ตอนที่ 44 น้ำท่วมปาก
ภายในห้องที่ไร้เสียง สายตาผู้คนต่างมองไปยังเจียงเชี่ยน
เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกโล่งในใจไปหนึ่งเปราะ
เป็นเช่นนี้เอง แท้จริงแล้วไก่ฟ้าสีทองในนิมิตฝันนั้นก็คือหลานรองนี่เอง!
ลมโชยอ่อนทำให้ผมที่คลอเคลียอยู่บนหน้าผากของเจียงเชี่ยนพลันถูกเปิดขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียว
“เหตุใดถึง….” เจียงเชี่ยนร้องขึ้น พลางหันมองไปที่เซียวซื่อทันที
ในตอนนี้ในหัวของนางนั้นว่างเปล่า แม้แต่สัมผัสทั้งห้าก็ด้านชาไปหมด แต่แล้วก็มีความคิดหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัว หลิวเซียนกูไม่ได้ถูกท่านแม่ซื้อตัวไปแล้วหรอกหรือ เหตุใดนางถึงกลายเป็นคนที่มีสิ่งชั่วร้ายไปได้ล่ะ
“เซียนกูทำอะไรผิดพลาดไปใช่ไหม” ใบหน้าเซียวซื่อได้แข็งทื่อไปแล้ว คำว่า ‘ผิดพลาด’ สองคำนี้นางตั้งใจใช้น้ำเสียงเน้นย้ำเป็นพิเศษ
หลิวเซียนกูสีหน้านิ่งเรียบ “ไท่ไท่กล่าวน่าขัน คนสามารถทำผิดได้ แต่ติ่งหุนหลิงไม่มีทางที่จะทำผิดพลาด”
“แต่ว่านี่ไม่ควร…” สายตาเซียวซื่อมองไปที่กระดิ่งในมือของหลิวเซียนกู แล้วขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “กระดิ่งนี่ เสียหรือเปล่า”
หลิวเซียนกูหัวเราะพลางก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นชูกระดิ่งที่ด้านหน้าของเจียงเพ่ยแล้วจึงเขย่า
เสียงดังของกระดิ่งดังขึ้นมาอีกครั้ง
นางเดินถอยลงไป แล้วเขย่ากระดิ่งที่เจียงเชี่ยนใหม่อีกครั้ง
กระดิ่งเงียบราวกับเป็นใบ้ ไม่มีแม้แต่ส่งเสียงอะไรออกมา
ฉากเหตุการณ์เหล่านั้นเงียบลงอีกครั้ง พร้อมกับความอับอายอย่างสุดจะพรรณนาและความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักในความเงียบ
“เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเจียงเชี่ยน เซียนกู…” เซียวซื่อกุมมือแน่นจนบนหลังมือมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา “เซียนกู!” นางกัดฟันแน่นเมื่อเอ่ยสองคำนี้
หลิวเซียนกูโค้งเคารพเซียวซื่อ “ไท่ไท่ ท่านไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะสามารถตัดสินได้”
คำพูดนี้นางพูดความจริง นางจะต้องตัดสินทำไมในเมื่อนางตั้งใจทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้
“เซียนกูไหนๆ ก็หาสิ่งชั่วร้ายเจอแล้ว ก็เชิญทำพิธีขับไล่ต่อเถิด”
“เหล่าฮูหยิน…”
“พอได้แล้ว!” เฝิงเหล่าฮูหยินพูดตัดบทเซียวซื่ออย่างไม่เกรงใจ พร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เซียนกูเป็นคนที่เจ้าเชิญมา เจ้าจะไม่ยอมรับผลเช่นนั้นหรือ”
เซียวซื่อริมฝีปากสั่นระริก โดยไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
แม้นางกำลังกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ในครั้งนี้นางดันหาเรื่องใส่ตนเองแท้ๆ
หลิวเซียนกูเป็นคนที่นางเชิญมา แต่เมื่อสอบสวนคนที่ทำร้ายท่านเหล่าฮูหยิน ท้ายที่สุดคนผู้นั้นกลับกลายเป็นลูกสาวของนางเสียเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่ต้องจ่ายเงินให้หลิวเซียนกูแล้วใช่หรือไม่
เป็นครั้งแรกที่เซียวซื่อเข้าใจถึงความรู้สึกถึงรสชาติที่ของคนที่น้ำท่วมปาก ใบหน้าที่ไร้อารมณ์มองไปยังหลิวเซียนกูอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นเชิญเซียนกูรีบทำพิธีเถิด โรคของท่านเฝิงเหล่าฮูหยินจะได้ดีขึ้นได้โดยเร็ว”
หลิวเซียนกูนั้นมีพลังวิเศษก็จริง แต่นางกลับไม่เชื่อว่าดวงตาของเหล่าฮูหยินจะดีขึ้นเพียงเพราะการทำพิธีนั่น ครั้นถึงตอนนั้นค่อยบอกกับเหล่าฮูหยินว่าเรื่องของหลิวเซียนกูนั้นไม่เป็นความจริง จากนั้นค่อยเชิญคนมาใหม่
แน่นอนว่า ถ้าหากเรื่องที่จะให้ชี้ที่เจียงจั้นนั้นเกิดผิดพลาดขึ้นมา หลังจากทำพิธีไปแล้วดวงตาของเหล่าฮูหยินไม่ดีขึ้นนางก็จะเปลี่ยนอีกวิธีหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเริ่มแล้วนะ” หลิวเซียนกูเอากระดิ่งมาตรงที่หน้าอก ในมือสั่นกระดิ่งไม่หยุดแล้วเดินวนรอบเจียงเชี่ยน
ส่วนคนอื่นต่างถอยออกห่างไปโดยไม่รู้ตัว
เจียงเชี่ยนที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวตรงนั้น ยามฟังคำสวดของหลิวเซียนกู จากใบหน้าที่ขาวก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วจากแดงก็เปลี่ยนเป็นขาว ราวกับจานสี
“ออกไป!” ไม่รู้ว่าเดินวนไปนานเท่าไหร่ จู่ๆ หลิวเซียนกูก็ยกมือขึ้นมา พร้อมกับในมือที่มีเปลวเพลิงลุกโชน
เสียงอุทานดังขึ้นไม่หยุดพัก
มือที่มีเปลวไฟถูกวางลงบนหัวไหล่ของเจียงเชี่ยน
อ้ากกก เจียงเชี่ยนร้องขึ้นอย่างคุมตัวเองไม่ได้
ที่แปลกคือ จู่ๆ เปลวไฟนั้นก็ดับลงไปเสียอย่างนั้น ทั้งเสื้อผ้าของเจียงเชี่ยนก็ไม่ถูกไหม้เลยแม้แต่น้อย
“นั่นอะไร”
เฝิงเหล่าฮูหยินหรี่ตามอง
ตำแหน่งหัวไหล่ของเจียงเชี่ยนค่อยๆ ปรากฏปานสีแดงขึ้นมา สีแดงนั้นยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันเป็นเลือดสด
ผ่านไปหลายชั่วยาม สีแดงวงนั้นก็ค่อยๆ จางลง จนที่ท้ายสุดก็จางหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“เรียบร้อยแล้ว สิ่งชั่วร้ายได้ถูกขับไล่ออกไปแล้ว ภายในสามวันดวงตาของท่านเฝิงเหล่าฮูหยินจะดีขึ้น” หลิวเซียนกูถอนหายใจเล็กน้อย แล้วพูดยิ้มๆ กับเฝิงเหล่าฮูหยิน
“จริงหรือ” เฝิงเหล่าฮูหยินรีบถามโดยพลัน
หลิวเซียนกูทำสีหน้ายากที่จะเข้าใจพลางยิ้มและพยักหน้าตอบ แต่หางตากลับมองไปที่เจียงซื่อ
นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะดีขึ้นหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษน้อยตนนั้นพูดเอง
ในวันนั้นท่ามกลางโรงน้ำชาแห่งเทียนเซียง บรรพบุรุษน้อยผู้นั้นเอ่ยว่าตราบใดที่นางทำตามคำแนะนำ ดวงตาของเหล่าฮูหยินแห่งตงผิงปั๋วก็จะหายภายในสามวัน จากนั้นนางก็จะกลับกลายมาเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและโชคลาภอีกครั้ง
ทั้งบีบบังคับและหลอกล่อ จนหลิวเซียนกูต้องยอมเออออแต่โดยดี
“เซียนกู ลำบากท่านแล้ว” เฝิงเหล่าฮูหยินยิ้มอย่างจริงใจ แล้วมองเชิงให้สัญญาณไปที่อาฝู
อาฝูถือเหอเปาที่แน่นเอียดขึ้นมา
“ข้าเหนื่อยแล้ว เซียวซื่อ ในสองวันนี้เจ้าจงดูแลเซียนกูให้ดี อย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด” เฝิงเหล่าฮูหยินพูดสั่ง
เนื่องจากหลิวเซียนกูกล้าเอ่ยต่อหน้าทุกคนว่าดวงตาของนางจะหายภายในสามวัน นางจึงเชื่อเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับนางด้วย คิดได้เช่นนั้น จึงให้หลิวเซียนกูอยู่ที่จวนเป็นเวลาสามวัน
นี่นางยังต้องอยู่ต่ออีกหรือ
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นหลิวเซียนกูก็พลันตกตะลึง ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางได้ฝึกความหน้าด้านหน้าทนมาบ้าง ในตอนนี้นางคงได้เผยพิรุธหลุดออกมาเป็นแน่
ฉะนั้น นางต้องไม่มองไปที่เจียงซื่อเป็นอันเด็ดขาด
สาวน้อยสดใสราวกับต้นไห่ถังที่ผลิบานยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาพี่สาวน้องสาว ใบหน้าที่ไร้อารมณ์พลางทำมือเป็นตัวเลข ‘หก’
ขุดสุสาน ปล่าวข่าวลือ
หกคำนี้…อีกแล้ว
หลิวเซียนกูได้แต่นิ่งเงียบ “…”
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านจริงๆ” หลิวเซียนกูทำเคารพเซียวซื่อ
“เซียนกูไม่ต้องเกรงใจ หากดูแลขาดตกบกพร่องที่ใด ได้โปรดให้อภัยด้วย” เซียวซื่อพูดกัดฟันพร้อมกับสายตาเยือกเย็นที่มองไปยังหลิวเซียนกู
เฝิงเหล่าฮูหยินพูดอย่างไม่สบายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลเซียนกูให้ดีๆ ล่ะ”
เซียวซื่อทำตัวไม่ถูกทันที
ซานไท่ไท่กัวซื่อที่อยู่ด้านข้างหลุดหัวเราะขึ้นมา
นานมาแล้วที่นางไม่ได้เห็นเอ้อร์ไท่ไท่เสียหน้าถึงเพียงนี้ ครั้งล่าสุดก็เป็นเพราะคุณหนูสี่ หรือว่านี่จะกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
อืม…พอคิดดูแล้วก็รู้สึกสะใจเหลือเกิน
“ลูกรับทราบเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินพยักหน้า พลางเบือนหน้ามองไปที่เจียงเชี่ยน
ในตอนนี้ตั้งแต่ถูกจู่โจมไปคราวนั้น เจียงเชี่ยนก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา จิตใจล่องลอยแล้วพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ท่านย่า…”
เฝิงเหล่าฮูหยินเผยสีหน้ารังเกียจออกมาโจ่งแจ้ง พร้อมกับพูดเสียงนิ่งเรียบ “เจียงเชี่ยน ข้าเคยพูดไปตั้งนานแล้วว่าเจ้าเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องกลับมาที่บ้านแม่อีก เพื่อไม่ให้คนในจวนโหวต้องกล่าวหาว่าเจ้าทำตัวไม่สมกับเป็นภรรยาที่ดี”
เจียงเชี่ยนเซเล็กน้อย แล้วกัดริมฝีปากตอบกลับ “หลานเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ระหว่างท่านแม่กับหลิวเซียนกูมีอะไรผิดพลาดกันแน่ ความอัปยศนี้นางจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
“พาข้าเข้าห้องเถิด แล้วตรงนี้เรียกก็คนมาเก็บกวาดให้เรียบร้อยเสีย”
หลังจากที่เฝิงเหล่าฮูหยินกลับเข้าห้องไปแล้ว ทุกคนในห้องต่างก็แยกย้าย ก่อนที่จะไปก็อดไม่ได้ที่จะมองเจียงเชี่ยน
หลังจากนี้ เจียงเชี่ยนคงถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับเฝิงเหล่าฮูหยินแล้ว
ในขณะที่เจียงจั้นเดินออกไปพร้อมกับเจียงซื่อ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอ่ยทักที่ดังมาจากด้านหลัง “น้องรอง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
นี่คือคุณชายใหญ่เจียงชัง พี่ชายฝาแฝดของเจียงเชี่ยน
เจียงเชี่ยนก้มหน้าพลางพูดอะไรบางอย่าง ทำให้คนด้านหลังฟังไม่ชัดนัก
“ถามตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า”
ครั้นเห็นเจียงซื่อมองมายังเขา เจียงจั้นเบะปากพร้อมกับเอ่ยขึ้น “หากนางแม่มดนั่นกล้าพูดว่าเป็นเจ้าล่ะก็ ข้าจะสั่งสอนให้นางจำอะไรไม่ได้เลย ดูสิว่ายังจะกล้าปลอมตัวเป็นเทพไล่ภูตผีหลอกผู้คนอยู่หรือไม่!”
เจียงซื่อยิ้มกริ่มปนหัวเราะออกมา “ข้ารู้ว่าพี่รองยอดเยี่ยมที่สุด”
เจียงจั้นคิดไม่ถึงว่าเจียงซื่อจะชมตนเองตรงๆ เช่นนี้ ใบหูแดงฉาดแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “น้องสี่ก็ไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของแม่มดนั่นเหมือนกันใช่หรือไม่
สาวน้อยทำหน้าไร้เดียวสาพลางเอ่ยตอบ “ข้าเชื่อนะ”
“อะไรนะ” เจียงจั้นที่ได้ยินดังนั้น แทบจะล้มทั้งยืนไปเสียตรงนั้น