซึ่งหล่อนอายเกินกว่าจะรับไว้
“ไม่เหมาะอะไรกันเล่า แม่ควรใส่มันช่วงปีใหม่นะ”
เพราะหลิวกุ้ยอิงยังนิ่งเฉย หลินเซี่ยจึงเข้าไปช่วยถอดกางเกงของหล่อน และให้อีกฝ่ายลองสวมมัน
“ไม่เลวเลย มันอาจคับนิดหน่อย แม่ใส่ไว้ข้างใต้ตอนอากาศอุ่นขึ้นก็ได้”
แม้ว่าทั้งสองจะได้ลองเสื้อผ้าใหม่ แต่สีหน้าพวกหล่อนกลับไม่ได้มีความสุขนัก และยังเต็มไปด้วยความกังวล
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? พวกเขารังแกอีกแล้วเหรอ?” หลินเซี่ยขมวดคิ้วถาม
หลินเยี่ยนหลับตาลงพลางกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “เช้านี้อาสะใภ้รองบอกว่า ต้องการแนะนำให้ฉันรู้จักกับชายที่เหมาะสมจะเป็นคู่ครอง หล่อนถามฉันอ้อม ๆ เกี่ยวกับความประทับใจของหนูที่มีต่อหวังต้าจ้วง ทั้งยังบอกว่าเขาเป็นคนขายหมูที่เก่งและมีภูมิหลังทางครอบครัวดี แล้วยังบอกเป็นนัยว่าใครก็ตามที่แต่งงานกับเขาจะมีชีวิตที่สุขสบายในอนาคต ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น หล่อนแค่อยากแนะนำฉันให้รู้จักกับหวังต้าจ้วง แล้วยังบอกอีกว่าถ้าฉันแต่งงานเข้าไปในครอบครัวของหล่อน เราจะกลายเป็นญาติและสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลินเซี่ยก็โกรธมาก “คนพวกนี้จะต้องถูกสับสักพันครั้งถึงจะสาสม”
เธอจับมือของหลินเยี่ยนและปลอบโยน “เสี่ยวเยี่ยน อย่ากลัวเลยนะ”
“แม่บอกอาสะใภ้รองของลูกแล้วว่า เสี่ยวเยี่ยนยังเด็กเกินไปและยังไม่เหมาะจะมีคู่ครอง และขอให้อย่าแนะนำชายหนุ่มให้หล่อน อีกอย่างพวกเขาจะแนะนำชายคนเดียวกันให้กับลูกสาวคนโตและลูกสาวคนเล็กได้ยังไง? แต่แม่คิดว่หล่อนคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ และอาจให้คุณย่าของลูกช่วยเหลือ หากเป็นเช่นนั้น แม่ก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขา” หลิวกุ้ยอิงพูดด้วยความมุ่งมั่น
“ถ้าหล่อนพูดถึงมันอีกครั้ง ก็ให้ตกลงไปตามนั้น” หลินเซี่ยพูดอย่างเย็นชา
“เซี่ยเซี่ย ว่ายังไงนะ?” หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนหันมองหลินเซี่ยด้วยความไม่เชื่อในเวลาเดียวกัน
หลินเซี่ยหรี่ตาลงและพูดว่า “เสี่ยวเยี่ยน เพียงบอกไปว่าเธอจะรับไว้พิจารณา และจะขอทำความรู้จักกันก่อน”
“พี่ ฉันกำลังจะอายุครบสิบแปดหลังปีใหม่นะคะ” หลินเยี่ยนไม่รู้ว่าหลินเซี่ยหมายความว่าอย่างไร หวังต้าจ้วงอายุยี่สิบเจ็ดย่างเข้ายี่สิบแปด เขาตัวใหญ่และสีหน้าดุร้าย หล่อนไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับคนแบบนี้เลย
เขาเป็นคนขายเนื้อที่ต้องฆ่าสัตว์ เพียงแค่มองเขาก็รู้สึกว่าน่ากลัวมากแล้ว
“พี่ไม่ปล่อยให้เธอแต่งงานหรอก”
หลินเซี่ยกล่าว “แต่อย่าเพิ่งปฏิเสธ ถ้าหวังต้าจ้วงเรียกให้เธอไปพบเพื่อทำความรู้จักกัน ให้เธอออกไปกับเขา แต่ต้องมั่นใจว่าจะหาวิธีแจ้งให้พี่ทราบก่อน”
หลิวกุ้ยอิงมองจากด้านข้างอย่างกังวล “เซี่ยเซี่ย ลูกจะทำร้ายน้องสาวของไม่ได้นะ”
“แม่ หนูจะทำร้ายน้องสาวของตัวเองได้ยังไง แต่แม่คะ แม่ช่วยพยายามเข้มแข็งกว่านี้หน่อยได้ไหม? แม่กลัวอะไรอยู่คะ?”
ในชีวิตก่อนหน้าหลิวกุ้ยอิงสละชีวิตเพื่อช่วยหลินเซี่ย เธอรู้สึกขอบคุณและรู้สึกผิด ดังนั้นเธอจึงอยากจะชดเชย และทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีกว่านี้
อย่างไรก็ตาม นิสัยอันอ่อนโยนของหลิวกุ้ยอิงทำให้เธอพูดไม่ออกจริง ๆ
หลิวกุ้ยอิงอธิบาย “แม่ไม่ได้กลัวอะไร แม่อ่านหนังสือมาบ้างเหมือนกัน และไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนไร้ป่าเถื่อนที่พวกเขาต้องการแนะนำให้เรารู้จัก ไม่ว่าอย่างไรคนพวกนั้นยังคงเป็นแม่และน้องชายของพ่อ แม่ไม่ต้องการให้พ่อที่ล่วงลับไปแล้วได้เห็นครอบครัวของเขาวุ่นวายแบบนี้”
“คบหากับคนเหล่านั้นต่อมีแต่จะทำร้ายแม่มากขึ้น ถ้าแม่ไม่มีการศึกษาและไม่มีวัฒนธรรม ปัญหานี้คงคลี่คลายไปนานแล้ว!”
หลิวกุ้ยอิง “!!!”
หลินเซี่ยมองหลิวกุ้ยอิงและบ่นว่า “พูดเรื่องการมีวัฒนธรรมกับปลิงดูดเลือดพวกนั้นจะได้อะไรขึ้นมา! พ่อของหนูคงไม่อยากเห็นแม่ที่กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวถูกรังแกแบบนี้หรอก”
“จากนี้ไปแม่ต้องทำตัวเป็นคนปากร้าย อย่ายอมอีกฝ่ายอีก ไม่อย่างนั้นเราจะถูกเอาเปรียบไปจนตาย”
หลิวกุ้ยอิงได้รับการสั่งสอนจากหลินเซี่ย เธอพยักหน้ารับ “แม่จะทำตามที่ลูกบอก จะลองพยายามทำตัวก้าวร้าวขึ้น”
“มันไม่เกี่ยวกับการพยายามทำให้ดีที่สุด แต่แม่ต้องร้ายให้ได้มากกว่าคุณย่า แบบที่เรียกว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”
หลินเยี่ยนยังเด็ก และพยายามคิดตามหลังจากรับฟังคำพูดของหลินเซี่ย
จริงสิ ทำไมพวกหล่อนถึงกลัวคุณย่ามากขนาดนี้?
หากพวกหล่อนดุร้ายยิ่งกว่าหญิงชรา อีกฝ่ายจะไม่สามารถควบคุมพวกหล่อนได้อีกใช่ไหม?
หลินเซี่ยถามหลิวกุ้ยอิง “ยังไงก็เถอะ เงินสินเดิมที่หนูได้รับตอนแต่งงานอยู่กับคุณย่าหรือเปล่า? อย่าลืมขอเงินคืนเมื่อเราแบ่งทรัพย์สินของครอบครัว เลิกสนับสนุนคุณย่า และอย่าให้หลินเอ้อร์ฝูพาหล่อนไป”
หลังจากได้ยินว่าหลินเซี่ยต้องการแยกหญิงชราออกไป หลิวกุ้ยอิงจึงพูดว่า “แต่ท่านอาศัยอยู่กับเรามาโดยตลอด”
“เมื่อก่อนตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่แปลกที่เขาจะเลี้ยงดูหล่อนในบ้าน แต่ตอนนี้พ่อจากไปแล้ว พี่ชายก็หายตัวไปอีก แม่ในฐานะลูกสะใภ้ไม่มีภาระผูกพันที่จะเลี้ยงดูหล่อน อีกอย่างหล่อนยังมีลูกชายอีกคนไม่ใช่เหรอ? ปล่อยให้หล่อนไปอาศัยอยู่กับหลินเอ้อร์ฝูและรับส่วนแบ่งทรัพย์สินของหล่อน โดยไม่มีใครควรเอารัดเอาเปรียบใครเสียสิ”
ดวงตาของหลินเยี่ยนพลันสว่างขึ้นหลังรับฟังคำพูดของหลินเซี่ย
หลินเซี่ยพูดต่อ “นี่ก็เป็นวันที่ยี่สิบเก้าแล้ว ไว้รอจนถึงวันส่งท้ายปีเก่าเพื่อหารือเรื่องนี้ต่อ หากพวกแม่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่จริง ๆ ปีใหม่ครั้งนี้ไม่มีทางสงบสุขแน่นอน เมื่อถึงเวลา แม่เรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาช่วยแบ่งทรัพย์สินของครอบครัวได้ หนูเป็นแค่ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว และไม่รู้สถานการณ์ของครอบครัวอย่างถ่องแท้ การให้หนูพูดในช่วงเวลาสำคัญอาจไม่ได้ผล แม่ต้องหาคนมีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมาแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ให้ดี หลังจากแบ่งทรัพย์สินของครอบครัวแล้ว เราไม่จำเป็นต้องติดต่อกับพวกเขาอีก จากนั้นเราจะเดินทางเข้าเมือง”
หลินเซี่ยกล้าหาญมาก ทำให้หลิวกุ้ยอิงได้รับอิทธิพลไปด้วย หล่อนพยักหน้ารับ “เอาล่ะ เซี่ยเซี่ย เราจะฟังลูก”
“ถ้าอย่างนั้นหนูกลับก่อนนะ หนูต้องไปช่วยงานที่บ้าน อย่าลืมตอบตกลงหวังจวี๋เซียงล่ะ หากหวังต้าจ้วงมาหาหรือเรียกไปพบ ให้แม่มารายงานหนูทันที”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ล่าสุดสอนแม่กับน้องให้ร้ายแล้ว แต่ถ้าไม่ร้ายก็โดนเอาเปรียบอยู่ตลอด เซี่ยเซี่ยคงเห็นแล้วว่าคนบ้านหลินใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล
ไหหม่า(海馬)