บทที่ 73 – สถานที่ลึกลับ

 

แนวคิดเวลาเหมือนจะเลือนรางเมื่อดำรงอยู่ภายในหลุมดำซึ่งไม่มีสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะร่างกายของเธอหรือทุกสิ่งทุกอย่าง

สิ่งเดียวที่ยังพอทำให้เธอดำรงอยู่ต่อไปได้ก็คือความนึกคิด.. ความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแทนที่จะบอกว่าคือความตาย..ต้องบอกว่ามันเป็นการดับสูญหวนคืนสู่ความว่างเปล่าที่แท้จริงเลยก็ว่าได้

หากมิวไม่ใช่สิ่งมีชีวิตลึกลับที่ชื่อมังกร.. บางทีเธอคงจะตายไปพร้อมกับหวนคืนสู่ความว่างเปล่าแล้ว

ถึงแม้จะไม่มีเวลา.. แต่สติของมิวที่ยังหลงเหลืออยู่เธอไม่รู้ว่าตนเองเริ่มนับตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทว่าเธอก็นับผ่านความคิดตัวเอง

วันแล้ว วันเล่า.. ชีวิตที่ดำรงอยู่ภายในนั้นไม่ควรถูกนับว่าเป็นชีวิต.. มันมีเพียงแค่ความสิ้นหวังที่ไร้ทางออก

ไม่มีอะไรให้นึกถึง ไม่มีอะไรสามารถทำได้ ทุกอย่างมันช่างกลวงโบ๋.. เคว้งคว้างและโดดเดี่ยว ความเหนื่อยล้า ความทรมาน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่มีใครจะสามารถจินตนาการได้กำลังหลั่งไหลเข้ามาภายในอกของมิว.. ความรู้สึกที่ไหลเข้ามาเหล่านั้นมันไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่ตัวเธอในอนาคตสัมผัส

เพราะความทรงจำมันยังมีหลายส่วนที่เสียหาย.. ความทรงจำที่ขาดหายนั้นมีมากกว่าเก้าในสิบส่วนด้วยซ้ำ

และส่วนที่สำคัญที่สุดอย่างตอนเลือกที่จะเข้าไปในหลุมดำนั้นกลับถูกจดจำไว้แน่นหนามากที่สุด..

เพราะมิวมีเป้าหมายแล้ว.. นั่นก็คือการออกไปทำให้ตัวเองสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสง

ไม่สิ ในจักรวาลจำลองนี้ต้องบอกว่าเธอควรจะเร็วกว่าความเร็วที่เธอควรจะทำได้นั่นแหละ.. แต่นั่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้ในตอนนี้

มิวในตอนนั้นไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่จะทำให้เธอสามารถหลุดพ้นออกมาจากหลุมดำได้…

ไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่.. หรือเริ่มขึ้นตอนไหน.. แต่ทว่าบัดนั้นเองบัดที่มิวนับเวลาถึงช่วงเวลานับหนึ่งเดือนหลังจากเข้ามาในหลุมดำ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสัมผัสไม่ได้.. ก็ยังสัมผัสไม่ได้เหมือนเดิม ไม่มีการมองเห็นไม่มีการได้ยิน แต่มันช่างน่าประหลาด

ความรู้สึกที่เหมือนกับยืนอยู่ท่ามกลางอะไรบางอย่าง.. เปลือกตาของมิวเปิดขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ สิ่งที่รอเธออยู่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีอะไรเลยอย่างภาวะเอกฐาน

ไม่สิ มิวยังรู้ดีว่าเธอต้องอยู่ในภาวะเอกฐานแน่ๆ แต่ที่นี่คือที่ไหนทำไมจิตของเธอถึงสามารถมาเยือนที่แห่งนี้ได้

ที่แห่งนี้มีเพียงท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆประดับประดาอย่างงดงาม ไม่มีดวงตะวันส่วนพื้นดินก็เหมือนไม่ใช่พื้น

เพราะมันสะท้อนภาพท้องฟ้าทั้งหมดอยู่ เป็นดินแดนที่ไม่น่าจะใช่สิ่งที่มีอยู่บนโลกใบนี้อย่างแน่นอน มองไปทางไหนก็มีเพียงระยะที่สุดลูกหูลูกตา

ราวกับไม่มีทางที่จะตามหาจุดจบมันได้..

แต่ตรงหน้ามิวห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร.. มีหอคอยขนาดใหญ่ที่สูงอยู่ ถึงจะบอกว่าหอคอยแต่มันเป็นโครงสร้างที่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ในลักษณะหอคอยเท่านั้นแหละ

สิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ต่างไปจากทุกอย่างบนโลกแห่งนี้.. มิวไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปยังทิศทางนั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้

แต่โลกใบนี้มันพิศวงเกินกว่าจะเข้าใจได้ มิวจึงไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไป

ทั้งที่โลกนี้ไม่มีทั้งระยะทางหรือปลายทางเหมือนในภาวะเอกฐาน.. แต่เพราะตอนนี้มิวไม่มีร่างกายเลยทำให้เธอสามารถเคลื่อนที่โดยใช้จิตสำนึกของตัวเอง

เมื่อเธอเข้าใกล้โครงสร้างของหอคอยนั้นมากขึ้น มากขึ้น.. เธอก็พบว่าหอคอยที่เธอเห็นนั้นมันกว้างใหญ่มากเสียจนเธอมองไม่เห็นขอบมันแล้ว

มันใหญ่เกินกว่าที่มิวจะสามารถเดินรอบมันได้โดยใช้เวลาทั้งชีวิตด้วยซ้ำ.. ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แห่งนี้ก็ดี หรือสิ่งก่อสร้างก็ดี

ทุกสิ่งทุกอย่างภายในนี้ช่างดูแปลกตาอย่างยิ่ง

“สถานที่แบบนี้.. มันยังไม่หายไปอีกเหรอ?”

ในตอนนั้นเองเสียงปริศนาก็ดังขึ้นก้องไปทั่วที่แห่งนี้ ไม่รู้ว่ามาจากที่แห่งไหน ไม่รู้ว่าเป็นใคร มิวเพียงทราบว่าจะเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง

แต่ทว่าวินาทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ความกลัวบางอย่างภายในจิตใจของเธอก็ถูกกระตุ้นโดยเนื้อแท้ ทั้งที่ไม่มีอะไรให้ตื่นกลัว

แต่เธอกลับกลัวเสียจนแทบจะช็อกตาย.. มันคือความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิตนี้ แม้แต่ตอนเธอตายก็ตาม

ประตูหอคอยนั้นไม่สนใจเสียงปริศนา มันค่อยๆ เปิดราวกับต้อนรับมิวอย่างยินดีเมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกมา

มิวถึงได้พบกับภาพที่น่าตกตะลึงภายในนี้.. ถ้าจะบอกว่าหอสมุดหรืออะไรก็ตามที่รวบรวมสมุดไว้เยอะที่สุดในโลก

นั่นคงไม่สามารถเทียบได้แม้เพียงเสี้ยวกับสถานที่แห่งนี้.. เพราะในนี้มันมีหนังสือที่มากมายจนไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็ลายตาไปหมด

มิวเคลื่อนที่ผ่านประตูนั้นเข้าไป.. ตรงกลางหอคอยมีสถานที่บางอย่างที่เหมือนจะเป็นลิฟต์ลอยฟ้าอยู่

เธอเคลื่อนที่ไปอยู่ตรงนั้น ลิฟต์ที่ว่าก็พาเธอพุ่งสูงขึ้นรวดเดียวจนไปถึงยอดหอคอย.. มิวถึงได้รับรู้ว่าความเร็วของลิฟต์มันคือความเร็วที่เธอปรารถนาในตอนนี้

ความเร็วที่เร็วเหนือกว่าความเร็วแสง มันเร็วจนแม้แต่หลักเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจขึ้นลิฟต์นี้หายออกไปด้วยซ้ำ

แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเดิมทีที่แห่งนี้ก็ไม่มีแนวคิดอะไรดำรงอยู่อีกแล้วมันจึงไม่นับว่ามีค่าอะไรเมื่ออยู่ภายในนี้

ในชั้นบนสุดนั้นไม่ค่อยมีหนังสือมากนัก แต่กลับมีโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมิวซึ่งห่างออกไปไม่กี่เมตรเท่านั้น

และที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือที่ตรงนั้นมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่.. แม้แต่มิวยังไม่สามารถที่จะมีร่างกายได้ แต่คนคนนั้นกลับมีร่างกายครบทุกส่วน

ซึ่งมันดูแปลกประหลาดมาก.. คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับมิวก็คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีผมสีเหลืองทองดึงดูดสายตา

ใบหน้าที่เรียวเล็กของเธอนั้นจ้องมองมาที่มิวโดยไม่ได้กล่าวอะไร เธอสวมชุดธรรมดาเรียบง่ายไม่หรูหราหรือรุงรัง

สามารถเข้าใจได้ว่าเธอเป็นคนที่ค่อนข้างไม่สนใจอะไรที่ยิบย่อย ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอเปิดปากเล็กๆ ของเธอคุยกับมิว

“สิ่งที่จำเป็นสำหรับเธออยู่ตรงนั้น”

เสียงเล็กๆ ของเธอพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่หนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ในชั้นหนังสือ มิวเองก็สับสนกับสถานการณ์นี้แต่เธอก็ยังเดินไปเอาหนังสือเล่มดังกล่าว

หนังสือเล่มนี้มีชื่อเรียกว่า ‘บทวิจัยอนุภาคแทคีออน’ (Tachyon)

หนังสือเล่มอื่นที่อยู่ข้างๆ นั้นก็เป็นหนังสือเกี่ยวกับพวกหลุมดำ จักรวาลจำลอง.. หอคอยทั้งเจ็ด ประตูบอร์เดอร์.. ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธออยากรู้หรือยังไม่รู้เกี่ยวกับมัน

ราวกับมันถูกวางไว้ในชั้นนี้เพื่อมิวอย่างไรอย่างนั้น.. มิวหันไปถามผู้หญิงผมสีเหลืองทองด้วยความสับสนว่า

“ที่นี่คือที่ไหน แล้วเธอเป็นใคร”

แม้มิวจะไม่มีเสียงแต่เธอกลับสื่อสารได้อย่างน่าฉงน.. หญิงสาวคนนั้นเธอเพียงตอบกลับมาสั้นๆ ว่า

“ที่นี่คือห้องสมุดของฉัน ส่วนฉันเป็นใครนั้น—”

“นั่นสินะ”

“เรียกว่าผู้หวังดีต่อเธอก็ได้”

หญิงสาวปริศนากล่าวแค่นั้นแล้วก็โบกมือให้.. ในตอนนั้นเองมิวก็ได้จากโลกนี้ไปแทบจะทันที หนังสือเล่มนั้นเธออ่านมันไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

เหมือนว่าเธอจะอ่านไปแล้ว แต่ว่าอาจจะเพราะความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์หรืออะไรก็ตามแต่ทำให้เธอไม่สามารถเข้าใจได้ถึงหลักการทำงานของมันได้

“ฉันก็ไม่คิดว่าหล่อนจะเข้ามาในหลุมดำเลยนะ ทำไมจะทำอะไรเธอถึงไม่บอกฉันก่อน”

…….

“ไม่ตอบเหรอ พออยากจะใช้ฉันก็ใช้เอา ใช้เอา พอมีปัญหาก็โยนบทมาให้ฉัน นี่เธออยากจะทำอะไรกันแน่”

……..

“แล้วถ้าอยากจะใช้ฉันก็ไม่ต้องทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ก็ได้ มันเหนื่อย”

……..

“เอาเถอะ ฉันไม่มีทางเข้าใจเธอได้หรอก ก็ไม่แปลกที่ยัยนั่นจะเกลียดเธอ”

สุดท้ายแล้ว

นี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในเรื่องราวที่…………..

“งั้นเหรอ?”