บทที่ 62 – หยาดสีโลหิต

 

การต่อสู้ระหว่างรินนะกับนันโจนั้นเต็มไปด้วยความดุเดือด.. แน่นอนว่าทางฝั่งของรินนะนั้นเหนืออยู่หนึ่งก้าวเสมอ

เพราะอย่างไรซะเธอก็คือองค์หญิงของเหล่าแวมไพร์ ซึ่งมันต้องแข็งแกร่งกว่าคนที่เทียบเคียงองค์หญิงเฉยๆ อยู่แล้ว

แม้ตัวของนันโจนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าหากองค์หญิงมาอยู่ในอาณาเขตของเขา คงไม่มีใครรอด แต่เขาก็ไม่เคยสู้กับคนระดับนั้นมาก่อน

และนี่ก็เป็นครั้งแรก..และเขาก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่า สำหรับพวกองค์หญิงหรือองค์ชายนั้นมันแข็งแกร่งกว่าความเข้าใจพวกเขาเสียอีก

เขาไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเก่งเท่าคนพวกนี้ด้วยซ้ำ นี่ขนาดอีกฝ่ายพึ่งกลายเป็นผู้ใช้อารยธรรมได้ไม่นานนะเนี่ย

แต่.. ที่เขายังสามารถดึงดันสู้กับรินนะได้ก็เป็นเพราะเขามีร่างโคลนที่มีมากเป็นพิเศษ ร่างโคลนในคลังของเขามีมากกว่าร้อยร่าง

และทุกร่างนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับการต่อสู้ เขาออกแบบโดยตัดประสาทความรู้สึกเจ็บปวดออกไป

ทำให้ต่อให้ตายกี่ครั้งเขาก็ไม่เคยรู้สึกทรมาน.. แต่ทว่ารินนะกลับมีวิธีการบางอย่างที่โจมตีเข้าสู่ความนึกคิดโดยตรง

ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าเจ็บภายนอกเสียอีก.. ยังดีที่เขาสามารถฆ่าตัวตายได้ ไม่งั้นเขาก็คงนอนดิ้นทรมานอย่างไม่มีทางหลบหนี

ยังดีที่เขาสามารถควบคุมพื้นที่แถวนี้ได้ทั้งหมด.. แม้จะโจมตีไม่ค่อยเข้า หรือต่อให้เข้าอีกฝ่ายก็ดันมีพลังการรักษาสุดโต่ง

เขาเคยสังเวยร่างตัวเองเพื่อโจมตีใส่อกของรินนะจนเป็นแผล แต่ว่ามันก็หายแทบจะในชั่วพริบตาต่อมา

พลังการฟื้นฟูของเธอมันเข้าขั้นน่ารังเกียจโดยสิ้นเชิง หากอยุ่ในเกมนี่คงเป็นชีตโกงไม่ผิดแน่ … ทว่านันโจก็สังเกตเห็นอาการเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายขึ้นอยู่ตลอด

ถึงรินนะจะสามารถฟื้นฟูได้.. แต่ทว่าแม้เธอจะฆ่าร่างโคลนของนันโจไปเท่าไหร่ เธอก้ไม่ได้รับพลังชีวิตมาเลยแม้แต่น้อย

นั่นก็แน่นอนว่าเพราะร่างของมันถูกจำลองมาเพื่อใช้ชั่วคราวเท่านั้น เป็นร่างที่ใช้แล้วทิ้งนั่นแหละ มันจึงไม่มีทั้งพลังอะไรทั้งสิ้น

หากปล่อยไว้โดยไม่เก็บรักษาด้วยวิธีพิเศษบางอย่าง มันคงสลายหายไปภายในหนึ่งวัน บางทีสภาพร่างกายของร่างโคลนนันโจคงเหมือนร่างกายของรินนะ

ไม่สิ อ่อนแอกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าหากโดนแสงแดดนิดเดียวก็คงสลายหายกลายเป็นฝุ่นทันทีแน่ เพราะแบบนั้นนันโจมันเลยพาเธอเข้ามาในนี้

มาในที่ที่ไม่มีแสงซึ่งส่องเข้ามาถึง และตัดขาดจากโลกภายนอก.. แน่นอนว่าหากยังสู้ต่อไปคนตกที่นั่งลำบากอาจจะเป็นรินนะ

เพราะเธอใช้พลังงานลูกเดียว แต่ไม่สามารถเพิ่มพลังงานได้.. กล่าวคือหากเธอไม่ฆ่าเพื่อกินพลังชีวิตคนจริงๆ เธอเป็นคนที่จะตายเอง

แม้จะเหนือกว่านันโจอยู่ก็ตาม

ดังนั้นรินนะจึงไม่อยากที่จะรีรออะไรอีก ตอนนี้รินนะเข้าใจพลังของอีกฝ่ายแทบทั้งหมดแล้ว..

ให้มองว่าอีกฝ่ายมี ‘จิตวิญญาณ’ อยู่.. แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ใช่หรอก ซึ่งในตอนที่ร่างกายนี้ดับสูญลง

เจ้าอะไรบางอย่างที่คล้ายวิญญาณนี้จะโดดไปเข้าสิงร่างอื่นที่มันเตรียมไว้ ซึ่งรินนะเดาว่ามันคงมีพื้นที่พิเศษเหมือนที่มันสร้างพื้นที่นี้ขึ้นมาเพื่อเก็บร่าง

ความสามารถของมันไม่ได้ซับซ้อนมาก มันสามารถควบคุมทุกอย่างที่อยู่ในอาณาเขตของมันได้ รวมถึงร่างกายตัวมันเอง

นั่นหมายความว่ามันจะสามารถสั่งให้ร่างกายมันระเบิดหรือกลายเป็นน้ำพิษอะไรก็ได้ตามจินตนาการของมัน

และมันสามารถควบคุม ‘SPACE’ ได้.. แน่นอนว่าไม่สามารถควบคุมเวลา แต่ทุกอย่างที่เป็นพื้นที่ในอาณาเขตของมัน

มันสามารถบิดงอ โค้งรัดยังไงก็ได้..ตามใจของตนเอง ซึ่งแม้จะดูแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น เพราะคนที่สั่งให้พื้นที่หดหรือบีบรัดก็คือตัวของมันเอง

กล่าวคือแค่ตามการเคลื่อนไหวของมันทัน รินนะก็สามารถหลบการโจมตีของมันทั้งหมดได้ เพราะไม่ว่าจะความเร็ว พลัง การรับรู้ ทุกอย่างเธอเหนือกว่ามันทุกด้าน

ไม่สิ.. อีกอย่างหนึ่งที่รินนะคาดเดาไว้คือการรับรู้ของมัน.. แม้มันจะไม่รับรู้เร็วเท่ารินนะ แต่มันน่าจะรู้ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในอาณาเขตของมัน

แต่ถ้า..มันตามไม่ทัน มันก็ไม่รู้อยู่ดีนั่นเอง..

ร่างกายของรินนะพุ่งตรงดิ่งเข้าหาร่างของนันโจพร้อมกับกระแทกอย่างรุนแรง ร่างของนันโจแตกกระจุยกระจายกลายเป็นหมอกเลือดน่าหวาดกลัว

แต่ทว่ารินนะกลับขมวดคิ้ว.. ร่างกายของมันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่ว่าได้เลย เหมือนกับว่ามันสละร่างกายไปก่อนที่เธอจะโจมตีแล้ว

ซึ่งนี่คือสิ่งที่เหนือความคาดการณ์ของรินนะ เพราะรินนะคิดว่าร่างนี้ต้องตายก่อนมันถึงจะย้ายร่างได้ เพราะสังเกตจากตอนที่มันถูกจับหัว

แต่มันไม่ย้ายร่างทันที มันฆ่าตัวเองก่อนถึงจะย้ายร่าง..

ในจังหวะนี้รินนะถึงได้เข้าใจว่าโดนมันซ้อนแผนเข้าให้ เธอเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าตกใจและคาดไม่ถึง

ร่างของนันโจลอยอยู่เหนือหัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันยกมือสองข้างขึ้นตั้งท่าเหมือนกับกำลังจะถ่ายรูปด้วยมือเปล่า

มันหลับตาข้างหนึ่งพร้อมกับเปิดปาก

“ตายซะ”

ในตอนนั้นเอง..แว่นของมันก็หลุดออกจากหูเพราะก้มลงมามองรินนะในสภาพที่กลับหัว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างกายของรินนะรู้สึกขาดการควบคุม

ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนี้นั้นถูกบิดเบี้ยวและโค้งงอ ซึ่งในวินาทีที่แว่นของมันตกลงไปอยู่ข้างๆ รินนะ

ร่างกายของรินนะก็แข็งทื่อ.. เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งเธอก็กลายเป็นเหมือนภาพสองมิติไปพร้อมกับแว่นตา..

พร้อมกับร่วงลงไปที่พื้นและแตกกระจายกลายเป็นเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อย.. นันโจดีดตัวถอยออกมาพร้อมกับไอออกมาเป็นเลือด

“แค่ก… เป็นท่าที่ใช้พลังงานเยอะจริง”

ในโลกด้านนอกอาณาเขตของเขาแล้ว มันอาจจะไม่สามารถทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้.. แต่ทว่าในโลกแห่งวังวนของเขานั้น

มันมีสถานะบางอย่างที่ถูกเพิ่มขึ้นมา.. พูดให้ถูกเลยก็คือมิติในโลกของอาณาเขตเขาถูกสร้างเลียนแบบขึ้นมาจากของจริงด้วยสถานะบางอย่างที่ว่า

เขาเรียกมันว่า ‘สสารวังวน’ สสารนี้ก็ตามชื่อเลยมันแพร่กระจายอยู่ทุกที่ที่เป็นอาณาเขตของเขา เขาไม่สามารถควบคุมมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

เหมือนกับที่มนุษย์นั้นมีธาตุเหล็กในเลือด แต่ไม่สามารถควบคุมธาตุเหล็กในเลือดนั่นแหละ สสารตัวนี้มันจะสร้างพื้นที่หรือ ‘SPACE’ สามมิติขึ้นมาเพื่อเลียนแบบความจริง

แม้เวลาจะได้รับผลกระทบจากภายนอก.. แต่พื้นที่ในอาณาเขตของเขาก็ถูกเขาควบคุมผ่านสสารตัวนี้นั่นเอง

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาสามารถควบคุมพื้นที่ในอาณาเขตเขาได้.. แต่ท่าที่เขาพึ่งใช้ไปคือเขาฝืนควบคุมสสารวังวนที่ว่า

ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของวัตถุ.. อ่า ใช่ สาเหตุที่เขาสามารถควบคุมร่างกายโคลนของตัวเองได้ ก็เป็นเพราะร่างกายโคลนเขาถูกสร้างขึ้นจากสสารนี้

ร่างโคลนเขาจึงเป็นเหมือนวัตถุสามมิติในโลกแห่งวังวนนี้.. ส่วนวัตถุสามมิติจากโลกด้านนอกเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

เพราะนี่ไม่ใช่การสร้างมิติแยกออกมาโดยสมบูรณ์แต่อย่างใด.. มันก็แค่เป็นการสร้างพื้นที่ซ้อนทับเพื่อลวงตาเท่านั้นนั่นเอง

และสิ่งที่เขาพึ่งทำกับรินนะไปก็คือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของวัตถุให้รินนะกลายเป็นโครงสร้างสองมิติไป

แต่แน่นอนว่ามันคือโครงสร้างสองมิติในสามมิติ… พูดง่ายๆ ก็คือรินนะไม่ได้กลายเป็นตัวละครสองมิติ

แต่เธอแค่ถูกทำให้กลายเป็นกระจกพร้อมกับทุกอย่างในระยะที่นันโจโฟกัสเท่านั้นนั่นเอง และหากมันแตกออกเธอก็คงตายไปพร้อมกับตอนแตกนั่นแหละ

ข้อเสียของท่านี้ก็คือ.. อย่างแรกนันโจต้องรู้ก่อนว่าโครงสร้างร่างของอีกฝ่ายนั้นมีส่วนผสมของสสารวังวนแทรกแซงอยู่ด้วยแล้ว

หากไม่ละก็ ท่านี้ก็ไม่มีผล.. ในระหว่างที่ร่างกายโคลนที่อัดแน่นไปด้วยสสารวังวนตายคามือรินนะเขาใช้โอกาสนี้ควบคุมมันให้เขาไปในร่างอีกฝ่าย

เมื่ออยู่ในปริมาณที่พอเหมาะแล้ว.. เขาก็เลยทำได้.. แถมท่านี้จะใช้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาแบบมากๆ ไม่ได้

เพราะว่ามันคือการเปลี่ยนโครงสร้างวัตถุด้วยสสารวังวน.. หากอีกฝ่ายนั้นทรงพลังเกินกว่านันโจจะมีความสามารถมากพอที่จะบีบอัดให้โครงสร้างลดลง

คนที่จะบาดเจ็บสาหัสเพราะพลังย้อนกลับก็คงเป็นเขาเอง..

“แลละต่อให้สำเร็จ.. การควบคุมสสารวังวนมันก็ยังเป็นการฝืนพลังเกินไป”

นันโจส่ายหน้าพร้อมกับกุมขมับ.. การใช้ท่าเมื่อกี้เหมือนเขาใช้สมองในการนั่งนับโมเลกุลในอากาศแล้วก็พยายามใช้มือมันจับเปลี่ยนฐานะทีละอันพร้อมกันหลายแสนหลายล้านโมเลกุล

ท่านี้เป็นไม้ตายก้นหีบที่เขาพึ่งคิดค้นขึ้นมาได้ไม่ถึงสามเดือน.. และรินนะก็คือเหยื่อคนแรกที่สังเวยให้กับท่านี้

เขาทิ้งตัวลงไปหาเศษกระจกเพื่อที่จะตรวจสอบว่าอีกฝ่ายตายดับสนิทแล้วหรือไม่นั่นเอง.. ไม่รู้ว่าเพราะที่แห่งนี้เงียบไปหรือเพราะหูของเขาอื้ออึง

เพราะมันเงียบมาก.. แต่ในช่วงเวลาที่เขาไม่ควรจะได้ยินอะไรนี้เขาก็เหมือนได้ยินเสียงของบางอย่างที่ดังขึ้นข้างหูของเขา

มันเป็นเสียงของ ของเหลว ที่ร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงตกลงที่บ่าของเขา.. เมื่อเขามองไปที่ชุดตัวเอง.. ก็พบว่าตรงนั้นมีหยดของเหลวสีแดงอยู่หนึ่งหยด

มันไม่ซึมเข้าไปในผ้าหนาของเขา.. แน่นอนว่าไม่ว่าจะสีหรือกลิ่น หยาดสีแดงฉานนี้ เขาสามารถระบุได้ทันทีว่ามันคือหยาดโลหิต มันคือหยดเลือด.. และหยดเลือดที่ดูธรรมดานี้ มันกลับให้ความรู้สึกประหลาด หัวใจเของเขาเริ่มกระสับกระส่าย ในวินาทีที่สายตาเขาจ้องไปยังหยดเลือด เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าหยดเลือดนี้มองมาที่เขาเช่นเดียวกัน…

ความคิดบางอย่างแล่นเขามาในหัวของเขา

“ไม่—”

ก่อนที่ทันจะได้กล่าวอะไร ภาพอันน่าสยดสยองก็มาเยือนโดยไม่ได้เตือน—