บทที่ 65 ความลับมูลค่าหนึ่งร้อยหินวิญญาณ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 65 ความลับมูลค่าหนึ่งร้อยหินวิญญาณ

ร่างทั้งสองก็ปะทะกันด้านนอกบ่อนพนันในพริบตา คัมภีร์แปรสมุทรและเคล็ดคีรีสมุทรโคจรในร่างกายสวี่ชิง เขาคิดจะรีบสู้รีบจบ ดังนั้นจึงลงมือสุดกำลัง หนึ่งหมัดซัดออกไปส่งเสียงครืนครัน

ชายอ้วนร่างสั่นสะเทือน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ประเมินพลังผิดอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้เมื่อปะทะกับสวี่ชิง ก็สัมผัสถึงพลังที่น่ากลัวของกายเนื้อเขาได้ทันที จึงฉากถอยฉับพลัน

แต่เมื่อเทียบความเร็วกับสวี่ชิงยังช้ากว่า เพียงพริบตาหมัดของสวี่ชิงก็กระแทกเข้ากับท้องของเขา

เสียงผัวะดังลั่น ร่างชายอ้วนสั่นสะเทือนอีกครั้ง แม้ไม่ได้ถูกซัดจนถอยหลัง แต่กลายเป็นแผ่นหนังผืนหนึ่งกลางอากาศในพริบตา คลุมทับไปที่สวี่ชิง

ร่างกายของชายอ้วนทั้งกว้างและใหญ่ ยามที่ปกคลุมลงมาก็ราวกับปลาหมึกยักษ์กำลังจะห่อหุ้มตัวสวี่ชิงอย่างไรอย่างนั้น

สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายนอกร่างกายปรากฏหยดน้ำจำนวนมหาศาล แปรเปลี่ยนเป็นทรงข้าวโพดอย่างรวดเร็ว พุ่งหวีดหวิวออกไปราวกับลูกศร แทงทะลุร่างกายนี้ทันทีพร้อมเสียงฟิ้ว

เงาโหดร้ายเงาหนึ่ง มุดถอยออกไปจากร่างกายที่ยับเยินนี้ในพริบตา

นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตข้นเหนียวในรูปร่างมนุษย์ ผมเป็นสีเขียว ทั้งร่างมีเกล็ดเต็มตัว ดวงตาเผยประกายดุร้าย และในปากมีฟันที่แหลมคมและลิ้นเป็นแฉกยื่นออกมา

เขาจ้องมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ไม่ได้ลงมือต่อ แต่ไหวตัวคิดจะหลบหนี

สวี่ชิงจ้องมองเย็นชา มือขวายกขึ้นโบก เบื้องหน้าของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนนั้นก็ปรากฏม่านน้ำสายหนึ่งกลางอากาศเข้าสกัดไว้ทันควัน ทำให้ร่างกายของเขาจำต้องถอยกลับมา ความโหดเหี้ยมในดวงตาข้นหนักขึ้น

“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”

ขณะที่ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าพูดก็พุ่งเข้าหาสวี่ชิง ปราณสีดำจากสองมือที่พัดโบกลอยออกมามหาศาล กลายเป็นวิญญาณอาฆาตหลายตน ส่งเสียงกรีดร้องแหลมโถมเข้าหาสวี่ชิง

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เลือดลมในร่างกายแผ่ซ่านออกด้านนอก และเสียงร้องแหลมที่ออกมาจากปากวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็ถูกเลือดลมแข็งแกร่งของสวี่ชิงสะเทือนจนสลายหายไป สวี่ชิงสาวเท้าจนไปอยู่เบื้องหน้าผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่หน้าถอดสีไปแล้ว มือขวายกขึ้นคว้าไปด้านหน้า

ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าหายใจหอบถี่ ดวงตาเผยความบ้าคลั่ง

ช่วงจังหวะวิกฤตเกล็ดทั้งตัวหลุดลอกพุ่งไปหาสวี่ชิงที่อยู่ด้านหน้าราวกับมีดแหลมคมในวินาทีนั้น กระแสลมพายุวนพัดกวาด

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนความมันก็ไม่ได้หลบหนีอีกต่อไป แต่ระเบิดความดุร้าย เล็บนิ้วมือขวาแหลมคมแทงเข้ามาที่คอของสวี่ชิง

“ตายเสีย!”

และม่านตาของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าก็หดเล็กลง เผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อและความตกตะลึงทันควันในจังหวะที่กะพริบตา

สวี่ชิงไม่ได้สนใจลมพายุเกล็ดของเขาเลย เวลานี้ลอดผ่านลมพายุเกล็ดแล้วเข้าคว้ามือของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าเอาไว้ ต่อให้เกล็ดจะปะทะเข้ามา ก็สกัดฝ่ามือที่รุดหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ของสวี่ชิงไม่ได้

สวี่ชิงบิดมือของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าอย่างเหี้ยมเกรียม จนเสียงกร๊อบดังขึ้น บิดเบี้ยวเกินเยียวยา

ร่างกายของเขาเข้าประชิด หน้าผากกระแทกเข้าที่ศีรษะของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าอย่างรุนแรง ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าขณะที่ส่งเสียงกรีดร้องก็คิดจะถอยหนี แต่มือก็ถูกสวี่ชิงจับเอาไว้อยู่

ความรู้สึกเหมือนถูกคีมเหล็กหนีบไว้ทำเขาหายใจหอบถี่ หวาดผวาถึงที่สุด จนไม่อาจดิ้นหลุดไปได้

“สหายเต๋า ข้าเป็น…”

ยังไม่ทันพูดจบ สวี่ชิงจับมือของอีกฝ่ายบิดอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้เล็บมือที่แหลมคมของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าหักแทงเข้าไปที่หน้าผากของตนเอง

เสียงกระดูกเนื้อแตกฉีกดังลั่น หน้าผากผู้บำเพ็ญต่างเผ่าถูกแทงจนทะลุ ส่งเสียงกรีดร้องสิ้นหวัง น้ำเสียงน่าเวทนา ในดวงตาเผยความพรั่นพรึงอย่างแรงกล้า

ทว่าด้วยโครงสร้างร่างกายก็แตกต่างจากเผ่ามนุษย์ จึงไม่ร้ายแรงถึงชีวิต

แต่ก็ยังถือว่าบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ กลิ่นอายของมันอ่อนลงจากการที่เลือดสดหลั่งรินอย่างรวดเร็ว สลบไปเหมือนกับศพอย่างไรอย่างนั้น สวี่ชิงคว้าคอเอาไว้ ลากไปอย่างรวดเร็ว

ด้านในบ่อนพนันเงียบเป็นเป่าสาก จะพวกนักพนันหรือพวกองครักษ์ก็ดี เวลานี้ล้วนร่างกายสั่นเทิ้ม เสียงการปะทะอย่างรุนแรงของสวี่ชิงกับซุนเต๋อวั่งเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของพวกเขา แต่การต่อสู้ก็จบรวดเร็วเกินไปจริงๆ การลงมือของสวี่ชิงก็โหดเหี้ยมเกินไปเช่นกัน

โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาจำสถานะและรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนนั้นได้ ความน่ากลัวของสวี่ชิงจึงยิ่งชัดเจนอย่างมากด้วยเช่นกัน

ไม่มีใครกล้าพูดในบรรยากาศที่เยือกแข็งเช่นนี้ สวี่ชิงที่กำลังจะเดินจากไป ก็หยุดชะงักฝีเท้า เงยหน้ามองออกไปด้านนอก

หัวถนนดำมืดว่างเปล่าที่ห่างออกไป เวลานี้มีคนผู้หนึ่งเดินมา

จากการเข้าใกล้ จากการเหยียบย่ำเข้ามาในอาณาเขตที่แสงไฟส่องสว่างด้านนอกบ่อนพนัน ร่างของเขาก็ค่อยแจ่มชัดขึ้นจากความมืดมิด ชุดคลุมสีม่วงอ่อนทั้งตัวค่อยๆ สะท้อนขึ้นมาในดวงตาของสวี่ชิง

สวี่ชิงม่านตาหดลง

คนที่เดินเข้ามาเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมยาวสีดำสนิท หน้าตาไม่ธรรมดา ร่างกายสูงยาว และในสีหน้ายังมีความหยิ่งทะนง โดยเฉพาะชุดนักพรตนั่น เผยให้เห็นสถานะที่สูงส่งของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

คลื่นพลังคัมภีร์แปรสมุทรรวมปราณขั้นแปดทั่วร่างกำลังแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรงจากตัวเขา ทำให้รอบด้านเกิดหยดน้ำปริมาณมหาศาลขึ้น ทุกหยดล้วนแฝงความดุดันอยู่ พุ่งเป้ามาทางสวี่ชิง

“เจ้าเป็นกรมปราบพิฆาตหน่วยย่อยใดกัน ปล่อยเขาลงเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น!”

น้ำเสียงของคนที่เข้ามาเย็นชา ในคำพูดแฝงไว้ด้วยความห้ามแข็งขืนห้ามสงสัย

สวี่ชิงนิ่งงัน เขาเคยเห็นชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ ตอนที่เขากับนายกองออกลาดตระเวนครั้งแรก เคยเห็นฉากที่อีกฝ่ายราวกับเทพเจ้าลงมาเหยียบย่ำบนโลกมนุษย์ไกลๆ มาแล้ว

เขาทราบดี ว่าคนผู้นี้คือศิษย์หลักของยอดเขาลำดับเจ็ด

สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้ก่อนหน้านี้เขาจะจัดการบางอย่างเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิดไว้แล้ว แต่เผชิญหน้ากับศิษย์หลักเช่นนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีประโยชน์ การจะสร้างเรื่องราวบาดหมางกับศิษย์หลักเพียงเพราะหินวิญญาณสี่สิบก้อน สวี่ชิงรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่า นอกเสียจากจะมีผลประโยชน์ที่มากกว่า

และตอนนี้เอง เสียงอึมครึมเสียงหนึ่งลอยแว่วมาด้านหลังชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อน

“ศิษย์หลักผู้นี้ดูน่าเกรงขามเสียจริง อยู่ต่อหน้ากรมปราบพิฆาตของพวกเรา ก็ยังกล้าเข้ามาแทรกแซงกฎบ้านกฎเมืองอีก”

เมื่อเสียงแว่วมา ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงอ่อนก็หมุนตัว สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นเงาเดินกวัดแกว่งเข้ามาไกลๆ ทันที ร่างนี้เดินเข้ามาพลางกินแอปเปิ้ลไปด้วย นายกองที่หกนี่เอง

ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนจ้องเขม็ง ในดวงตาสวี่ชิงมีความรู้สึกเกินคาดเล็กๆ เพียงแต่ที่เขารู้สึกเกินคาดไม่ใช่การมาถึงของนายกอง แต่เป็นการเลือกปรากฏตัวในเวลานี้ของนายกองต่างหาก

อันที่จริงสวี่ชิงไม่มีทางเชื่อเบาะแสที่ชายชราโรงเตี๊ยมบนถนนทองผุดให้มาทั้งหมด ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตที่จิตใจมนุษย์มีแต่ความชั่วร้ายแห่งนี้ เป็นไปได้มากที่อีกฝ่ายจะจงใจให้เบาะแสที่สร้างความลำบากมาแน่นอน ยืมมือคนอื่นมาสังหารคนทิ้งเสีย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจอย่างบ่อนพนัน สามารถเปิดในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตได้เช่นนี้ จำต้องมีเบื้องหลังอยู่บ้างแน่นอน ดังนั้นระหว่างทางมา สวี่ชิงครุ่นคิดแล้วสื่อเสียงไปหานายกอง สัญญาว่าจะมอบรางวัลครึ่งหนึ่งให้ แลกกับการให้นายกองออกมาจัดการข้อพิพาทในช่วงที่จำเป็น

ไม่ว่าข้อพิพาทนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ หินวิญญาณก็ยังมอบให้อยู่ดี

เบาะแสแรกของคนร้ายประกาศจับเรื่องแรกเป็นสถานที่ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง นายกองจึงไม่ไปที่นั่น แต่เบาะแสที่สองตอนนี้มีศิษย์หลักมาเกี่ยวข้อง สวี่ชิงจึงนึกว่านายกองหกจะไม่ปรากฏตัวออกมาเสียแล้ว

นายกองสังเกตเห็นสีหน้าไม่คาดคิดของสวี่ชิง กัดผลไม้ดังกร้วมไปทีหนึ่ง ขยิบตาให้กับเขา จากนั้นมองไปทางชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่สีหน้าดูไม่ได้

“จากกฎข้อที่สามของกรมปราบพิฆาต ในเรื่องข้องเกี่ยวถึงกฎหมาย หากขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ถือว่ามีโทษหนัก

“เขาเป็นคนในประกาศจับ พวกเราเองก็กำลังปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นหน้าที่ทางราชการ

“เจ้าขัดขวางหรือ” นายกองยิ้มตาหยีมองไปทางชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อน

ในสายตาของสวี่ชิง นายกองสวมชุดนักพรตสีเทา แต่ความเผด็จการของเขารวมไปถึงสีหน้าดูไม่ได้ของชายหนุ่มชุดคลุมม่วงอ่อน ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนพวกเขาสองคนสลับสถานะกันเสียแล้ว

สิ่งนี้ทำให้ในใจเขาตกตะลึงอย่างยิ่ง

และหลังจากนายกองพูดจบ ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงก็หอบหายใจถี่ระรัว ในใจขบคิดอย่างรวดเร็ว อันที่จริงซุนเต๋อวั่งคนนั้นปกติก็เคารพเชื่อฟังเขาอยู่ไม่น้อย และบ่อนพนันนี้ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจของเขา ดังนั้นในตอนแรกสุดจึงไม่ยอมให้มีใครพาเขาออกไป

แต่นายกองหกตรงหน้าคนนี้ ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนกลับเกรงกลัวอยู่บ้าง เขารู้จักอีกฝ่ายและเคยได้ยินตัวตนลำดับต้นๆ นี้มาบ้าง ในความทรงจำน่าจะเมื่อสองปีก่อน คนผู้นี้มีเรื่องบาดหมางกับศิษย์หลักอีกคนหนึ่ง หลังจากเกิดเรื่องไม่นาน…ศิษย์หลักคนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เรื่องนี้ทำเขารู้สึกระแวดระวังขึ้นมาก และที่สั่นสะเทือนเขายิ่งกว่าก็คือเรื่องนี้บนภูเขากลับไม่มีการตรวจสอบต่อภายหลัง ซ้ำยังไม่กล้าเอ่ยถึงอีกด้วย ส่วนทางด้านล่างภูเขาก็เหมือนจะมีคนแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้

ต้องรู้ด้วยว่าการหายตัวอย่างไร้ร่องรอยของศิษย์หลัก ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตถือเป็นเรื่องใหญ่โตมาก แต่ครั้งนั้นเท่านั้น…ที่เลิกแล้วกันไป

ดังนั้นหลังจากนิ่งงันไปพักหนึ่ง ชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนก็ร้องเชอะเย็นชา ไม่พูดไม่จา สะบัดชายเสื้อจากไป

ละครฉากนี้ก่อคลื่นขนาดใหญ่ขึ้นในใจสวี่ชิง ตอนมองไปทางนายกอง ในใจก็เกิดการคาดเดามากมาย

“หินวิญญาณของข้า” นายกองมองไปทางสวี่ชิงยิ้มๆ

สวี่ชิงไม่พูดไม่จา ยื่นหินวิญญาณให้สิบก้อน

หลังจากรับหินวิญญาณแล้ว บนหน้าของนายกองก็เผยความพึงพอใจ เหลือบมองไปทางชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่เดินจากไป

“คนผู้นี้คือเจ้าจงเหิง เป็นพวกไม่ค่อยได้เรื่องราว ถ้าหากปู่ของเขาไม่ใช่ผู้อาวุโสของยอดเขาลำดับเจ็ด คงจะถูกเก็บไปนานแล้ว จะมามีสถานะสำคัญได้อย่างไรกัน

“แต่ได้ยินว่าเขาถูกปู่ของเขาส่งลงมาให้ไปทำงานเป็นหัวหน้าอยู่ในกรมขนส่งชั่วคราว คงคิดจะให้เขาได้มาฝึกลับฝีมือในนั้น”

นายกองพูดพลางเดินตรงไปด้านหน้า สวี่ชิงนิ่งงัน เดินตามไปยังกรมปราบพิฆาตด้วยกัน

ระหว่างทางสวี่ชิงมองนายกองหลายครั้ง กระทั่งตอนใกล้จะถึงกรมปราบพิฆาต นายกองก็เอียงหน้ามองสวี่ชิง ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

“เจ้านี่ก็มีน้ำอดน้ำทนเสียเหลือเกิน ทำไมจึงไม่ถามข้าเสียทีว่าเหตุใดจึงร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทำไมถึงทำให้ศิษย์หลักล่าถอยไปได้”

“ทำไมกัน” สวี่ชิงถาม

นายกองมองสวี่ชิง รู้สึกหมดสนุกลงไปบ้าง

“เจ้านี่ไม่สนุกเอาเสียเลย…ช่างเถอะ เห็นแก่ว่าเจ้าเป็นสมาชิกอยู่ในกองข้า ข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน สองปีก่อนข้าไปผิดใจกับศิษย์หลักคนหนึ่ง ข้าคิดจะหนีออกจากเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว แต่เจ้าลองเดาสิว่าทำไม ฮ่าๆๆ

“เจ้าศิษย์หลักคนนั้นดันซวยไปตายอยู่นอกทะเล หลังจากสำนักตรวจสอบก็พบว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ จึงปล่อยเลยตามเลย ต่อมาไม่รู้เล่าลือกันอย่างไร…ศิษย์หลักบนภูเขาบางคน รู้สึกว่าข้านั้นลึกลับมาก

“ดังนั้นเวลาที่พวกเขาเห็นข้า ส่วนใหญ่จึงหลบเลี่ยงกันหมด” นายกองโบกมือ ยิ้มตาหยีมองไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงพยักหน้า

“เจ้าเชื่อจริงหรือ” นายกองประหลาดใจ

“ไม่เชื่อ” สวี่ชิงส่ายหัว

“แล้วยังจะพยักหน้าอีก…”

สวี่ชิงนิ่งงัน

นายกองถอนหายใจ เหมือนรู้สึกหมดสนุกอีกครั้ง ผ่านไปอีกพักหนึ่งตอนที่ทั้งสองคนมองเห็นประตูใหญ่ของกรมปราบพิฆาต หน้าของเขาก็ดูเลือนรางในความมืด เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า

“ความจริงคือ ข้าเก็บเขาไปแล้ว เรื่องนี้เป็นความลับของข้าเลยนะ สวี่ชิง ความลับนี้ มูลค่า…เอ่อ หนึ่งร้อยหินวิญญาณ!”

นายกองพูดจบ ก็ขยิบตาให้สวี่ชิง

สวี่ชิงจ่ายหนึ่งร้อยหินวิญญาณไม่ไหว

นายกองถอนหายใจ หลังจากซุบซิบไม่กี่ประโยค ทำให้สวี่ชิงยอมรับว่าติดหนี้เขาหนึ่งร้อยหินวิญญาณแล้ว จึงบิดขี้เกียจ แล้วไปยังหน่วยนิลกาฬกรมปราบพิฆาต

สวี่ชิงนวดหว่างคิ้ว มองนายกองที่เดินห่างไป สำหรับหินวิญญาณที่ตนเองถูกบีบให้ติดหนี้ ก็ไม่ได้มีความรู้สึกไร้ซึ่งหนทางแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนลมหายใจโล่งออกมาเท่านั้น

สาเหตุที่ระหว่างทางนี้เขาไม่เอ่ยปาก เป็นเพราะสัมผัสถึงจิตสังหารที่เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนและพลังบำเพ็ญของนายกองที่ดูแล้วเหมือนรวมปราณขั้นเก้าขั้นสิบก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจน ตอนนี้สวี่ชิงสัมผัสได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายปิดบังพลังต่อสู้แท้จริงที่แข็งแกร่งกว่านี้เอาไว้เป็นแน่

และจิตสังหารของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปะทุออกมา แต่หลังจากที่เขายอมรับเรื่องหนี้ก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่จิตใจผ่อนคลายลง สวี่ชิงก็หันมองไปทางทิศถนนทองผุดที่ห่างออกไป ในดวงตาเกิดประกายเย็นวาบ

เพียงไม่นานเขาก็ถอนสายตาเขากลับ ย่างเข้าไปในกรมปราบพิฆาต ส่งตัวซุนเต๋อวั่งไปยังหน่วยรับตัวในกรม รับหินวิญญาณที่เป็นรางวัลนำจับมา

ก่อนหน้าที่จะจากไป เขามอบเหรียญวิญญาณให้แก่เพื่อนร่วมสำนักที่รับผิดชอบรับตัวคนร้ายประกาศจับเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างเกรงใจเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าจงเหิง

ศิษย์ที่รับผิดชอบรับตัวคนร้ายประกาศจับรับเหรียญวิญญาณไปอย่างหน้าตาย บอกกล่าวเรื่องกับสวี่ชิงมาเล็กน้อย

สิ่งที่พูดมาส่วนใหญ่ตรงกับที่นายกองบอก แต่ที่นายกองพูดละเอียดกว่า พอสวี่ชิงกระจ่าง ก็ขอบคุณแล้วเดินจากไป

ระหว่างทางที่ไปยังท่าจอดเรือ ดวงตาสวี่ชิงเผยความครุ่นคิด นึกย้อนไปถึงเรื่องของคืนนี้

“นายกองแข็งแกร่งและดุร้ายมาก ที่ปฏิบัติกับข้าก็เหมือนจะแตกต่างออกไปหน่อย เขามีเป้าหมายอะไรกัน”

สวี่ชิงกลับมาถึงท่าจอดเรือพร้อมครุ่นคิด ในใจเกิดความระแวดระวังอย่างล้ำลึก ล้วงเอาตำราไม้ไผ่ออกมาฉบับหนึ่ง ของสิ่งนี้เก่าแก่มาก เห็นได้ชัดว่าใช้งานมานานแล้ว

ในนั้นมีชื่อมากมายถูกขีดทิ้ง ชื่อที่ยังไม่ถูกขีดฆ่า มีชื่อหนึ่งก็คือบรรพชนสำนักวัชระ

สวี่ชิงหยิบเหล็กแหลมออกมา เริ่มสลักชื่อชายชราถนนทองผุดลงไป

จากนั้นก็เขียนคำว่านายกอง แต่หลังจากครุ่นคิด เขาก็เติมเครื่องหมายปรัศนีด้านหลังชื่อของนายกอง

ที่สลักชื่อลงไป เพราะจิตสังหารก่อนหน้านี้ของนายกอง และที่ใส่เครื่องหมายปรัศนี ก็เพราะจิตสังหารถูกขจัดไปด้วยหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน

จากนั้นสวี่ชิงจึงฝังเรื่องนายกองลงไป เขาไม่อยากจะไปขุดค้นความลับของนายกอง จึงล้วงเอาถุงหนังของซุนเต๋อวั่งออกมาเปิดดู สวี่ชิงนิ่งงันไป

เขาคิดถึงคำพูดตอนที่อีกฝ่ายเดินออกจากบ่อนพนัน

ในถุงหนัง ไม่มีอะไรอยู่เลย ของสัพเพเหระก็ไม่มีค่าอะไร สวี่ชิงขมวดคิ้ว โยนถุงหนังไปข้างๆ นั่งขัดสมาธิเริ่มฝึกบำเพ็ญ

เวลาผ่านไปเช่นนี้หลายวัน สวี่ชิงที่ได้รับหินวิญญาณมายี่สิบก้อนก็ไม่ได้ไปที่ถนนทองผุดอีก ด้วยสงสัยว่าชายชราโรงเตี๊ยมคนนั้นยืมดาบคนอื่นคิดจะสังหารเขา จึงเริ่มวางแผนว่าจะจัดการอีกฝ่ายอย่างไร้ร่องรอยอย่างไรดี

เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยาก ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่คิดจะแหวกหญ้าให้งูตื่นก่อนที่จะลงมือ

เรื่องหลักของเขาในช่วงนี้ นอกจากการฝึกบำเพ็ญแล้ว ก็คือการใช้หินวิญญาณซื้อวัตถุดิบแพงๆ มา แล้วยกระดับเรือเวทของตนเอง

ทำให้เรือเวทระดับสองนี้ยกขึ้นไปอีกสองระดับ ไปถึงจุดที่มั่นคงในระดับสี่

ขนาดเรือเวทเวลานี้เปลี่ยนไปมาก ไม่เพียงแค่ความยาวกว้างเพิ่มขึ้น จุดที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่ปกคลุมตัวเรือไม่ใช่แค่รูปเกล็ดปลาเหมือนก่อนหน้า แต่กลายเป็นเกล็ดปลามากมายนับไม่ถ้วนแล้วจริงๆ

เรือเวททั้งลำในทะเลดูแล้วไม่ค่อยแตกต่างกับจระเข้ยักษ์จริงๆ ตัวหนึ่งเลย ความโหดเหี้ยมบนตัวมันปะทุบ้าคลั่งยิ่ง โดยเฉพาะส่วนหัวของจระเข้ เหมือนจะมีจิตวิญญาณขึ้นมา สองตาของรูปสลักเผยประกายออกมาวูบหนึ่ง

นั่นคือหินจานผาเสริมความแข็งแกร่งแล้วสองก้อนที่สวี่ชิงซื้อมา เปลี่ยนเป็นตาทั้งสอง และทำให้การป้องกันของเรือลำนี้ยิ่งรอบด้านขึ้นไปอีก

อูเผิงแต่เดิมก็กลายเป็นห้องขึ้นมา มีตัวห้องมีประตู ทำให้ด้านความปลอดภัยของสวี่ชิงดีขึ้นมาอีก

และเรือระดับสี่เช่นนี้ในท่าเรือ ใช่ว่าใครจะมีได้ แม้วัสดุที่สวี่ชิงเลือกทั้งหมดล้วนราคาต่ำ แต่ในท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้านี้ ก็ยังดึงดูดสายตาคนบางส่วนเหมือนกัน

เรื่องนี้ทำอะไรไม่ได้ ต่อให้ตอนที่เขาให้ที่ร้านหลอมสร้างช่วยปิดบังไว้หน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นสวี่ชิงจึงทำได้เพียงระแวดระวังให้มากขึ้น

และยังดีที่หลายปีมานี้เขาก็เคยชินกับการระแวดระวังจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว

ขณะเดียวกัน ความเร็วในการยกระดับของเรือเวท ก็ทำให้แผนการออกทะเลของเขาเร็วขึ้นไม่น้อย

ทั้งหมดนี้ ล้วนทำให้สวี่ชิงรู้สึกคาดหวังกับเรือเวทมากขึ้น แม้ค่าใช้จ่ายจะแพง แต่เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่า

ส่วนเรื่องเจ้าจงเหิง หลายวันมานี้ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ราวกับถูกนายกองขู่จนนิ่งไปแล้ว

ขณะเดียวกัน กรมปราบพิฆาตช่วงนี้ผิวเผินเหมือนไม่ได้ออกค้นหานกเขาราตรีแล้ว แต่บรรยากาศภายในกลับตึงเครียดขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าการรวบหัวรวบหางนกเขาราตรีน่าจะใกล้เข้ามาแล้ว

สองวันต่อมา สวี่ชิงที่ออกเวรแล้ว ยังไม่ทันได้ออกจากกรมปราบพิฆาต ก็ได้รับแจ้งว่า คนทั้งหมดวันนี้ห้ามออกจากกรมปราบพิฆาต ให้อยู่คอยคำสั่งในแต่ละกอง”ฮณ๊ฯดฯฌซ,

แผ่นหยกสื่อเสียงของพวกเขา ล้วนถูกจำกัดด้วยเช่นกัน

จึงทำให้สวี่ชิงเข้าใจ ว่าปฏิบัติการรวบหัวรวบหางคือคืนนี้

และก็เป็นเช่นนั้นจริง หนึ่งชั่วยามต่อมา พอตะวันลับฟ้า สวี่ชิงที่รออยู่ในกอง ก็มองเห็นเงาของนายกอง

“ในกรมตัดสินใจแล้ว วันนี้ทั้งเจ็ดพื้นที่จะเข้ารวบหัวรวบหางนกเขาราตรีพร้อมกัน ที่กบดานถูกยืนยันแล้วในช่วงหลายวันนี้ ในพื้นที่ท่าเรือมีที่กบดานนกเขาราตรีอยู่สิบเจ็ดแห่ง สมาชิกนภาพสุธานิลกาฬเหลืองทองทั้งสี่กลุ่มจะปฏิบัติการร่วมกัน

“สวี่ชิง จุดที่เจ้ารายงานมานั้นถูกต้อง ครั้งนี้กองของพวกเราจะออกปฏิบัติการกับกองที่สามของหน่วยพสุธา เป้าหมายคือจุดนี้” นายกองยิ้มให้กับสวี่ชิง จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม สายตากวาดไปยังสมาชิกทั้งหมด

“ในที่กบดานจุดนี้ มีรวมปราณขั้นสมบูรณ์สองคน รวมปราณขั้นเก้าสี่คน ขั้นแปดเจ็ดคน เมื่อรวมกับที่เหลือก็เป็นทั้งหมดยี่สิบห้าคน!

“และกรมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ในทุกที่กบดาน กองที่สังหารนายกองศัตรูได้ ทุกคนจะได้รับรางวัลเป็นหินวิญญาณสิบก้อน และคนที่เป็นคนสังหารตัวนายกองได้ จะได้รับรางวัลหินวิญญาณแปดสิบก้อน!

“นอกเหนือจากนี้ ทุกหัวของนกเขาราตรี ล้วนมีมูลค่าที่สิบก้อนหินวิญญาณ เหล่าพี่น้องเอ๋ย เวลาเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว!”

สวี่ชิงพอได้ยินถึงจุดนี้ ดวงตาก็แข็งค้าง เขาอยากจะยกระดับเรือเวทระดับสี่ให้ไปถึงระดับหก วัสดุที่ต้องการเมื่อรวมกัน ถ้าเลือกราคาต่ำสุดแค่สิบหินวิญญาณก็เพียงพอ แต่ถ้าหากเลือกระดับกลางที่เขาปรารถนา ก็ต้องใช้ประมาณแปดสิบหินวิญญาณ ส่วนราคาระดับสูง สวี่ชิงไม่พิจารณา แพงจนเกินจริงไป

และหลายวันนี้เขาที่กำลังกลุ้มใจว่าจะหาหินวิญญาณอย่างไร ตอนนี้พอได้ยินสิ่งที่นายกองพูด ในดวงตาสวี่ชิงก็เกิดประกายขึ้นมา