ตอนที่ 59 สองพี่น้องผู้เสี้ยมสอน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 59 สองพี่น้องผู้เสี้ยมสอน

ตอนที่ 59 สองพี่น้องผู้เสี้ยมสอน

อาคารที่พักหมายเลข 2 มีทั้งหมด 5 ชั้น หลังจากติดตั้งแล้วราคาเครื่องปรับอากาศนั้นพุ่งสูงถึง 60,000 เหลียนปัง

ตอนนี้เธอมีเงินเหลือ 10,000 กว่าเหลียนปังเท่านั้น…

เงินได้มาก็หมดไป…

ในขณะเดียวกันเธอก็แอบขอบคุณเถ้าแก่สือ ถ้าไม่ได้การสนับสนุนจากเขา 100,000 เหลียนปัง เธอก็คงไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ผู้เช่าก็คงไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับลมเย็น ๆ นี้ได้

หลังจากติดตั้งเครื่องปรับอากาศฝังเพดานแล้ว อุณหภูมิของอาคารที่พักก็ลดลงเหลือ 25 องศาเซลเซียสภายในช่วงเวลาอันสั้น มีลมเย็น ๆ พัดไปมากำลังดี

เพื่อเป็นการไม่รบกวนผู้เช่าในตอนเช้า ซูเถาจึงได้ฝากข้อความไว้ในกลุ่มและติดประกาศไว้ที่ชั้นล่างของอาคารว่าเครื่องปรับอากาศนั้นเปิดตลอดทั้งวัน ให้ผู้เช่าคอยดูแลสุขภาพ ระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงของอากาศ

เมื่อเธอกลับถึงห้อง เธอก็เข้านอนอย่างสบายเพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอนเลย

พอรุ่งเช้าเธอก็ถูกเสวี่ยเตาเลียปลุกให้ตื่นขึ้น

ตอนนี้เธอยังไม่คุ้นเคยกับการมีสุนัขตัวใหญ่ เธอจึงสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ

ทันทีที่เธอลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูดังตามมา หรือว่าที่เสวี่ยเตามาเลียเธอก็เป็นเพราะว่ามันได้ยินเสียงคนเคาะประตู มันจึงมาปลุกตนเอง

เมื่อเธอเปิดประตูก็พบว่าคนที่มาคือเฉินเหล่าเอ้อร์กับหญิงชราเฉิน

หญิงชราเฉินมีกำลังใจดีขึ้นกว่าที่เคย เธอถือกล่องข้าวไว้ในมือแล้วพูดอย่างมีความสุข

“หนูเถา เมื่อคืนฉันหลับสบายมากเลย เครื่องปรับอากาศนี่เย็นสบายจริง ๆ อุณหภูมิกำลังดี พอดี หลับสบายมาก ฉันก็เลยตื่นเช้ามาทำอาหารให้หนูลองชิมดู”

ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ผู้เช่าฝั่งตรงข้ามก็เปิดประตูออก เมื่อเห็นซูเถาเขาก็โบกมืออย่างมีความสุข

“อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่ซู อากาศเย็นสบายดีมากจนเมื่อคืนหลับสบายไม่ตื่นขึ้นเพราะความร้อนเลย”

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เช่าชั้นบนและชั้นล่างต่างก็มาทักทายและขอบคุณเธอที่ติดเครื่องปรับอากาศให้พวกเขา และผู้เช่าบางคนที่รู้ว่าซูเถานั้นนำสุนัขตัวใหญ่มาเลี้ยงก็ไม่รู้ว่าเอาเนื้อติดกระดูกจากไหนมาให้ซูเถา

เมื่อเสวี่ยเตาเห็นเนื้อติดกระดูกชิ้นโต ดวงตาของมันก็เป็นประกาย

ในขณะที่ซูเถากินโจ๊กลูกเดือยและไข่ต้มใบชา เสวี่ยเตาก็นั่งแทะเนื้อติดกระดูกอยู่ข้าง ๆ และสุดท้ายมันก็เหนื่อยและหลับไป

จวงหว่านมาหาเธอและพูดอย่างเหนื่อยใจ

“ติดเครื่องปรับอากาศแล้วก็ไม่วายมีปัญหา ผู้เช่าตึกหนึ่งของเราที่ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศยังไม่เอะอะก่อความวุ่นวาย แต่คนข้างนอกที่รู้เรื่องนี้เข้าก็ก่อเรื่องเสียแล้ว หาเหาใส่หัวคุณจริง ๆ หายนะกำลังจะมา พวกเขาว่า ว่าคุณน่ะอยู่อย่างสุขสบาย ไม่สนใจชีวิตคนข้างนอกว่าจะเสียชีวิตด้วยโรคลมแดด”

คำพูดที่ไม่น่าฟังหลังจากนั้นจวงหว่านก็ไม่ได้พูดออกมา

มันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่าเห็นแก่ตัว ไม่มองถึงภาพรวม ไร้ศีลธรรม

ซูเถากล่าวว่า “ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ถึงแม้ว่าจะมีคนตายฉันก็ไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ ฉันไม่สามารถไปช่วยพวกเขาติดตั้งเครื่องปรับอากาศทั่วตงหยางได้ ฉันติดได้เฉพาะในพื้นที่ของฉันเอง ส่วนอาคารหนึ่งฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะติดตั้งได้หรือเปล่า ถ้าพวกเขาอยากพูดอะไรก็ให้พวกเขาพูดไป”

อาคาร 1 มี 6 ชั้นเชียวนะ

แล้วยังมีโรงอาหารและอาคารสำนักงานอีกที่ต้องติดตั้ง

ทุกสถานที่ต้องใช้เงิน

ก่อนจะกินอาหารกลางวัน ซูเถาประกาศเข้าไปในกลุ่มว่าจะทยอยติดเครื่องปรับอากาศทีละอาคาร ขอให้ทุกคนรอสักพัก

ผู้เช่าอาคาร 1 นั้นมีนิสัยเป็นกันเอง ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร บางคนก็ยังแกล้งแซวว่าจะไปตากแอร์ที่อาคาร 2

แน่นอนว่าหลังจากซูเถากินอาหารกลางวันเสร็จ เธอก็ลงไปที่ชั้นล่างและเห็นผู้คนมารวมตัวกันมากมายที่ห้องโถงของอาคารหมายเลข 2

แม้แต่สือจื่อจิ้นเองก็มา

ซูเถาเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังคุยกับคู่พี่น้องคู่หนึ่งอยู่

เมื่อมองอย่างละเอียดดูเหมือนว่าพวกเธอคือคู่พี่น้องที่เธอเข้าไปสอบถามตอนที่ผู้เช่าชั้นสองทะเลาะกันครั้งก่อน

คู่พี่น้องนี้เหมือนจะกลัวสือจื่อจิ้นมาก พวกเธอก้มศีรษะลงแล้วฟังสิ่งที่เขาพูด จากนั้นก็โค้งคำนับและจากไปอย่างรวดเร็วเพราะเกรงว่าสือจื่อจิ้นจะเรียกพวกเธอกลับไปอีก

ซูเถาเดินไปข้างหน้าแล้วถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

สือจื่อจิ้นขมวดคิ้ว “พวกเธอคือผู้เช่าที่เพิ่งมาอยู่เหรอ?”

ซูเถาพยักหน้าจากนั้นก็หันกลับไปถามจวงหว่าน “พวกเขาเข้ามาอยู่เมื่อไหร่นะคะ?”

จวงหว่านตอบ “ใกล้จะครบหนึ่งเดือนแล้ว”

สือจื่อจิ้นกล่าวว่า “เดือนนี้มีข้อพิพาทระหว่างผู้เช่าบ่อยหรือเปล่า?”

ซูเถาและจวงหว่านมองหน้ากันแล้วถาม “คุณรู้ได้อย่างไร?”

สือจื่อจิ้นกล่าวว่า “รีบส่งพวกเธอออกไปให้เร็วที่สุดดีกว่า ความสามารถของพวกเธอคือการเสี้ยมสอน ซึ่งเป็นความสามารถทางจิตเชิงลบ ผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจะมีอารมณ์ที่รุนแรงและขัดแย้งกับผู้อื่นได้ง่าย พวกเธอเพิ่งมาคงยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าพวกเธอทั้งสองเอาจริงผมว่าผู้เช่าคงได้มีปากเสียงกันแน่ ๆ”

“เมื่อกี้ผู้เช่ามารวมตัวกันที่นี่เพื่อถกปัญหา พวกเธอสองคนก็อยากที่จะเข้ามาก่อกวน แต่ว่าถูกผมจับได้เสียก่อน ไม่งั้นคงได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งขึ้นแน่”

จวงหว่านอุทาน “สวรรค์ ฉันคิดว่าเป็นเพราะว่าอากาศร้อนเกินไป ทุกคนเลยอารมณ์ไม่ดี”

ซูเถาพยักหน้า “ฉันก็เลยรีบติดตั้งเครื่องปรับอากาศ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะแบบนี้”

จวงหว่านเดินเข้ามาสองก้าว “ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องรีบส่งพวกเธอออกไป พวกเธอร้ายกาจจริง ๆ ฉันก็ว่าผู้เช่าบางคนปกติเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวแต่ทำไมพวกเขาถึงได้มีอารมณ์รุนแรงทะเลาะกับผู้เช่ารายอื่นได้”

ซูเถาถามสือจื่อจิ้น “ที่ตงหยางมีรายชื่อผู้มีพลังวิเศษไหม? ได้บันทึกข้อมูลไว้ทั้งหมดหรือเปล่า พวกเราส่งรายชื่อผู้เช่าให้พวกคุณช่วยคัดกรองความปลอดภัยก่อนได้หรือเปล่า?”

สือจื่อจิ้นส่ายหัว “สิ่งนี้ไม่สามารถบันทึกได้ คนที่มีความสามารพิเศษบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาได้ปลุกพลังขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถที่แอบซ่อนซึ่งมันจะตรวจจับได้ยาก เช่น การพัฒนาประสาทสัมผัส เช่น การรับรู้พิเศษ และอื่น ๆ อีก ความสามารถพิเศษ ถ้าเจ้าตัวไม่รู้ พวกเราก็ยิ่งไม่รู้”

“ยิ่งวันสิ้นโลกนี้ดำเนินไปนานเท่าไหร่ การกลายพันธุ์ของพลังความสามารถก็ยิ่งควบคุมได้น้อยเท่านั้นและความสามารถแปลก ๆ ก็ปรากฏเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเคยเห็นคนที่มีความสามารถนิ้วเรืองแสง เล็บเปลี่ยนสี ลิ้นยาวเหมือนงู และเส้นผมห่อหุ้มตัวได้เหมือนดักแด้ สารพัดอย่างซึ่งซับซ้อนมาก”

ซูเถาและจวงหว่านตกตะลึง

โลกกำลังเปลี่ยนแปลง มีเพียงพวกเธอเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้

“เป็นธรรมดาที่พวกคุณจะไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้ ผมอยู่ข้างนอกตลอดทั้งปีและได้เจอกับผู้คนมากมาย ตอนนี้คนที่มีพลังวิเศษได้ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความลับ ผู้ที่ทำงานด้านการบันทึกจึงเผชิญกับความลำบาก ดังนั้นฐานหลักจึงละทิ้งบันทึกของพนักงานทั้งหมด และใช้การทดสอบที่เข้มงวดบันทึกเฉพาะบุคลากรทางการทหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น”

ซูเถาประสานมือเข้าด้วยกัน “ช่วยอวยพรให้ฉันอย่ามีความสามารถลิ้นยาวหรือขาสั้นลงอะไรทำนองนั้นเลย”

สือจื่อจิ้นเลิกคิ้ว “แล้วถ้ามีแบบนั้นจริง ๆ ล่ะ?”

ซูเถา “…ปากเสีย ไม่ต้องมาพูดเลย ถ้าฉันมีพลังลิ้นยาวฉันจะไปแลกลิ้นกับคุณก่อนเป็นอย่างแรก”

สือจื่อจิ้น จวงหว่าน “…”

สุดท้ายเรื่องของสองพี่น้องผู้เสี้ยมสอนก็ต้องเป็นสือจื่อจิ้นที่เป็นคนออกหน้าแล้วให้พวกเธอลงนามในขั้นตอนการยกเลิกการเช่า

เหตุผลหลักก็คือสองพี่น้องจะใช้พลังกลั่นแกล้งซูเถาและจวงหว่านซึ่งเป็นคนธรรมดา

เมื่อสือจื่นจิ้นนั่งลงข้าง ๆ มือของคู่พี่น้องนี่ก็สั่นสะท้าน

ฝ่ายน้องสาวมองซูเถาอย่างสมเพช “เถ้าแก่ซู เราสัญญาว่าเราจะไม่ทำอีก ครั้งนี้คุณยกโทษให้พวกเราได้ไหม ถ้าเราถูกไล่ออกไป เราก็จะไม่มีที่อยู่อาศัย บ้านที่เราเคยอาศัยอยู่ก็ถูกครอบครองโดยผู้อาวุโสในครอบครัว ถ้าพวกเรากลับไปคงได้นอนที่ทางเดิน…”

ฝ่ายพี่สาวก็เริ่มปาดน้ำตา “พวกเราก็เลยลองมาอยู่หอพักรวม แต่พวกเราสองคนไม่มีที่พึ่งพา เป็นคนไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้และมักถูกรังแกอยู่เสมอ เราทำได้แค่หนีและยุยงให้คนอื่นสร้างปัญหาให้กันและกันเอง เราไม่มีทางเลือก”