บทที่62 การสารภาพรักของซือซ่าว
ยังไงเสียฉวีซือเหวินก็เป็นผู้หญิง และห้องนั้นก็เป็นห้องนอนแถมข้างในก็ยังมีคุณหนูมู่อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นให้เธอเป็นคนเคาะประตูเหมาะที่สุดแล้ว
แต่ว่าหลังจากที่เธอมาเคาะประตูห้องเสียงโวยวายในห้องก็สงบลง
เธอลองเงี่ยหูฟัง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
จั๋วหรันกวักมือเรียกเธอ เธอเองก็ยอมกลับไปแต่โดยดี
ภายในห้อง
มู่เทียนซิงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็ลุกขึ้น
ตอนนี้เธอเพิ่งจะนึกออก ภายในบ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่เธอกับหลิงเล่ ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
หลิงเล่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังซะขนาดนี้ เขาไม่อาย แต่เธออาย
เธอใช้สายตาอ้อนวอนมองหลิงเล่ เธอขยับตัวไปทางเขาอย่างระวังตัว แค่ขยับเข้าไปใกล้ๆ ร่างเล็กๆก็โดนเขารวบตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง
เขาโกรธจนกัดปลายจมูกของเธอไปเบาๆครั้งหนึ่ง เธอหลบ แล้วกระซิบเสียงอ่อนอยู่ที่ข้างหูเขา “เรื่องที่เคยอาบน้ำในอ่างเดียวกันแล้วก็เคยนอนอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกัน มันตั้งแต่ตอนที่ฉันอายุ5ขวบ”
ตอนนี้สีหน้าของหลิงเล่ถึงได้ดูดีขึ้น
เขาเก็บอารมณ์ทั้งหมด เสร็จแล้วถึงฝังใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองไปกับซอกคอของเธอ เอ่ยขึ้นเสียงเบา “อืม ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะอาบน้ำอ่างเดียวกันหรือนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เรื่องพวกนั้นเธอทำกับฉันได้แค่คนเดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์!”
ไม่รู้ว่ามู่เทียนซิงอารมณ์ดีหรือคิดว่ามันตลก ถึงได้มองบนใส่เขา
เธอยกมือขึ้นไปลูบคางเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกของเขา เธอจ้องเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังของเขา“คุณอาเรื่องขาของคุณอาเคยไปหาหมอเฉพาะทางบ้างหรือยังคะ? เขาวินิจฉัยออกมาชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีทางกลับมายืนได้อีก หรือว่าในอนาคตยังพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง?”
ความอ่อนโยนในนัยน์ตาของหลิงเล่ค่อยๆหายไปและเขาใช้สายตาระแวดระวังมองมาทางที่เธอ “ทำไมหรือ?”
“คุณอาอย่าเข้าใจผิด! ฉันไม่ได้หมายความว่าฉันรังเกียจคุณ” เธอรีบตั้งใจอธิบาย “เมื่อก่อนฉันเองก็ไม่เคยมีแฟนน มีก็แค่พี่เสี่ยวหลงที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าพอมาเจอกับคุณอา ฉันก็เพิ่งได้รู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นมันก็แค่เรื่องที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเข้าใจผิด มันไม่ใช่ความรัก”
เขากำข้อมือขอเธอเอาไว้เบาๆ เงียบแล้วก็รอฟังเธอพูดต่อ
เธอหลุบตาต่ำอีกครั้ง ไม่กล้าสบสายตาร้อนแรงดั่งไฟของเขา พูดขึ้นมาอย่างลำบากใจ “ฉัน ฉันชอบคุณอาค่ะ! แต่ว่าความรู้สึกชอบมันเพิ่งจะเริ่มขึ้น อาจจะยังเรียกว่ารักไม่ได้ ตอนที่เห็นคุณอยู่คนเดียว ตอนที่ได้ยินคนอื่นคนอื่นพูดถึงเรื่องวัยเด็กของคุณ ตอนที่ฉันเห็นคุณเศร้า ฉันมักจะปวดใจทุกๆครั้ง”
หลิงเล่เหมือนจะโดนทำให้ตกใจไปแล้ว นัยน์ตามืดดำของเขามีประกายเปล่งออกมา จ้องเธอตาไม่กะพริบ!
ปากสีชมพูอ่อนเผยอขึ้นน้อยๆ เหมือนกับจะพูดอะไร แต่ก็กลัวว่าจะขัดจังหวะสิ่งที่เธอจะพูดออกมา
มู่เทียนซิงหลุบแพขนตาลงต่ำ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่มีความรักร้อนแรงมองมาที่เธอ ใบหน้าของเธอก้มลงต่ำขึ้น เอ่ยเสียงเบา “ถ้าในตอนนี้ฉันต้องเลือกระหว่างพ่อแม่กับคุณ ฉันเลือกพ่อกับแม่ ยังไงเสียพวกเขาก็เป็นคนที่รักฉันมากที่สุดแล้วก็ยังเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุดในตอนนี้ ดังนั้นฉันก็เลยอยากรู้ว่าคุณยังจะยืนขึ้นได้อีกหรือเปล่า ยืนในจุดของพ่อแม่ ไม่มีใครคาดหวังว่าลูกสาวของตัวเองจะคบกับผู้ชายที่ต้องใช้รถเข็นหรอกค่ะ ที่ฉันพูดแบบนี้ ไม่ใช่เพราะว่าฉันรังเกียจคุณ ก็แค่คิดว่าอยากจะเอาสิ่งที่อยู่ในใจของฉันบอกกับคุณให้ชัดเจน”
มือของเธอกำแน่นอยู่ที่ปกเสื้อของเขา สีหน้าดูเป็นกังวล
ปากสีแดงระเรื่องในตอนแรก ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว “พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไป ฉันจะบอกกับพี่เสี่ยวหลงให้ชัดเจน แล้วฉันก็จะคุยกับพ่อแม่ ถ้าเกิดพวกเขารับเรื่องคุณไม่ได้ ฉัน ฉันจะพยายามพูดให้ แต่ว่าถ้าเกิดทะเลาะกันจนฉันต้องเลือกระหว่างพ่อแม่กับคุณ คุณอา ฉันทำได้แค่…..”
ประโยคที่เหลือ มู่เทียนซิงไม่ได้พูดออกมา
เพียงแค่คิดว่าจะต้องแยกกับหลิงเล่ ในใจของเธอก็เจ็บปวด
แต่ว่าในฐานะของลูกสาว พ่อแม่กว่าจะเลี้ยงเธอมาจนโตก็ยากลำบาก เธอคงจะไม่สามารถทิ้งพ่อแม่เพื่อผู้ชายที่เธอเพิ่งจะเจอแค่ไม่กี่วันได้
ไม่ว่ายังไงก็ตามมู่เทียนซิงไม่อาจจะทำเรื่องแบบนี้ได้
เธอรู้ดี การจบความสัมพันธ์ๆหนึ่งจะเสียใจไปแค่ช่วงหนึ่ง แต่ว่าถ้าตัดความสัมพันธ์กับคนที่ให้กำเนิดเธอมาเธอจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
น้ำตาของเธอไหลมากองรวมกันอยู่ที่ขอบตา เธอพยายามสูดน้ำมูก “หนูไม่อยากแยกกับคุณอา แต่ว่าหนูทิ้งพ่อกับแม่ไปไม่ได้ พวกเขารักหนูขนาดนั้น คุณอา คุณอาจจะโกรธหนูไหม? ขาของคุณอา จะหายหรือเปล่า?”
อยู่น้ำตาเธอก็ไหล
หลิงเล่หันมาจูบลงบนแก้มของเธอ กระซิบกับเธอเสียงเบา “ไม่ร้องไห้นะ เด็กดี อย่าร้องไห้ไปเลย”
มู่เทียนซิงเหลือบตาขึ้นมามองเขา แต่แล้วเธอก็เสตามองไปทางอื่นไม่กล้ามองเขา
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น มากกว่าครั้งก่อนๆที่เธอเคยได้เห็น
หลิงเล่จูบใบหน้าของเธอซ้ำๆ ทั้งยังยกมือช่วยเช็ดน้ำตาให้เธอ อยู่ๆเขากลับหัวเราะขึ้นเบาๆช่วยปลอบเธออย่างอ่อนโยน “แค่เธอพูดว่าชอบฉัน พูดว่าเป็นห่วงฉัน สำหรับฉันแค่นั้นก็พอแล้ว ถ้านี้ยังไม่ใช่ความรักก็ไม่เป็นไร แค่ฉันรักเธอก็พอแล้ว”
“คุณอา~”
“ฉันรู้ว่าตั้งแต่เด็กจนโตเธอโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นและพร้อมหน้า แน่นอนว่ามันแตกต่างจากฉัน เธอทำใจทิ้งพ่อแม่ของเธอไม่ได้ ฉันเข้าใจ เธอคงไม่รู้ว่าฉันอิจฉาเธอแค่ไหน อิจฉาที่เธอมีพ่อแม่คอยรักคอยเป็นห่วง ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ถ้าเธอต้องเลือกพ่อแม่แล้วก็ทิ้งฉัน ฉันจะไม่โทษเธอ สิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่พยายามไม่แทรกระหว่างเธอกับพ่อแม่ ไม่ทำให้เธอต้องลำบากใจ”
เพราะคำพูดของเขาน้ำตาของเมิ่งเทียนซิงไหลออกมามากกว่าเดิม
ที่เธอพูดกับเขาแบบนั้น ไม่ใช่เพราะตั้งใจจะทำร้ายเขา
ทำไมถึงได้รู้สึกว่า เธอทำร้ายเขาไปแล้ว?
หลิงเล่มองเข้ามาในตาของเธอ สายตาของเขาจริงจังกว่าเดิม “พ่อแม่ของเธอรักเธอเป็นห่วงเธอ เธอก็สมควรแล้วที่จะกตัญญูต่อพวกท่าน แม่ของฉันจากไปเร็ว มีพ่อแบบนั้นก็กลัวว่าเธอจะได้เห็นแต่เรื่องน่าอาย ส่วนเรื่องขาของฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าฉันจะกลับมายืนได้อีกไหม แต่ว่ามู่เทียนซิงเธอจะต้องจำเอาไว้ว่า วันนี้ฉันทำให้เธอเลือกฉันไม่ได้เพราะว่าฉันอ่อนแอเกินไป แต่ฉันในวันข้างหน้าจะต้องแข็งแกร่งถึงขนาดที่ทำให้เธอยอมทิ้งโลกทั้งใบได้แต่จะไม่มีวันทิ้งฉัน นี่คือสิ่งที่ฉัน หลิงเล่คนนี้พูดกับเธอในวันนี้ โลกของฉันมันมืดมิดมาตลอด มันก็แค่ต้องการเพียงแสงสว่างเล็กๆเหมือนกับหัวใจของฉันที่มันเคยเย็นชามาตลอด ต้องการให้ใครสักคนมาทำให้มันอุ่นขึ้น ตั้งแต่ที่ฉันรับเธอเข้ามา เลือกเธอ นั่นก็คือทั้งชีวิตนี้ทั้งชาตินี้จนกว่าวันที่ฉันจะตายจาก!”
มู่เทียนซิงใจหาย
ได้ยินว่าผู้ก่อตั้งของบริษัทหลิงหวินกรุ๊ป ก็คือคุณปู่ของหลิงเล่ เขามีภรรยาถึงสามคน ถึงแม้คุณปู่ของหลิงเล่จะมีภรรยาแค่คนเดียวแต่ท่านก็มีข้องแวะกับผู้หญิงคนอื่นอยู่เรื่อยๆ คุณพ่อของหลิงเล่ก็เจอคนหนึ่งก็รักคนหนึ่งเลยมีภรรยาตั้งสี่คน
พวกพี่ชายของหลิงเล่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
ทำไมพอมาถึงหลิงเล่ถึงกลายเป็นว่าทั้งชีวิตนี้จะรักได้แค่เพียงคนเดียวกัน?
มองท่าทางนิ่งงันของเธอ เขาก็เงยหน้าขึ้นไปจูบหน้าผากของเธอเบาๆ “ไม่ต้องคิดมาก ฉันมีคำพูดที่เธอพูดว่าชอบฉันก็พอแล้ว ฉันไม่สนใจว่านั่นคือเพิ่งจะเริ่มชอบ หรือว่าแค่ชอบ แค่เพียงเพราะเธอชอบฉัน นั่นก็มากพอแล้ว!”