“คุณ คุณเมาแล้วใช่ไหม?”
มู่เทียนซิงไม่อยากจะเชื่อ ว่าชายคนนี้มีดวงตาลุ่มลึกเกินกว่าจะอ่านได้ จะมาบอกเรื่องความรู้สึกกับเธอแบบนี้
ในใจก็นึกชอบ แต่ว่าก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
แต่เมื่อลองคิดถึงคำพูดของเขาอีกครั้ง เธอเองก็เริ่มสับสนขึ้นมา
จริงด้วย พวกเขาจะทำยังไง?
ถ้าอยู่ด้วยกันพ่อแม่เสียใจ ตระกูลเมิ่งก็เสียใจ
แต่ถ้าแยกกัน เขาจะเสียใจ
มู่เทียนซิงสับสน เธอจะบอกกับเมิ่งเสี่ยวหลงยังไง จะเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม? ยังคิดไม่ออกเลย
อย่างน้อยตระกูลเมิ่งก็ยอมทำเพื่อเธอถึงขั้นนี้!
นี่คือความเป็นเพื่อน
“ห้ามคิดถึงผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉัน!”
หลิงเล่ขมวดคิ้วแน่น หรี่ตามองเธอด้วยสายตาบ่งบอกถึงอันตราย อาจเพราะคิดว่าตัวเองหายใจแรงขึ้น เลยกลอกตาไปมาอีกครั้ง เสียงนุ่มดังขึ้นอีกหน “ถ้าเธอยังคิดไม่ออก ฉันลองคิดมาให้เธอแล้ว อยากลองฟังดูไหม?”
มองท่าทางอ่อนโยนของเขามู่เทียนซิงก็คิดถึงเมื่อก่อน เลยรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังแสดงละครอยู่
เขาไม่มีทางพูดดีขนาดนี้หรอก
เขามันคนใจดำ ทุกครั้งเขาจะอ้อมค้อมไปอ้อมค้อมมา อ้อมจนเธอเองก็โดนดึงเข้าไปด้วย
แต่กลับ
สุดท้ายก็ทนไม่ไหว อยากจะรู้!
“คุณลองพูดมาสิ!”
เธอตั้งใจพิงหลังไปกับหัวเตียง เชิดคางขึ้นแล้วหยิบหมอนอีกใบมากอดไว้ท่าทางเย่อหยิ่ง ก็แค่อยากจะเตือนเขาเอาไว้ว่าอย่าคิดว่าเธอนั้นเป็นคนโง่
หลิ่งเล่กัดปากของตัวเองทำท่าลำบากใจ แล้วก็เงียบ
เธอโยนหมอนใส่เข้า “คุณรีบๆพูดสิ!”
เขารับหมอนเอาไว้ แล้วก็เลียนแบบท่าทางที่เธอทำเมื่อกี้ แถมดูน่ารักดี ทำให้การ์ดที่มู่เทียนซิงพยายามสร้างเมื่อกี้พังครืนลงมา
“แค่กๆ ฉันแค่คิดว่า เมื่อก่อนพวกเราเคยหมั้นหมายกัน เธอเองก็เคยไปนอนที่บ้านฉัน ดังนั้นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมันสามารถให้อภัยกันได้ เพราะว่าตอนนั้นพวกเรามีสถานะเป็นคู่หมั้น
เขาค่อยๆพูดขึ้นมาช้าๆ แล้วก็ค่อยๆมองสีหน้าของเธอไป
แล้วพูดต่อว่า “เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะกำจัดเรื่องวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้าให้สิ้นซาก ฉันคิดออกแค่วิธีเดียวก็คือทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก!”
มู่เทียนซิงมองหน้าเขาตาแป๋ว รอเขาพูดจบเธอถึงกับตัวแข็งทื่อ
ทันใดนั้นเธอก็กระโดดขึ้นมาจากเตียง พุ่งตัวตรงไปทุบอกกับหลังของเขา “คุณมันคนบ้าไปแล้ว! สิ่งที่คุณคิดออกมานี่มีแต่ความคิดของคนเลวทั้งนั้น! คุณ”
แต่เขากลับรวบสองมือของเธอเอาไว้ได้ง่ายดาย แล้วดึงตัวเธอเข้ามากอดเอาไว้ “อย่าดื้อ เด็กดี!”
“คุณปล่อยฉันนะ!”
“ทำไมฉันถึงชอบผู้หญิงปากร้ายอารมณ์ร้ายแบบเธอกันนะ”
“คุณว่าใครปากร้าย?”
“เดี๋ยวก็มีอาการวัยทอง เดี๋ยวก็อารมณ์หงุดหงิดเพราะมีประจำเดือน น้อยมากที่เธอมีอารมณ์ปกติคงเส้นคงวา ดูแล้วสงสัยฉันยังจะทำได้ไม่ดีพอ ยังไม่ได้ทำให้เธอกระชุ่มกระชวยมากพอ!”
“หลิงเล่! อื้อ”
เขาหันหน้ากลับมากัดริมฝีปากของเธอเบาๆ
จมูกยังได้กลิ่นสุราข้าวหอมอ่อนๆ ตอนที่เธอกำลังจ้องเขาอย่างโมโหและรู้สึกอาย เขาถึงได้ถอนหายใจเบาๆ สายตาของเขามีแววของความเหนื่อยหน่าย
“ก็แค่บอกพวกเขาไปแบบนั้น ไม่ได้จะทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกจริงๆสักหน่อย เมื่อก่อนพวกเราเคยเป็นคู่หมั้นกันแล้วกำลังจะแต่งงาน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีความสัมพันธ์แบบนั้นเกิดขึ้น มันก็เป็นเรื่องปกติ และหลังจากที่พวกเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว ต่อให้ตระกูลเมิ่งกับตระกูลหลิ่งอยากจะให้ฉันกับเธอยกเลิกงานแต่งแค่ไหน แต่ว่าเธอเป็นคนของฉันไปแล้ว ดังนั้นตอนนนั้นต่อให้พวกเขาพูดว่ายกเลิกก็ไม่มีประโยชน์ เธอเข้าใจรึยัง?”
มู่เทีนยซิงพยายามทำใจให้เย็นลง แล้วคิดทบทวนคำพูดของหลิงเล่
ช่วยไม่ได้ที่ต้องพูดว่าแผนการของเขามันมีประโยชน์มากๆ แต่ว่า เธอเองก็ทนดูเมิ่งเสี่ยวหลงเสียใจไม่ได้!
มองหน้าตาเศร้าสร้อยน้อยๆของเธอ หลิงเล่หลุดหัวเราะคิกคักออกมา “เจ็บแป๊บเดียวดีกว่าเจ็บไปอีกนานนะ เรื่องแบบนี้เธอยืดเยื้อให้เรื่องมันยิ่งนานขึ้น สำหรับคนอื่นที่ถูกกำหนดให้ต้องรอก็จะยิ่งเจ็บ”
อยู่ๆมู่เทียนซิงก็เงียบ
เธอซุกอยู่กับอกของเขาเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ เธอถึงได้ขยับจากอ้อมกอดของเขาเปลี่ยนเป็นไปนั่งอยู่ข้างๆเขาแทน
หลิงเล่อดทนนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอ
เสียงของเธอเบามาก มันนุ่มนวลราวกับว่ากำลังอยู่ในฝัน “คุณอา คุณอาคิดยังไงกับฉันกันแน่คะ? แล้วมันจะเป็นแบบนั้นไปนานแค่ไหน?”
หลิงเล่มองเธอผ่านหางตา ค่อยๆพิจารณาใบหน้าด้านข้างของเธอ
ยัยเด็กคนนี้ นี่กำลังคิดจะใช้โอกาสนี้บังคับให้เขาสารภาพหรือไง?
ตอนที่เขากำลังจะพูด เธอก็ถอนหายใจขึ้นมาอย่างเศร้าๆ “ฉันไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ฉันกับเสี่ยวหลงโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนที่ฉันเกิดมาพ่อแม่ของเขาก็อุ้มเขามาดูฉันที่โรงพยาบาล พวกเราเคยอาบน้ำในอ่างเดียวกัน เคยหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เคยกินข้าวในถ้วยเดียวกัน ความรู้สึกพวกนั้นมันเหมือนกับว่าเขาคือคนที่ฉันสนิทด้วยมากที่สุดในโลก ฉันคิดมาตลอดว่าเขาคือรักแรกของฉัน และฉันเองก็ควรจะรักผู้ชายแบบเขามากที่สุด
มือของหลิงเล่ที่กำลังนอนอยู่บนขอบเตียงกำขึ้นหลวมๆ
ตอนที่เธอเงียบไปเพราะกำลังจมอยู่กับความทรงจำของตัวเอง เขาก็กัดฟันถามขึ้นมา “เรื่องที่พวกเธอเคยอาบน้ำในอ่างเดียวกัน เคยหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เคยกินข้าวในถ้วยเดียวกันน่ะ มันตั้งตอนอายุเท่าไหร่?”
“เอ๋?” เธอมองหน้าเขาหงุดหงิด “ทำไมถึงขัดจังหวะฉันพูดล่ะ ฉันกำลังตั้งใจจะพูดกับคุณดีๆ!”
“เธอตอบฉันมาก่อนสิ!”
“คุณฟังฉันพูดให้จบก่อน ได้ไหม? ทุกวันเวลาอยู่กับคุณทีไรต้องทะเลาะกันทุกที ฉันอุตส่าห์ยอมเปิดใจคุยกับคุณ ทำไมคุณถึง”
“เธอก็ตอบคำถามฉันมาก่อน! ตอบฉัน!”
เขาทำตัวไม่มีเหตุผลเหมือนกับเด็ก เอาแต่สนใจเรื่องคำถามก่อนหน้านี้ พยายามถามซ้ำไปมาถ้าไม่ได้คำตอบก็จะไม่ยอมเลิกถาม
มู่เทียนซิงทนไม่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ บรรยากาศดีๆเมื่อกี้ก็โดนทำลายไปจนหมด
เธอกำลังจะพูดว่า นั่นคือเรื่องก่อนหน้านั้น แต่พอหลังจากที่เขาปรากฏตัว เธอก็พบว่าการชอบใครสักคนจริงๆมันไม่ใช่แบบนั้น
แต่ว่าผู้ชายคนกลับเป็นบ้าขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมา
เธอกุมหัวเอาไว้ ปีนกลับขึ้นไปบนเตียงแล้วเอาผ้าคลุมโปง ไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว!
“มู่เทียนซิง เธอมาพูดให้มันชัดเจน!”
หมอนใบหนึ่งลอยมาโดนตรงหัวเธออย่างพอดิบพอดี
เธอยืดแขนปัดหมอนให้ไปตกลงข้างๆแทน พลิกตัวแล้วก็หลับต่อ!
“มู่เทียนซิง! เธอตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! ห้ามหลับ! เธอตื่นขึ้นมาตอบฉันเดี๋ยวนี้เลย! เรื่องที่พวกเธออาบน้ำด้วยกันมันคือเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“มู่เทียนซิง เธอมันยัยคนชั่ว!เธอรีบตอบคำถามของฉันมาสิ!”
“มู่เทียนซิง!”
นอกห้อง
ที่ห้องรับแขกพวกจั๋วหรันยืนทำหน้าไม่ถูก ฟังซือซ่าวตะโกนโหวกเหวกก็นั่งกันไม่ติด แต่ว่าพอไม่มีคำสั่งจากซือซ่าวใครก็ไม่กล้าเข้าไป
จั๋วซียักไหล่หวั่นๆ “ดูนายกับพี่สะใภ้ชีวิตดีขนาดนี้ ฉันเองก็คิดว่าควรจะแต่งงานได้แล้ว แต่ว่าพอเห็นซือซ่าวกับคุณหนูมู่รักกันแบบนี้ ความคิดที่อยากจะมีความรักฉันก็หายไปเสียเฉยๆ แถมยังไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ใครข่มเหงใครกันแน่”ซือซ่าวกับคุณหนูมู่รักกันแบบนี้ ความคิดที่อยากจะมีความรักฉันก็หายไปเสียเฉยๆ แถมยังไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ใครข่มเหงใครกันแน่”
ฉวีซือเหวินถอนหายใจ สุดท้ายก็ลองเดินไปเคาะประตู “ซือซ่าว คุณหนูมู่ ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ?”