พวกเราพาอัลเฟรียกลับมาที่สถาบัน
พวกเวอร์เนลยังต้องเข้าคาบเรียนอยู่ ไว้เดี๋ยวค่ำๆค่อยกลับไปใหม่
ถ้าปล่อยอัลเฟรียทิ้งไว้ที่สถาบันอาจจะเกิดเรื่องได้ เลยพาเธอมาที่ปราสาทเซนต์ซะเลย
…ถ้าจะให้บอกก็คือ ถ้าพวกนักเรียนได้มาเห็นว่าเซนต์คนแรกจริงๆแล้วเป็นยังไง จะทำให้ฝันสลายได้
ลุงไอซ์กับครูใหญ่ฟ็อกซ์เองพอได้เจอเธอเข้าก็ช็อกไปเหมือนกัน แต่ยังไงเธอก็ยังเป็นเซนต์คนแรกตัวจริง ก็คงทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริงไปนั่นล่ะ
“เอ๋~ เซนต์สมัยนี้นี่ที่พักหรูหราขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? น่าอิจฉา~ ในสมัยเรานะ ต้องมากินแกลบนอนเตนท์มันทุกคืนเลย เอาจริงๆก็โดนตามล่าเพราะว่าเป็นลูกสาวแม่มดซะด้วยซ้ำ เราถูกเรียกเป็นอาชญากรมาตลอดจนถึงตอนที่ปราบท่านแม่สำเร็จนั่นแหละ”
อัลเฟรียนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย
คงเป็นเพราะว่าเติบโตมาหยาบกร้านแบบนั้น ตอนนี้เลยมีนิสัยอย่างนี้ไปได้
ถ้าเป็นเอเทอร์น่านี่คงจะหน้าหนาไม่ได้ขนาดนี้แน่ๆ
“ใช่ๆ มีไรกินมั้ยอ่ะ? เราไม่ได้กินอะไรเลยมาเป็นพันปีแล้วเนี่ย เอาอะไรมาให้กินหน่อยสิ ขนมปังขาวกับชีสก็ดีนะ ถ้าจะให้เยี่ยมกว่านั้นก็ขอเนื้อด้วย ยิ่งถ้าตบท้ายด้วยไวน์…”
อัลเฟรียหันมาสั่งอาหารกับชั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอาหารที่หรูหราที่สุดเท่าที่เธอจะคิดได้สินะ
เห็นบอกว่าเมื่อพันปีก่อนยังไม่มีมีดกับส้อม คนสมัยนั้นเลยต้องใช้มือเปล่ากินเอา
ความรู้ใหม่เลยแฮะ
สมัยนั้นนี่ขนมปังขาวเป็นของหรูสุดๆที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์กิน สมัยโน้นได้ยินว่ายังไม่มียีสต์ใช้เลยนะ
ก็น่าจะประมาณ นาน ล่ะมั้ง
จริงๆในสมัยนี้ขนมปังก็ยังถือเป็นของฟุ่มเฟือยอยู่ ถึงจะเทียบเมื่อก่อนไม่ได้ก็เถอะ แล้วก็ใช้ยีสต์เป็นกันแล้วด้วย
ทำเอาคิดถึงอาหารสมัยที่อยู่ญี่ปุ่นเลย
“หัวหน้าพ่อครัวคะ ขอชั้นยืมใช้ห้องครัวหน่อยนะคะ”
“ขะ ขอรับ!”
สงสารอัลเฟรียอ่ะ ไหนๆก็ไหนๆ จะทำอาหารอร่อยๆให้กินแล้วกันนะ
อย่างแรกเลยก็คือขนมปัง
ไม่ใช่ขนมปังธรรมดาๆนะเออ เป็นขนมปังทำจากแป้งถั่วเหลืองป่นเป็นผงแป้ง
จะว่าถั่วเหลืองก็ไม่เชิงหรอก เป็นพืชของโลกนี้ที่คล้ายๆกับถั่วเหลืองเฉยๆ แต่เพราะมันคล้ายกันพอตัว ชั้นเลยเรียกมันอย่างนั้น
ชื่ออย่างเป็นทางการในโลกนี้คือ เมล็ดซอยย่า
สามารถปลูกได้กระทั่งในพื้นที่แห้งแล้ง มักจะถูกใช้ในจาปอน
ไม่รู้ทำไม คนถึงไม่เอามากินกัน กลับเอาไปทำเป็นอาหารสัตว์แทน
เพราว่าน่าเสียดาย ชั้นเลยทำอาหารจากถั่วเหลืองขึ้นมาแล้วเอาไปยัดปากพวกบุคคลสำคัญทั้งหลาย แล้วก็ปล่อยให้ชื่อเสียงสะพัดไปเอง
จริงๆมันออกไปทางเค้กมากกว่าขนมปังอ่ะนะ
จะทำขนมปังที่คุณภาพพอๆกับยุคสมัยใหม่น่ะมันยุ่งยากจะตาย
ทำเป็นเค้กแทนนี่ง่ายกว่ากันเยอะเลย
งั้นก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า
อย่างแรกก็อุ่นเตาอบทิ้งไว้ก่อน
เตาอบที่ใช้อยู่นี่เป็นเตาหิน มันก็ไม่สะดวกสบายเท่าเตาไฟฟ้าอ่ะนะ แต่ใช้เวทมนตร์คุมไว้นี่ก็พอถูไถอยู่
แยกไข่แดงกับไข่ขาว จากนั้นก็เอาส่วนไข่ขาวไปตีเข้ากับน้ำและแป้ง
ชั้นหาพืชที่มีสารให้ความหวานอยู่ภายใน เร่งโต แล้วก็รีดน้ำหวานมันออกมา ก็คล้ายๆเมเปิ้ลไซรัปนั่นแหละ
ใส่นิดหน่อยพอกลมกล่อม ไม่ให้หวานเกินไป
ตีไข่ขาวเป็นเมอแรงก์ จากนั้นก็เอาไปผสมกับแป้งตอนแรก
ที่เหลือก็แค่เอาไปอบ
เห็นว่าอยากจะกินเนื้อด้วยนี่นา ก็เอาสักหน่อยละกัน
อาหารจำพวกเนื้อในโลกนี้นี่ค่อนข้างจะกาก
ก็นะ มีให้กินก็บุญแล้ว รสชาติกับคุณค่าทางอาหารนี่ถือเป็นเรื่องรองลงมา
ในโลกนี้ สิ่งสำคัญอย่างแรกเลยก็คือการกักตุนอาหารให้เหลือจนสามารถพ้นหน้าหนาวไปได้
เนื้อแทบทุกอย่างเลยเอาไปหมักเกบือหรือตากแห้งเซะหมด
รสชาติส่วนใหญ่เลยออกมาคล้ายๆกันหมด หรือก็คือ งั้นๆ
พวกวัวถูกมองเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไว้เพื่อผลิตเนยและชีสเท่านั้น ไม่มีใครเค้าเอามากินหรอก
เหตุผลก็คงเพราะ…มันแปรรูปยากมั้ง
จริงอยู่ที่ในโลกนี้ยังมีคอนเซปต์ของการรีดเลือดอยู่ แต่เพราะสายพันธุ์วัวของโลกนี้ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาเพื่อเอาเนื้อ บวกกับเนื้อที่ตัดยาก ทำให้ผู้ครเข้าใจกันว่าวัวเป็นสัตว์ที่มีเนื้อเหม็น เหนียว และไม่อร่อย
ถึงอย่างนั้น ถ้าวัวตายไปก็ยังจะโดนจัยมากินอยู่ดีนั่นแหละ แต่ก็จะใช้วิธีเอาสมุนไพรโปะเข้าไปเยอะๆเพื่อกลบกลิ่นเอา
โลกนี้ก็ค่อนข้างจะออกไปทางด้อยพัฒนานี่นะ
ก็จะทำอาหารจานเนื้อที่อัลเฟรียกินเข้าไปแล้วต้องออกปากชมให้ละกัน
จริงอยู่ที่ลิ้นคนเราไม่เหมือนกัน แต่ชั้นก็พอจะใช้ตัวเองเป็นมาตรฐานได้อยู่
อย่างแรกเลยก็หั่นเนื้อ ต้องตัดให้เป็นส่วนๆดีๆ ไม่ใช่สับมั่ว
ต้องหั่นแบบระวังเพื่อไม่ให้เส้นใยเนื้อเสียเอา
ต่อไปก็ใส่น้ำมันมะกอกทำเองลงในกระทะ รอจนควันขึ้นแล้วค่อยเอาเนื้อลง
โรยเกลือลงด้านหนึ่ง จากนั้นก็ย่างทั้งสองฝั่ง ฝั่งละสามสิบวิ พลิกไปมา
…จริงๆก็อยากได้พริกไทยอ่ะนะ แต่ในโลกนี้พริกไทยถือว่าเป็นของหรูเกินไป
ใช้ไฟเผาหน้า แล้วก็วางเนยผิดท้าย
พอเสร็จแล้วก็เอามาหั่นอีกรอบนึง เหมือยเคยเห็นในทีวีว่าถ้าทำแบบนี้แล้วเนื้อจะนุ่มขึ้น
ประดับด้วยแครอทและมันฝรั่ง แค่นี้ก็เสร็จแล้ว
เอ~ เหมือนเธอจะอยากได้เหล้าด้วยสินะ
ใช้ไวน์ที่มีในปราสาทก็ได้แล้ว
ตั้งแต่แรกแล้ว ชั้นก็ไม่กินเหล้าซะด้วยสิ จะขอให้ทำเหล้าให้หน่อยนี่ก็ไม่ได้หรอกนะ
พวกไม่ดื่มก็งี้แหละ…
เอาล่ะ เค้กอบเสร็จละ จากนั้นก็เอาออกจากเตาอบ
จะใส่วิปครีมให้เป็นของหวานก็ได้นะ แต่ไว้คราวอื่นแล้วกัน
จริงอยู่ที่ถ้าทำของคาวนี่ ขนมปังจะเหมาะกว่าเค้ก แต่ก็อย่างที่บอกไป มันยุ่งยากอ่ะ
ต้องมานวดปงนวดแป้งอะไร เสียเวลา
ฉะนั้นเอาเป็นเค้กแบบหวานน้อยไปแทนละกัน
ไอ้นั่นไง “ถ้าไม่มีขนมปังก็กินเค้กแทนซะสิ” น่ะ
พูดง่ายๆก็คือ ตูขี้เกียจไง
ตูบอกว่านี่คือขนมปัง ฉะนั้นมันก็คือขนมปัง เข้าใจป่ะ?
พอทำเสร็จแล้ว ชั้นก็ให้พวกอัศวินมาช่วยยกไปเสิร์ฟอัลเฟรียให้หน่อย
“อะไรน่ะ อะไรน่ะ!? กลิ่นหอมจังเลย! น่าอร่อยจัง! กินได้มั้ยอ่ะ!? ได้ใช่ม้า!? ใช่มะ ใช่ม้า!? ถึงตอบว่าไม่ก็ยังจะกินอยู่ดีล่ะนะ!”
ตะกละจังเว้ยเธอนี่!
แต่ถ้าปล่อยไว้ล่ะก็ เธอคงจะใช้มือเปล่าจับมันยัดใส่ปากทั้งอย่างนั้นเลย อย่างน้อยก็ต้องสอนให้ใช้มีดกับส้อมสักหน่อย
เพราะว่าหั่นมาให้แล้ว แค่จิ้มก็กินได้เลย ถึงจะไม่เคยเห็นส้อมมาก่อนก็น่าจะพอใช้เป็นนะ
อัลเฟรียพยักหน้าทำความเข้าใจ แต่สายตาก็ไม่ละไปจากอาหารสักนิด
เหมือนเอาเนื้อมาล่อหมาเลยแฮะ
ถ้าปล่อยให้เธอรอต่อก็อาจจะน่าสนใจอยู่ แต่น้ำลายแทบจะไหลยืดแล้ว ก็จะปล่อยให้กินดีๆละกัน
สีหน้าของพวกอัศวินนี่คือฝันสลายกันเป็นแถบๆ แต่ชั้นคงคิดไปเองแหละ
“เชิญเลยค่ะ”
ก่อนที่ชื่อเสียงของเซนต์คนแรกจะป่นปี้ไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าถ้าอยากกินก็กินเลยเถอะ
พอได้ยินแบบนั้นปุ๊บ อัลเฟรียก็รีบหยิบเอาขนมปัง(ซึ่งจริงๆก็ไม่เชิง)ใส่ปากทันควัน
“อะไรกันเนี่ย? ทั้งนุ่ม แถมหวานด้วย! ไม่แข็งเลยสักนิด! อร่อย อร่อยมากเลย!”
แค่คำเดียวนี่ขนมปังที่ชั้นทำก็หายไปเป็นคืบเลยนะเนี่ย แล้วพอเธอจะใช้มือจับเนื้อกิน ชั้นก็ต้องมาปัดมือเธอออกไป
อย่าใช้มือเปล่าสิ เดี๋ยสก็เลอะเทอะหมดหรอก อุตส่าห์มีส้อมให้น่ะ
อัลเฟรียใช้ส้อมจิ้มเนื้ออย่างเก้ๆกังๆ
รู้สึกเหมือนฝึกหมาเลยแฮะ
เออ หมาไม่ใช้ส้อมนี่หว่า
“อร่อย! เนื้อนุ่มมากเลย! ยิ่งกัดก็ยิ่งมีน้ำหวานไหลออกมา! นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”
ดูเหมือนจะถูกใจเนื้อสินะ เลยยิ่งมูมมามเข้าไปอีก
คงยอมแพ้เรื่องปั้นหน้าให้สมกับเป็นเซนต์ไปเรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง
พวกอัศวินเองก็สีหน้าเหมือนปลงไปแล้วอะไรอย่างนั้นเลย
เธอเคี้ยวแก้วตุ่ยแบบนี้ทำให้คิดถึงหนูแฮมสเตอร์เหมือนกันนะ
กินอย่างเอร็ดอร่อยก็ดีอยู่หรอก แต่ต้องจับเรียนมารยาทบนโต๊ะอาหารบ้างนะเนี่ย
ถ้าเซนต์คนแรกเป็นแบบนี้ แล้วไอ้ที่ชั้นโรลเพลย์เป็นเซนต์นี่คือตูเลียนแบบใครอยู่ล่ะเนี่ย
ในเมื่อเซนต์คนแรกคือเซนต์ในหมู่เซนต์ เป็นแบบอย่างของเซนต์ทั้งหมด ถ้าชั้นอยากจะปลอมเป็นเซนต์นี่ ก็แปลว่าชั้นก็แค่เป็นตัวของตัวเองไรงี้ก็ได้เหรอ…?
…ไม่ ไม่ อย่าโดนหลอกนะ
ที่เธอทำตัวแบบนี้ได้ก็เพราะเธอเป็นตัวจริงนี่แหละ
ของเก๊อย่างชั้นนี่จะให้ทำตามคงไม่ได้หรอก
เอาเป็นว่าชั้นก็ยังจะทำแบบเดิมต่อไปนั่นล่ะ
“อาหารพวกนี้ใครเป็นคนทำเหรอ~!?”
พอกินเสร็จแล้ว อัลเฟรียก็ลุกขึ้นแล้วตะโกน
ปากยังเลอะอยู่เลยเฮ้ย
ช่วยไม่ได้ ชั้นเลยหยิบผ้าออกมาเช็ดให้
เหมือนเลี้ยงหมาจริงๆนั่นแหละ
“ชั้นเป็นคนทำเองค่ะ แต่ว่า–“
“มาเป็นเจ้าสาวเราเถอะ!”
คนคนนี้พูดอะไรน่ะ?
ยังไงด้านในชั้นก็เป็นผู้ชายนะ อย่างมากชั้นก็ต้องเป็นเจ้าบ่าวสิ ไม่ใช่เจ้าสาว
ก็ใช่ว่าอัลเฟรียจะจริงจังอะไรอ่ะนะ ก็เลยหัวเราะกลบเกลื่อนไป
วิชาลับ “ไม่รู้จะตอบยังไงดี ก็แค่หัวเราะกลบเกลื่อนไป” …เป็นเทคนิคจำเป็นสำหรับการสื่อสาร
พอกินอะไรเสร็จแล้ว อัลเฟรียก็ชอตัวไปนอน ตัวแผ่บนเตียง กรนครอกฟี้
“ยังกินได้อีก…ขอเพิ่ม…”
ยังจะละเมอกินอีกเรอะ…
ชั้นห่มผ้าให้เธอ จากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางกลับสถาบัน
“ชั้นต้องเดินทางกลับสถาบันแล้วล่ะค่ะ ฝากดูแลเธอด้วยนะคะเร็กซ์”
“ขอรับ! แต่ว่า…ท่านเอลริสขอรับ นี่อาจจะฟังดูเสียมารยาท…แต่ว่าท่านผู้นี้…”
“ค่ะ ท่านผู้นี้คือท่านอัลเฟรียตัวจริงค่ะ”
อัศวินที่ทำหน้าปลงโลกอยู่ตรงนี้คือคนทรยศเอ เร็กซ์คุง ที่ทำหน้าทีาเป็นยามเฝ้าประตูตอนที่ชั้นโดนจับขังไว้
พอหันไปในห้องก็จะเห็นอัลเฟรียที่นอนเกาก้นอยู่
ท่านอนเหมือนลุงแก่เลยแฮะ
เร็กซ์คุงยังทำท่าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ยอมแพ้เถอะ
“เธอเป็นตัวจริงค่ะ”
“…ท่านเอลริสขอรับ กระผมภูมิใจจริงๆที่ได้รับใช้ท่าน”
อย่าพูดเหมือนเลย์ล่าสิเฮ้ย
แต่แบบนี้แย่แฮะ…ชั้นต้องแบ่งพวกองครักษ์ของชั้นให้ไปคุ้มกันอัลเฟรีย ถ้าเผลอพูดแบบนี้กันทุกคนก็แย่สิ
ยังไงอัลเฟรียก็ยังเป็นเซนต์ จะปล่อยเธอไว้คนเดียวไม่ได้เด็ดขาดเลย เลยต้องแบ่งส่วนกององครักษ์ให้ไปช่วยดูแลเธอแทน
เอาจริงๆ นอกจากเลย์ล่าแล้วนี่ ไปกันให้หมดเลยก็ได้อ่ะนะ
ชั้นต้องการให้เลย์ล่าอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนทางด้านจิตใจเฉยๆ(เป็นอาหารตา) ยังไงซะชั้นก็ไม่ได้ต้องการการคุ้มกันอะไรอยู่แล้วด้วย
“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นนะคะ แต่ชั้นจำเป็นต้องให้องครักษ์บางส่วนคอยอยู่คุ้มกันท่านอัลเฟรีย เราไม่อาจปล่อยเธอไว้โดยไร้ซึ่งการคุ้มกันได้ ชั้นเชื่อในตัวของพวกคุณที่เป็นองครักษ์ของชั้นนะคะ”
ขอฝากด้วยแล้วกันนะเออ
ได้ยินแบบนั้น เร็กซ์คุงก็ตัวแข็งไปเลย
พวกองครักษ์คนอื่นที่อยู่ใกล้ก็ตัวแข็งไปเหมือนกัน
ไม่ต้องรังเกียจกันขนาดนั้นก็ได้น่า ยังไงเธอก็เป็นเซนต์ตัวจริงนะเออ เนื้อในนี่ยังไงก็ดีกว่าชั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่าแน่ะ
ทีนี้ชั้นก็แค่ย้ายคนไปทางฝั่งอัลเฟรีย
ถ้าจะบอกก็คือ พวกอัศวินน่ะควรจะรับใช้เซนต์ตัวจริงอย่างอัลเฟรียอยู่แล้วสิ ไม่ใช่ของเก๊อย่างตูนี่
นายเก่งไม่ใช่เหรอเร็กซ์คุง งั้นก็ไปด้วยเลยละกัน