ตอนที่ 66 ห้ามพูดว่าไม่ไหวเด็ดขาด
ระหว่างที่มู่เถาเยาและอวิ๋นไป๋นั่งรถกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลตี้ เจ้าถุงลมน้อยก็กำลังล้างผลไม้ที่ซิงค์จนเสื้อผ้าด้านหน้าของเขาเปียกโชกไปหมด แถมเขายังบีบสตรอเบอร์รี่และเชอร์รี่เละไปเป็นจำนวนมาก
ไม่เพียงแต่เด็กตัวเล็กที่ล้างผลไม้อย่างจริงจัง แม้แต่ตี้อู๋เปียนที่กำลังหั่นสับปะรดอยู่ข้างๆ ก็จริงจังมากเช่นกัน
แม่นมของตี้อันเหยี่ยและเชฟขนมหวานประจำคฤหาสน์มองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้
หรือว่าผลไม้ที่พวกเขาล้างและปอกให้กินนั้นไม่หวานไม่อร่อยอย่างงั้นเหรอ
เชฟขนมหวานอดไม่ได้ถามออกไปว่า “นายน้อยครับ คุณอยากหั่นเป็นรูปอะไรเหรอครับ”
“ดอกแม็กโนเลีย” เพราะมันมีสีเหลืองเหมือนกัน แถมตอนนี้เป็นช่วงฤดูกาลที่พวกมันเบ่งบานพอดี
เชฟขนมหวาน “…”
ทำไมเขาถึงเห็นเหมือนเป็นรูปสัตว์ไม่ใช่พืชเลยล่ะ
นอกจากนี้ คนที่ไม่เคยเข้าครัวมาก่อนคนหนึ่ง คิดยังไงถึงเลือกดอกไม้ที่มีเกสรจำนวนมากแบบนั้น
“นายน้อยครับ ผมช่วยหั่นเอาไหมครับ”
“ไม่ต้อง ฉันทำเองไหว” เป็นผู้ชายห้ามพูดว่าไม่ไหวเด็ดขาด!
เขาบอกแล้วว่าจะหั่นเป็นรูปดอกไม้ ก็ต้องทำเป็นรูปดอกไม้ให้ได้ แม้ว่าจะสำเร็จเพียงแค่ดอกเดียวก็ตาม!
เชฟขนมหวานมองไปที่กองดอกไม้…สับปะรดที่เละเทะดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง และพูดอย่างทุกข์ระทมว่า “นายน้อย ความจริงแล้ว แค่คุณฝานสับปะรดเป็นชิ้นบางๆ แล้วใส่ถาดเข้าเตาอบ มันก็จะออกมาเป็นดอกไม้สีเหลืองที่สวยงามแล้ว”
มีดในมือของตี้อู๋เปียนหยุดชะงักลงทันใด
“คิดว่าถ้าเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ น่าจะทันให้หมอเทวดาน้อยและคุณอวิ๋นกินหลังมื้ออาหารกลางวันอยู่นะครับ ส่วนอีกเดี๋ยวก็ให้ทั้งสองคนกินผลไม้ที่คุณชายน้อยอันเหยี่ยล้างก่อนก็ได้”
“…งั้นก็เอาตามนั้น ยังไงซะฉันก็เป็นคนหั่นเองกับมือ”
ตี้อู๋เปียนหยิบสับปะรดสดขึ้นมาใหม่อีกลูก ปอกเปลือก จากนั้นก็เริ่มลงมือฝานเป็นชิ้นบางๆ
เชฟขนมหวานและแม่นมของตี้อันเหยี่ยแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะไปปูกระดาษและทาน้ำมันบนถาดอบไว้รอนายน้อย เสร็จแล้วค่อยนำเข้าเตาอบกันครับ”
“อืม”
“นายน้อยครับ อย่าตัดขอบสับปะรดออกนะครับ ไม่งั้นพออบแล้วมันจะดูไม่เหมือนเป็นดอกไม้” พ่อครัวขนมหวานเตือนตี้อู๋เปียนอีกครั้ง
“…ฉันรู้”
ตี้อู๋เปียนปอกเปลือกสับปะรดออกอย่างใจเย็น เหลือเพียงรูปทรงกระบอกตรงกลาง จากนั้นก็หยิบลูกใหม่ขึ้นมาลงมือปอกอีกครั้ง
เชฟขนมหวาน “งั้นผมจะไปยกถาดอบมา”
ขณะที่สองอาหลานเดินออกมาจากครัว มู่เถาเยาและอวิ๋นไป๋ก็เดินเข้าประตูมาพอดี
ทั้งสองคนทักทายผู้อาวุโสของตระกูลตี้อย่างสุภาพก่อน จากนั้นตี้อันเหยี่ยก็รีบวิ่งขึ้นไปกระโดดเกาะขาเรียวยาวของมู่เถาเยา
“อันเหยี่ย ทำไมเสื้อผ้าหนูถึงเปียกแบบนี้ล่ะ”
“ล้างผลไม้” เด็กตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองมู่เถาเยาด้วยดวงตากลมโตสีดำขลับ
“อันเหยี่ยเก่งจริงๆ! แต่ว่าหนูต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นจะป่วยเอาได้นะ”
ตอนนี้คือเดือนมีนาคม เป็นช่วงผลัดเปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าฤดูใบไม้ผลิพอดี จึงค่อนข้างเป็นหวัดได้ง่าย
“อันเหยี่ยไม่อยากป่วย” เพราะอาเล็กป่วยก็เลยโดนเข็มทิ่มไปทั้งตัว เขาไม่อยากถูกเข็มทิ่มแบบนั้นหรอกนะ!
แม่นมของตี้อันเหยี่ยจับมือถุงลมน้อยและพาเขากลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อยวันนี้โดดเรียนเหรอ”
“ฉันขอลาหยุดหนึ่งวันเพื่อไปสอบใบขับขี่ภาคทฤษฎีต่างหากล่ะ”
“เธอยังไม่มีใบขับขี่?”
“ฉันเพิ่งอายุสิบแปดปี”
“…ฉันก็ลืมไปเลย”
เห็นๆ อยู่ว่าใบหน้าคนตรงหน้าไม่ต่างอะไรไปจากเด็กสาวอายุสิบห้าหรือสิบหกปี แต่ความรู้ การวางตัว และบรรยากาศที่แผ่ออกมารอบตัวของเธอนั้นมักทำให้ผู้คนมองข้ามอายุจริงของเธอไป
ตี้อู๋เปียนเลื่อนจานผลไม้ไปตรงหน้าเธอ “กินผลไม้ก่อนสิ พวกนี้อันเหยี่ยตั้งใจล้างเองกับมือ” ผลไม้ปลอดสารพิษ จึงไม่กลัวแม้ว่าจะไม่ได้ล้างน้ำก็ตาม
“ขอบคุณค่ะ”
“ผลไม้รูปดอกไม้ที่ฉันปอกกำลังอบอยู่ อีกเดี๋ยวเธอจะได้กินหลังมื้อกลางวัน”
ความหมายก็คือ ‘ฉันไหว’ สินะ!
แต่ในมุมมองของมู่เถาเยา สีหน้าและน้ำเสียงของตี้อู๋เปียนเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังร้องขอคำชม เช่นเดียวกับเวลาที่เสี่ยวอันเหยี่ยใช้สายตาออดอ้อนมองเธอ
“อืม คุณเองก็เหมือนกับอันเหยี่ย เก่งมากเหมือนกัน” การเอ่ยชมคนไข้สักคำไม่ได้ทำให้มู่เถาเยารู้สึกกดดันสักนิด
ตี้อู๋เปียน “…”
ชมชายหนุ่มอายุยี่สิบสามปีคนหนึ่งว่าเก่งเหมือนกับเด็กอายุสามขวบ นี่ใช่คำชมแน่ใช่ไหม
อวิ๋นไป๋หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
หลานชายคนนี้ปกติแล้วมักจะชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นประจำ ตอนนี้สวรรค์มีตา ส่งคนที่กำราบเขาได้มาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว
“ทำไมน้าเล็กถึงมาที่นี่ล่ะครับ”
“อาทิตย์หน้าน้าต้องไปต่างประเทศสักพัก ก็เลยแวะมาดูพวกเธอก่อน”
ตามกำหนดการเดิม อวิ๋นไป๋จะต้องออกเดินทางวันพรุ่งนี้ แต่เพราะเย่ว์เลี่ยงจะมาถึงเย่ว์ตูวันศุกร์ เขาจึงเลื่อนแผนการเดินทางออกไปเป็นสัปดาห์หน้า!
ในใจเขา โครงการธุรกิจร้อยล้านไม่สำคัญเท่าหวานใจที่กำลังจะมาถึงเลย!
“เสี่ยวไป๋ เธอกับเย่ว์เลี่ยงคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” ทุกครั้งที่ย่าตี้เห็นอวิ๋นไป๋มาที่เย่ว์ตูเพียงลำพัง เธอก็รู้สึกสงสารหนุ่มโสดคนนี้จับใจ
คนคนหนึ่งต้องวิ่งไปทั่วโลก แต่กลับไม่มีใครสักคนเดินอยู่เคียงข้างกายเขา ช่างน่าสงสารเหลือเกิน!
อวิ๋นไป๋ชำเลืองมองมู่เถาเยาและตอบว่า “อย่ากังวลไปเลยครับคุณป้า ผมกับเย่ว์เลี่ยงเราทั้งคู่ยังสนิทสนมกันดี”
“เย่ว์เลี่ยงยังไม่คิดแต่งงานเหรอ”
“ตอนนี้ยังครับ” แต่ถ้าเสี่ยวเถาเยาช่วยละก็อาจจะยังพอมีหวังอยู่บ้าง
“ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วมันไม่สมหวังจริงๆ…” ย่าตี้อยากแนะนำเขาให้ลองมองผู้หญิงคนอื่นดูบ้าง แต่เธอก็พูดไม่ออก
ยืนกรานมาตลอดยี่สิบปีเต็ม หากบอกให้ปล่อยมือไปทั้งอย่างนี้ แน่นอนว่าคงทำไม่ได้ง่ายๆ
เมื่อเขายังเด็ก ใครๆ ต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับรักแรกพบของเขามากเท่าไหร่นัก ใครบ้างไม่เคยมีรักแรกพบหรืออะไรทำนองนี้
ใครจะรู้ว่าความรักนี้ของเขาจะมั่นคงและหนักแน่น เป็นแบบนี้มานานกว่ายี่สิบปี ตั้งแต่ที่เขาอายุยี่สิบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด จนตอนนี้ปาไปสี่สิบปีแล้ว
“คุณป้าครับ ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เย่ว์เลี่ยงมีความสุข ผมจะยังไงก็ได้”
คนอื่นคิดว่าเขาคงเป็นทุกข์ แต่ในดวงตาของเขากลับสุกสกาว ขอเพียงแค่หัวใจดวงนี้ของเขายังมีรักอยู่ เขาก็ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์เลยจริงๆ
“พ่อแม่ของเธอ พี่ชายของเธอเป็นห่วงเธอมากว่าสิบปีแล้ว”
“พวกเขาเข้าใจครับ”
พูดถึงตรงนี้ ย่าตี้ก็ไม่คิดเกลี้ยกล่อมเขาอีกต่อไป
ปู่ตี้ “เสี่ยวไป๋ ครั้งที่แล้วไม่ใช่เธอบอกว่าต้องการรับเสี่ยวเถาเยาเป็นลูกสาวหรอกเหรอ เสี่ยวเถาเยา หนูคิดว่ายังไง”
มู่เถาเยา “…ปู่ตี้คะ หนูไม่มีความคิดแบบนั้น”
ถ้าเสด็จแม่ของเธอแต่งงานกับอวิ๋นไป๋ในท้ายที่สุด เธอก็จะเป็นหลานสาวของเขาจริงๆ เพราะงั้นจึงไม่จำเป็นต้องรับเป็นพ่อลูกบุญธรรมกัน
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อย ทำไมเธอถึงไม่ยอมรับน้าเล็กฉันเป็นพ่อบุญธรรมล่ะ น้าเล็กของฉันคืออภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก! ถ้าเธอกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน เธอสามารถนั่งกินนอนกินจนตายไปได้หลายสิบชาติเลย”
มู่เถาเยา “…”
ชีวิตนี้เธอเกิดใหม่มาเพื่อนั่งกินนอนกินจนตายหรือไง เห็นได้ชัดว่าเธอมาเพื่อมอบความสุขให้กับเสด็จแม่!
จู่ๆ มู่เถาเยาก็มองไปที่อวิ๋นไป๋
“มีอะไรเหรอ”
“พยายามเข้านะคะ”
เธออยากได้น้องชาย น้องชายที่เหมือนกับเยี่ยนหัง
อวิ๋นไป๋มีความสุขมาก “เสี่ยวเยาเยา เธออนุญาตให้ฉันคบกับเย่ว์เลี่ยงแล้วสินะ!”
สีหน้าของคนตระกูลตี้เหลอหลา
อวิ๋นไป๋จะคบหรือไม่คบกับเย่ว์เลี่ยงเกี่ยวอะไรกับเสี่ยวเถาเยาด้วย ไม่ใช่ว่าคุณอยากได้เธอเป็นลูกสาวหรอกเหรอ
“ถ้าหากหัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงต้องแต่งให้ใครสักคน ฉันก็หวังว่าคุณจะเป็นตัวเลือกแรกของเธอ”
เธอมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอวิ๋นไป๋มาก
“ฮ่าๆ…ตกลง ฉันจะพยายามให้หนักขึ้น!”
ตี้อู๋เปียนครุ่นคิด
เขารู้นิสัยของซาลาเปาน้อยและน้าเล็กของเขาดีว่าเป็นคนประเภทใด เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะพูดออกมาพล่อยๆ โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
เป็นไปได้ไหมว่าซาลาเปาน้อยมีความเกี่ยวข้องกับหัวหน้าเผ่าเย่ว์เลี่ยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง?
ข่าวการสูญเสียเจ้าหญิงน้อยแห่งเผ่าจันทราไม่ได้แพร่กระจายไปยังโลกภายนอก แม้แต่ตี้จิ่งเทียนและตี้อู๋เว่ยก็ไม่รู้เรื่องนี้ อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้ไปเยือนเผ่าหมาป่าพระจันทร์ทุกปี
เป็นเพราะอวิ๋นไป๋ไปหาเย่ว์เลี่ยงที่นั่นทุกปี ดังนั้นเขาจึงได้พบกับเป่ยซีที่กำลังตั้งครรภ์ บวกกับความฉลาดเฉลียวของเขาและปัจจัยรวมต่างๆ ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เขาไม่ใช่คนพูดมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ปริปากบอกความลับนี้ให้ใครฟัง
นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนตระกูลเย่ว์พอใจในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“ปู่เล็กหัวเราะทำไมเหรอครับ” ถุงลมน้อยวิ่งลงมาจากชั้นบนหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขากระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของมู่เถาเยาแล้วถามอวิ๋นไป๋ตาใส
“เพราะตอนนี้ปู่เล็กมีความสุขมากๆ ยังไงล่ะ!”
“ทำไมปู่เล็กถึงมีความสุขล่ะ เพราะพี่สาวมาที่นี่เหรอ อันเหยี่ยเองก็มีความสุขเหมือนกันที่ได้เจอพี่สาว!”
“ใช่แล้ว! เราทุกคนล้วนมีความสุขที่ได้พบกับพี่สาวเถาเยาของหลาน!” อวิ๋นไป๋หลอกเด็กได้อย่างชำนาญและเป็นธรรมชาติมาก!
ถุงลมน้อยพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“อาเล็กเองก็มีความสุขเหมือนกัน เขายังหั่นสับปะรดเป็นรูปดอกไม้สวยๆ ให้กับพี่สาวตามที่ลุงหลินสอนด้วย!”
ลุงหลินคือเชฟขนมหวานประจำคฤหาสน์นี้
มู่เถาเยา “ถ้าจะอบสับปะรดก็มีแต่ต้องหั่นให้เป็นชิ้นบางๆ เท่านั้น”
หมู่บ้านเถาหยวนซานมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผลไม้แช่อิ่มจำนวนมาก ดังนั้นเธอจึงรู้วิธีทำ
ตี้อู๋เปียน “…” หลานชายคนนี้คงรู้สึกว่าอาเล็กอย่างเขาขัดตามากสินะถึงได้ชอบเปิดโปงความลับและทำลายแผนการของเขาทุกที!