ตอนที่ 65 ต่อให้เป็นเขยแต่งเข้าก็ยอม
ยิ่งพูดเสียงของอวิ๋นไป๋ก็ยิ่งเบาลงจนเงียบหายไปในที่สุด
“ลูกรัก ลูกเป็นเด็กที่หมอเทวดาหยวนเก็บมาเลี้ยงและช่างบังเอิญที่ปีนี้ลูกเองก็อายุครบสิบแปดปีพอดี…”
“อื้ม”
“จะว่าไปแล้วโครงหน้าลูกก็เหมือนกับเย่ว์เลี่ยงมาก ตาของลูกก็เหมือนกับดวงตาพี่สะใภ้และอากวงราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันเป๊ะ ส่วนปากของลูก…เหมือนกับป้าเย่ว์!”
ดวงตาของอวิ๋นไป๋เบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด!
มู่เถาเยาหัวเราะเบาๆ
“…ลูก…คงไม่ได้เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเย่ว์เลี่ยงจริงๆ หรอกใช่ไหม”
มู่เถาเยาพยักหน้า “หนูเป็นค่ะ”
“…เอ่อ ไม่เป็นไร ถ้าเป็นลูกสาวไม่ได้งั้นเปลี่ยนเป็นหลานสาวแทนก็ได้”
อวิ๋นไป๋ไม่สงสัยในตัวมู่เถาเยาสักนิด
มู่เถาเยา “…”
ฟังจากคำพูดที่น้าเล็กอวิ๋นพูด ราวกับว่าเสด็จแม่เป็นภรรยาของเขาแล้วยังไงอย่างนั้น! เห็นๆ อยู่ว่าแม้แต่อักษรวันเดือนปีเกิดทั้งแปดตัวยังไม่ได้แลกเปลี่ยนกันด้วยซ้ำ!
จู่ๆ อวิ๋นไป๋ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของเขา ส่งเสียงจุ๊ๆ แล้วมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
หลังจากยืนยันแล้วว่ามีเพียงคนขับรถและบอดี้การ์ดในรถเท่านั้นที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ เขาก็พิจารณาอย่างจริงจังว่าควรจะฆ่าปิดปากพวกเขาดีหรือไม่
บอดี้การ์ดพากันตัวสั่น รู้สึกว่าหัวของพวกเขาไม่มั่นคงเล็กน้อย
“คุณอวิ๋น อันที่จริงแล้วผมหูหนวกครับ ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!”
อวิ๋นไป๋แสดงออกอย่างพึงพอใจ แน่นอนว่าผู้ที่สามารถเข้ามาทำงานในตระกูลตี้ได้นั้นย่อมสามารถเชื่อใจได้ระดับหนึ่ง
“ลูกรัก…อ๊ะ ไม่สิ หลานรัก อย่าบอกคนอื่นถึงสถานะที่แท้จริงของหลานเชียว จะได้ไม่เป็นการดึงดูดความสนใจของบางคน”
ท้ายที่สุด อวิ๋นไป๋ไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นเขาจะเดาถึงสาเหตุของการหายตัวไปของมู่เถาเยาในปีนั้นไม่ได้ได้อย่างไร
“ฉันรู้ค่ะ มีเพียงคนตระกูลเย่ว์และอาจารย์ของฉัน กับคนที่ใกล้ชิดอีกบางส่วนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ และทุกคนก็ล้วนเชื่อใจได้”
พวกเขาอยู่ในที่แจ้งส่วนศัตรูอยู่ในที่ลับ ยิ่งมีคนรู้เรื่องเกี่ยวกับเผ่าพระจันทร์น้อยเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น
ทารกแรกเกิดคนหนึ่งไม่มีทางมีศัตรูอย่างแน่นอน ดังนั้นจะต้องเป็นฝีมือศัตรูของตระกูลเย่ว์หรือไม่ก็เผ่าพระจันทร์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นความแค้นที่มาจากไหน
นับตั้งแต่ที่เธอหายตัวไป เผ่าพระจันทร์ได้ทำการตรวจสอบด้วยตัวเองและรื้อระบบการรักษาความปลอดภัยทั้งหมดใหม่ จนเกิดเป็นระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเผ่า จากนั้นพวกเขาก็ปิดตายเผ่า ระงับการท่องเที่ยวเป็นเวลาหลายปี
อย่างไรก็ตาม เธอไม่รังเกียจที่จะเปิดเผยข้อมูลบางส่วน มิฉะนั้นศัตรูก็จะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตลอดกาล
โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ การออกค้นหาเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินไป แต่การซ่อนตัวกลับง่ายนิดเดียว
“เยาเยาหลานสาวตัวน้อยของน้า สองสามวันนี้น้าเล็กจะพักอยู่ในเขตเซิ่งซื่อฉางอันตลอด ถ้าอาของหลานมา หลานต้องรีบมาบอกน้าเล็กให้เร็วที่สุดเลยนะ!”
“คุณอาจะมาถึงวันศุกร์นี้ค่ะ”
มู่เถาเยารู้สึกประทับใจกับความทุ่มเทและความรักมั่นของอวิ๋นไป๋ที่มีต่อเสด็จแม่ของเธอตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาจริงๆ
ดังนั้นเธอจึงสนับสนุนอวิ๋นไป๋ เพราะเธอเองก็อยากให้เสด็จแม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ส่วนเรื่องตระกูลเย่ว์ เธอจะรับช่วงสืบทอดต่อเอง อย่างไรเสียเธอก็มีประสบการณ์บริหารบ้านเมืองถึงยี่สิบปีเต็มเชียวนะ
ราชวงศ์เทียนเย่ว์นั้นกว้างใหญ่กว่าเผ่าหมาป่าพระจันทร์หลายเท่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เผ่านี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว!
ขนาดปัญหาเละเทะที่สุมกองเป็นภูเขาที่ตระกูลมู่ทิ้งเอาไว้เธอยังจัดการได้ จะจัดการกับโลกที่มีแต่ความเสมอภาคเช่นนี้ไม่ได้เลยเหรอ
แน่นอน ถ้าพี่ชายทั้งสองของเธอยินดีที่จะรับช่วงต่อเอง เธอก็ไม่รังเกียจจะส่งมอบมันให้พวกเขาไป
อย่างไรเสียเป้าหมายแต่เดิมของเธอก็คือการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา และมีความสุขกับชีวิตฉบับคนธรรมดาๆ!
ในชาติที่แล้ว เสด็จแม่เพิ่งใช้ชีวิตได้เพียงยี่สิบหกปีเท่านั้น ชาตินี้เธอจะให้เสด็จแม่ได้ใช้ชีวิตชดเชยในชาติก่อนที่สูญเสียไป ให้เธอมีความสุขมากขึ้นเป็นเท่าทวี
เสด็จแม่ของเธอ เธอจะรักและทะนุถนอมเอง!
“เดี๋ยวน้าเล็กโทรจองโต๊ะ จะได้เลี้ยงต้อนรับเย่ว์เลี่ยง” อวิ๋นไป๋ยิ้มกว้างจนตาหยี
“เราไม่ออกไปข้างนอกค่ะ”
“งั้นกินที่บ้านตระกูลเย่ว์ก็ได้นี่ เดี่ยวน้าไปซื้อของสดมาทำอาหารให้ทุกคนกินเอง”
“น้าเล็กอวิ๋นทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ” มู่เถาเยาค่อนข้างประหลาดใจ
คุณชายสูงศักดิ์ที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดทำอาหารเป็นด้วย?
“แน่นอนสิ! เพื่อภรรยาและลูกๆ ของน้าในอนาคต น้าเล็กถึงกับว่าจ้างพ่อครัวสองสามคนมาสอนทำอาหารโดยเฉพาะเลยนะ! หลานสาวคนดี ฝีมือทำอาหารของน้าเล็กอร่อยมากนะ! รับประกันได้เลยว่าทั้งอาของเธอและตัวเธอจะต้องกินจนจุกถึงกับต้องพยุงกำแพงเดินกลับบ้านอย่างแน่นอน!”
ในใจของมู่เถาเยา ปรากฏภาพแม่และลูกสาวเดินจากไปพร้อมกับท้องที่แน่น ขณะที่มือข้างหนึ่งยันผนังและอีกข้างกุมท้องที่จุกเสียดเพราะความอิ่มเกินไป
อ่า เป็นภาพที่ทนดูไม่ได้จริงๆ
“…น้าเล็กอวิ๋นมีน้ำใจแล้วค่ะ”
“แน่นอนสิ น้าต้องมีใจอยู่แล้ว! เพื่อเย่ว์เลี่ยง ต่อให้ต้องเป็นเขยแต่งเข้าน้าก็ยอม! แค่เรียนทำอาหารไม่นับว่าเป็นอะไร!”
มู่เถาเยาไม่รู้จะพูดอะไรอีก
แม้ว่าการแต่งงานในยุคปัจจุบันจะแตกต่างจากแผ่นดินจงโจว แต่ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ใช่ตระกูลธรรมดาๆ
ลูกชายสายตรงคนสุดท้องของอภิมหาเศรษฐีระดับโลก น้องชายคุณผู้หญิงภริยาของราชาประเทศหนึ่งต้องการเป็นเขยแต่งเข้า นี่ช่างน่าตกใจมาก!
ในขณะที่มู่เถาเยากำลังจะพูดบางอย่าง โทรศัพท์มือถือของอวิ๋นไป๋ก็ดังขึ้น
หลังจากกดรับวิดีโอคอล ใบหน้าของถุงลมน้อยที่ราวกับถูกแกะสลักมาอย่างประณีตก็ปรากฏขึ้นเต็มหน้าจอ
“ปู่เล็กครับ ทำไมถึงไม่รีบกลับมาอีกล่ะ” เขารออยู่ที่ประตูน๊านนานแล้วนะ!
“เอ่อ…เสี่ยวอันเหยี่ย ปู่เล็กเจอพี่สาวเถาเยาของหนูที่หน้าประตูด้วย ก็เลยลืมรีบกลับบ้านเลย!”
“พี่สาวๆๆ…” เสียงเล็กๆ ที่ร่าเริงดังไปถึงหูของมู่เถาเยา
มู่เถาเยารับโทรศัพท์มือถือจากอวิ๋นไป๋ที่ยื่นมาให้เธอ
“เสี่ยวอันเหยี่ย”
“พี่สาวๆๆ…พี่ไม่มาเล่นกับอันเหยี่ยนานแล้วน๊า!”
“เอ่อ ก็ไม่นานเท่าไหร่นะ”
วันนี้วันอังคาร และพวกเธอก็เพิ่งพบกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
“นานแล้วๆ อาเล็กบอกผมว่าไม่ได้เจอพี่สาวมาเก้าเดือนแล้ว”
มู่เถาเยาครุ่นคิด จากนั้นก็เข้าใจความหมายของคำพูดของเจ้าถุงลมน้อยทันที
“เสี่ยวอันเหยี่ย ‘หนึ่งวันมิพานพบ เหมือนดั่งพ้นผ่านสามสารทฤดู’ ไม่ได้ใช้แบบนี้หรอกนะคะ” ตี้อู๋เปียนก็จริงๆ เลย เขาสอนประโยคแบบนี้ให้กับเด็กสามขวบได้ยังไง
นี่คือประโยคที่ใช้พรรณนาถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้พบกันระหว่างคู่รัก หรือไม่ก็ระหว่างศิษย์อาจารย์และเพื่อนที่สนิทกันมากๆ
นำมาใช้กับคนตระกูลตี้และเธอ ไม่เหมาะสมเท่าไหร่มั้ง
“พี่สาวๆๆ อันเหยี่ยจะออกไปรับพี่สาวนะครับ”
อวิ๋นไป๋ “…” เจ้าหลานชายตัวดี เมื่อกี้นี้ไม่ได้เพิ่งพูดว่าออกมารอรับเขานานแล้วหรอกเหรอ
ตี้อันเหยี่ยยังจำได้ไหมว่ามีปู่เล็กอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ด้วยอีกคน!
“อันเหยี่ย พี่สาวกับปู่เล็กของหนูจะกลับไปเดี๋ยวนี้ หนูเป็นเด็กดีรออยู่ที่บ้านนะคะ” มู่เถาเยาซึ่งเดิมทีต้องการไปที่วิลล่าตระกูลเย่ว์ ตอนนี้เปลี่ยนใจทันควันหลังจากได้เห็นถุงลมน้อย
“โอเคครับ งั้นอันเหยี่ยจะเตรียมผลไม้ให้พี่สาวด้วย” เขาจำได้ว่าพี่สาวชอบกินสตรอว์เบอร์รี เชอร์รี่ โลควอท และสับปะรดที่บ้านเขามากๆ!
“โอเค ขอบคุณอันเหยี่ยมากนะคะ แต่จำไว้ว่าหนูห้ามถือมีดเด็ดขาดนะ”
“โอเคครับ อันเหยี่ยจะไม่ถือมีด อันเหยี่ยจะให้อาเล็กปอกผลไม้ให้”
ตี้อู๋เปียนที่นั่งอยู่ข้างถุงลมน้อยตะโกนอย่างไม่พอใจว่า “ยุ่งอะไรกับฉันด้วย” เมียเขาก็ไม่ใช่!
มู่เถาเยาได้ยินเช่นกัน แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร คนตัวเล็กก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “พี่สาว อาเล็กบอกแล้วว่าเขาไม่ยุ่งอะไร ช่วยปอกผลไม้ให้ได้”
ตี้อู๋เปียน “…ฉันหมายความแบบนั้นเหรอ”
มู่เถาเยากลั้นหัวเราะ
“เสี่ยวอันเหยี่ย อาเล็กของหนูเป็นคนป่วย ใช้ให้เขาทำงานไม่ได้นะคะ เขาไม่ไหวหรอก”
น้ำเสียงของตี้อู๋เปียนสูงขึ้นอีกหลายระดับในทันที “ใครว่าฉันไม่ไหว ฉันไหวมาก! ก็แค่ปอกผลไม้ไม่ใช่เหรอ เธอรอดูละกัน อีกเดี๋ยวฉันจะแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ออกมาให้ดู!”
มู่เถาเยา “…”
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวิธีการยั่วยุแบบนี้จะได้ผล! เธอไม่ได้คิดใช้ให้เขาปอกผลไม้ให้แต่แรกโอเคไหม
ปฏิกิริยาของหนูขาวตัวน้อยโอเวอร์เกินไปหน่อยหรือเปล่า
มู่เถาเยากลายร่างเป็นคุณหมอจอมดุภายในไม่กี่วินาที “ตี้อู๋เปียน คุณต้องสงบและใจเย็น การปล่อยให้อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ มากเกินไปมันจะส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายของคุณนะรู้ไหม”
ตี้อู๋เปียนอ่อนลงในทันใด แต่เขาก็ยังไม่วายเน้นย้ำไปว่า “ซาลาเปาน้อย ฉันไหว ฉันไหวจริงๆ นะ!”
ไหวไม่ไหวนายรู้ตัวเองก็พอแล้ว แต่นายกลับยืนกรานต้องการประกาศให้โลกภายนอกรู้ให้ได้!
อุ๊บ…ฮ่าๆๆๆ
อวิ๋นไป๋รู้สึกตลกขบขันมาก
หลานชายคนเล็กของเขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ!
“โอเค คุณไหว ถ้าคุณหลอกตัวเองแบบนั้นแล้วสบายใจก็ตามสบายเลย” การหลอกตัวเองสามารถทำให้อารมณ์ดีขึ้นซึ่งนั่นเป็นผลดีต่ออาการป่วย
ร่างกายไม่สนหรอกว่าหัวใจจะมีความสุขหรือไม่ แต่สุขภาพจิตที่ดีจะทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
ตี้อู๋เปียน “…”