บทที่ 40 โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนไม่ใช่สนามเด็กเล่น

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 40 โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนไม่ใช่สนามเด็กเล่น

บทที่ 40 โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนไม่ใช่สนามเด็กเล่น

ภายใต้แสงไฟสลัว ๆ บริเวณวิลล่าและหิมะนุ่ม ๆ ที่โปรยปราย ทั้งสามคนเดินกลับบ้านมาด้วยกันโดยมีร่มที่คอยบังหิมะ

“เหมียวเหมี่ยวง่วงแล้ว พาเธอกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมมาอยู่ข้าง ๆ นะ” โจวอี้มองไปยังลูกสาวที่กำลังอ้าปากหาว

ถังหว่านจ้องไปที่โจวอี้ แม้เธอจะรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็พูดออกไปว่า “ต่อไปอย่าตัดสินใจแทนฉันอีกนะ”

“เรื่องแขกรับเชิญร้องเพลงน่ะเหรอ?” โจวอี้ถาม

“ใช่”

“ก็ได้ ผมเข้าใจแล้ว” โจวอี้พยักหน้า

สีหน้าของหญิงสาวเริ่มลังเล แต่ในที่สุดเธอก็ถามขึ้นอีกว่า “คุณสมัครงานเป็นหมอในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงจริงเหรอ?”

“ไม่ใช่สมัคร แต่ตอบรับคำเชิญชวนจากเขา” โจวอี้แก้ไขสิ่งที่เธอพูด

“แล้วทำงานแค่สองวันต่อสัปดาห์?”

“ถูกต้อง…” เขาพยักหน้า

“นี่คุณ…!” ถังหว่านส่ายหัว และพาลูกสาวไปที่สนาม

เธอไม่เชื่อเขาเหรอ?

โจวอี้มองตามแผ่นหลังของถังหว่าน อดไม่ได้ที่จะกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย เขาเป็นคนซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ขนาดนี้ แล้วเธอจะไม่เชื่อเขาได้อย่างไร?

เธอกินเกลือมากเกินไปในช่วงสองสามปีมานี้ จนเกิดอาการคล้ายโรคคิดไปเองว่าป่วย*[1] ใช่หรือไม่?

ช่างมันเถอะ เพราะเห็นแก่หน้าลูกสาวหรอกนะ

ดังนั้นฉันไม่สนใจเธอหรอก!

โจวอี้หันหลังเดินกลับมาที่บ้านของตัวเอง เขาอาบน้ำอุ่นอย่างสบายใจ ก่อนจะมานอนอยู่บนเตียง เล่นมือถือสักพักแล้วผล็อยหลับไป

วิลล่า 9

หวังเจิ้งเหว่ยสวมชุดนอนและกำลังเช็ดผมที่เปียกด้วยผ้าขนหนู

เมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นว่าภรรยากำลังแกะของขวัญอยู่ข้างนอก

“คุณเคยรับของขวัญแบบนี้หรือเปล่า?” หวังเจิ้งเหว่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“นั่นน่ะสิ ใครจะให้ของขวัญคนอื่นเป็นยาต้มกัน?” หูชุ่ยหัวเราะและพูดต่ออีกว่า “แต่ขวดหยกนี้สวยดีทีเดียว”

“มีขวดหยกที่ปรับแต่งเองมากกว่าหมื่นขวดในห้องรวบรวมสมบัติที่ตลาดโบราณ!” หวังเจิ้งเหว่ยพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ

“ถ้าอย่างนั้นของขวัญชิ้นนี้ก็ไม่เบา!” หูชุ่ยกล่าว

“คุณลืมสิ่งที่น้องโจวพูดเหรอ? หีบไม่สามารถปิดไข่มุกได้ ผมเกรงว่ายาต้มอี้เฉินในขวดหยกนี้จะเป็นยาดีจริง ๆ” หวังเจิ้งเหว่ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“จะดื่มจริง ๆ เหรอ?” หูชุ่ยถามอย่างลังเล

“แน่นอน น้องโจวคงไม่พูดเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”

“พวกคุณเรียกเขาว่า ‘น้องชาย’ โจวอี้ใช้เสน่ห์อะไรกับคุณ พี่อู๋และเสี่ยวหยาง พวกเขาดูใจดีกับโจวอี้มาก คุณเพิ่งพบเขาครั้งแรกเองนะ!” หูชุ่ยสงสัย

“บางคนรู้จักกันมาครึ่งชีวิตแล้ว แต่พวกเขาไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจกัน บางคนเป็นแค่เพื่อนใหม่ แต่เรากลับรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่แรกเห็น” หวังเจิ้งเหว่ยยิ้ม

“อะไรทำให้คุณสนใจเขา?”

“เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม”

“…”

และแล้ว การพูดคุยในเรื่องเดียวกันก็เกิดขึ้นทั้งในวิลล่า 56 และบ้านของหยางจื่อต้งและโจวลี่ลี่

ณ เขตชีเสีย เมืองจินหลิง

หญิงชราคนหนึ่งนั่งคุกเข่าบนฟูกนอนที่ประตูบ้านเดี่ยว เธอเงยหน้ามองท้องฟ้า และกำลังฝึกฝนปราณแก่นแท้ของเธออย่างเงียบ ๆ เกล็ดหิมะที่ลอยอยู่ทั่วท้องฟ้าไม่อาจหยุดกลิ่นสมุนไพรที่ลอยคลุ้งอยู่ในสนาม

เหลียนซานกางร่มสีแดง เธอลังเลอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ส่งเสียง

ในที่สุด หญิงชราก็ลืมตาขึ้น และดวงตาที่ลึกล้ำของเธอก็จับจ้องไปที่หลานสาวของเธอที่อยู่ข้างนอก

“ดูเหมือนว่าครั้งล่าสุดที่เธอมาหาฉันคือสามเดือนที่แล้วนะ?”

“คุณยาย ฉันยุ่งมาก!” เหลียนซานกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง

“ไม่ว่าง? แล้วทำไมวันนี้เธอถึงว่างมาที่นี่ล่ะ?” หญิงชราถาม

“ฉันมาเพื่อขอให้คุณพูดอย่างยุติธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรังแกฉัน เขามอบหมายให้ฉันดูแลชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาทำงาน”

เหลียนซานวางร่มของเธอไว้ที่ประตู เดินไปที่ฟูกข้าง ๆ เธอนั่งคุกเข่าลง แล้วพูดต่อ “คุณยาย คุณเป็นคนรู้จักเก่ากับผู้อำนวยการโรงพยาบาล กรุณาช่วยฉันด้วย! ฉันไม่ต้องการเป็นผู้ช่วยให้ชายหนุ่มคนนั้น มันเสียเวลา!”

“รู้ที่มาของขายหนุ่มคนนั้นไหม?” หญิงชราถาม

“ฉันก็ไม่รู้” เหลียนซานส่ายหัว

“ทักษะทางการแพทย์เป็นยังไงบ้าง?”

“ฉันก็ไม่รู้!”

“เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา ก็เลยสงสัยเรื่องการจัดเตรียมของผู้อำนวยการโรงพยาบาล แล้วถ้าเขามีความสามารถจริง ๆ ล่ะ?” หญิงชราเอ่ยอย่างโกรธเคือง

“หมายความว่ายังไงคะ? ชายหนุ่มคนนั้นคงเข้ามาในโรงพยาบาลของเราด้วยเส้นสาย บางทีเขาอาจมีภูมิหลังอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นถึงแพทย์ที่ปรึกษาในโรงพยาบาลของเราได้ยังไง แล้วจะทำงานแค่สองวันต่อสัปดาห์เองเหรอ?” เหลียนซานกล่าวอย่างดูถูก

“ที่ปรึกษา? ทำงานแค่สองวัน? และยังคงส่งเธอซึ่งเป็นหัวหน้าแพทย์แผนจีนมาเป็นผู้ช่วยของเขา?” แววตาของหญิงชราเป็นประกาย “เหลียนซาน โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนไม่ใช่สนามเด็กเล่น และผู้อำนวยการโรงพยาบาลของเธอก็ไม่ได้พิการทางสมอง เขาไม่ใช่คนโง่งี่เง่า ถ้าพวกเขาตัดสินใจแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเหตุผล”

“เหตุผลอะไร?” เหลียนซานยังคงไม่เข้าใจ

“ถ้าฉันเดาถูก ชายหนุ่มที่เธอเล่ามานั้นไม่ธรรมดา” หญิงชราพูดอย่างจริงจัง

“จะเป็นไปได้เหรอคะ? เขาอายุอย่างมากสุดก็คงยี่สิบห้าปี ถึงเขาจะเริ่มเรียนแพทย์แผนจีนตั้งแต่ยังทารก แต่เขาจะสามารถเรียนรู้ได้แตกฉานภายในยี่สิบปีเชียวเหรอ?” เหลียนซานยังคงไม่เชื่อ

หญิงชราส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจของเธอค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘แพทย์ที่ปรึกษา’ ของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง

เช้าวันรุ่งขึ้น…

หลังจากโจวอี้เสร็จสิ้นการฝึกฝน เขาก็รีบไปตลาดผักเพื่อซื้อผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์ จากนั้นจึงกลับบ้านเพื่อทำอาหารให้ภรรยาและลูก ๆ

เขามีถังหว่านเป็นภรรยาแล้ว ถึงแม้เรื่องนั้นจะผ่านมาหลายปี!

แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่หน้าด้านพอ!

อาหารเช้าฝีมือเขาวันนี้คือโจ๊กเมล็ดบัวแปดสมบัติ แป้งทอดหอมกรุ่น เกี๊ยวกุ้งคริสตัล มันม่วงนึ่ง ไข่ลวก และอาหารจานพิเศษอีกสองจาน

ถังเหมียวเหมี่ยวและถังหว่านก็มาร่วมด้วย แม้แต่ซุนเหมิง ผู้ช่วยของถังหว่านก็ได้รับเชิญอย่างอบอุ่น

“เสี่ยวเหมิง! ตอนที่ถังหว่านทำงานนอกบ้าน คุณต้องทำงานหนักและดูแลเธออย่างดี ผมรู้ว่าคุณเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับงานนี้มากนัก!” โจวอี้มีความคุ้นเคยแล้วจึงตะโกนคุยกับซุนเหมิงอย่างเป็นธรรมชาติ และนั่นทำให้ซุนเหมิงรู้สึกอายเล็กน้อย

“อืม…ฉันจะพยายาม!” ซุนเหมิงพยักหน้า

“ไม่ต้องพูดแล้ว กินเร็ว!” ถังหว่านขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอกัดแป้งทอดแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เหมียวเหมี่ยวอยากกินอาหารตะวันตก”

“อยากกินเหรอ?” โจวอี้ตกตะลึง ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ พรุ่งนี้เช้าจะเตรียมไว้ให้”

หลังจากที่ทุกคนกินอิ่มแล้ว ถังหว่านก็พูดขึ้นว่า “วันนี้ฉันจะพาเหมียวเหมี่ยวไปโรงเรียนเอง คุณไม่ต้องไป”

“คุณผ่านโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงไหม?” โจวอี้ตั้งตารอที่จะถามอยู่แล้ว

“ไม่ผ่าน” ถังหว่านส่ายหัวทันที

“พี่หว่าน ปกติเราก็ผ่าน…” ขณะที่ซุนเหมิงเอ่ยแย้ง ทว่ายังไม่ทันเอ่ยจบประโยค เธอก็เหลือบเห็นสายตาดุดันของถังหว่านที่ตวัดปรามเธออยู่ จึงต้องรีบก้มศีรษะด้วยความรู้สึกผิด

โจวอี้มองไปที่ซุนเหมิงและถังหว่านพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ

ซื้อรถ!

ใช่! เขาต้องซื้อรถ!

แค่มีใบขับขี่เท่านั้น…

ดังนั้นเขาต้องกลับไปถามหยางจื่อต้งคนบ้ารถผู้นั้น ว่าจะหาใบขับขี่อย่างเร็วที่สุดได้ที่ไหน?!

[1] โรคคิดไปเองว่าป่วย หรือ Hypochondriasis ผู้ป่วยจะมีความเชื่อว่าตนเองป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่ง และถึงแม้ว่าหมอจะวินิจฉัยว่าไม่ได้ป่วยด้วยโรคนั้น แต่ก็ยังคงไม่เชื่อ ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน