ตอนที่ 67 ฉันมีหมดทุกอย่างแล้ว
หลังมื้ออาหารกลางวัน ก่อนที่คนตระกูลตี้จะแยกย้ายกันไปนอนพักกลางวัน มู่เถาเยาก็เอ่ยขอตัวลาทุกคน ตี้อู๋เปียนยังบังคับยัดสับปะรดอบรูปดอกไม้กล่องใหญ่ใส่มือเธอก่อนจะออกจากคฤหาสน์ด้วย
อวิ๋นไป๋ขับรถพาเธอไปส่งที่วิลล่าตระกูลเย่ว์ที่อยู่ทางตอนเหนือของเขตเซิ่งซื่อฉางอัน
ประตูทางเข้าวิลล่าของตระกูลเย่ว์มีอยู่สามทาง และแต่ละทางก็มีรหัสผ่านที่แตกต่างกันออกไป
หลังจากที่รู้ว่ามู่เถาเยาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง เย่ว์จือกวงก็บอกรหัสผ่านให้เธอทั้งหมด
ในเวลานั้นเธอยังไม่คิดจะมาเหยียบที่วิลล่าตระกูลเย่ว์ แต่เพราะเธอมีความทรงจำที่ดี แม้จะฟังเพียงครั้งเดียวก็จำได้
“หลานสาว รู้ไหมว่าวิลล่าตระกูลเย่ว์เป็นฉันที่ออกแบบด้วยตัวเองเลยนะ อิงจากความชอบของอาเธอ”
“ค่ะ” เธอดูออก
เสด็จแม่ยังคงรักษาความคุ้นชินเหมือนกับในชาติภพก่อนไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ลูกสาวอย่างเธอชอบมาก
ตัวอย่างเช่นทิวทัศน์ สวนดอกไม้และนก สะพานเล็กๆ และฉากต้นวิลโลว์ ฯลฯ เพราะเธอโหยหาโลกภายนอกวังหลวงมากจากเรื่องเล่าที่ลุงเล็กของเธอชอบนำมาเล่าให้ฟัง
ก่อนที่เธอจะอายุแปดขวบ เธอเคยออกไปไกลสุดก็แค่เขตพื้นที่ล่าสัตว์เล็กๆ แถบชานเมืองเท่านั้น
“หลานสาว ทำไมเธอถึงไม่ย้ายมาอยู่ที่เขตเซิ่งซื่อฉางอันด้วยเลยล่ะ แบบนี้จะได้มากินข้าวเย็นที่บ้านตระกูลตี้ทุกวัน!”
“ไม่ดีกว่าค่ะ มันไกลจากมหา’ลัยไปหน่อย” ไม่ใช่เพราะเธอรังเกียจที่ระยะทางมันไกลมันเกินไปหรอก แต่เธอคิดว่ามันเสียเวลา
“ฉันจะหาคนขับรถให้”
“ฉันอยู่ที่เขตเรือนอุ่นรักก็ดีแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะอาเล็ก”
แม้ว่าเขตเรือนอุ่นรักจะไม่หรูหราเท่ากับเขตเซิ่งซื่อฉางอัน แต่ก็สะอาด เงียบสงบ และเดินทางสะดวก
ไม่เหมือนที่นี่ คุณไม่สามารถเรียกรถให้มารับที่ประตูใหญ่ได้ด้วยซ้ำ
“งั้นอาศัยช่วงที่ฉันยังอยู่ในเย่ว์ตู อีกสองสามวันเราไปหารถที่เหมาะจะให้เด็กสาวอย่างเธอขับสักคัน หลังจากที่เธอสอบใบขับขี่ผ่านแล้ว ฉันค่อยสั่งทำรถให้เธอเป็นพิเศษ เธอชอบแบบไหนบอกมาได้เลยนะฉันจะสร้างให้”
“ฉันหารถเองได้ค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะน้าเล็ก”
จู่ๆ อวิ๋นไป๋ก็ตบหน้าผากของเขา “ฉันเกือบลืมไปว่าพี่ใหญ่ของเธอเป็นเจ้าของกลุ่มธุรกิจรถยนต์ รถยนต์ที่เขาพัฒนานั้นดีที่สุดในโลกในทุกๆ ด้าน!”
พูดตามตรง แม้แต่เขาก็ยังอิจฉารถต้นแบบพวกนั้นเลย!
สำหรับผู้ชาย ใครบ้างที่ไม่รักรถ
มู่เถาเยาร้องอ้อเบาๆ คำหนึ่ง น้ำเสียงของเธอราบเรียบ ไม่มีความผันผวนของคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาของเธอยังเหมือนเดิม อวิ๋นไป๋ก็คิดว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้คงไม่ค่อยรู้เรื่องรถมากนัก ดังนั้นเขาจึงอธิบายต่ออีกหนึ่งประโยค
“หลานสาวตัวน้อย พี่ชายคนโตของเธอได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ราชาแห่งการออกแบบ’ จากอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่อายุยังน้อย และเขาจะเตรียมรถที่ดีที่สุดให้กับเธออย่างแน่นอน”
มู่เถาเยาหัวเราะเบาๆ ไม่เคยคิดพึ่งคนอื่น…รวมถึงครอบครัว
อวิ๋นไป๋รู้สึกว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ ต้องไม่สนใจเรื่องรถยนต์แน่ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่า ‘ราชาแห่งการออกแบบ’ คำไม่กี่คำนี้ทรงพลังเพียงใด ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พี่ชายคนรองของเธอคือบอสใหญ่ของกลุ่มธุรกิจเครืออวิ๋นจิง นอกจากนี้เขายังรับหน้าที่ดูแลกลุ่มธุรกิจเครือเทียนเย่ว์ซึ่งเป็นธุรกิจของเผ่าพระจันทร์ด้วย”
มู่เถาเยาขานรับอืมเบาๆ คำหนึ่ง
“เธอคงเคยได้ยินชื่อกลุ่มธุรกิจเครืออวิ๋นจิงใช่ไหม พี่รองของเธอเป็นคนที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของโลกเลย!”
เอ๋ หลานสาวตัวน้อยของเขาทำไมถึงยังมีสีหน้าเรียบเฉยแบบนี้อีกล่ะ
“พี่รองของเธอเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารเครือเทียนเย่ว์เมื่อตอนที่เขาอายุยี่สิบปี และใช้เวลาเพียงสามปีเท่านั้นในการผลักดันตนเองขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดจนทัดเทียมกับบรรดายักษ์ใหญ่ในโลกธุรกิจเหล่านั้น”
นัยน์ตาของมู่เถาเยาสั่นไหวเล็กน้อย
เครือเทียนเย่ว์มีชื่อเดียวกับราชวงศ์เทียนเย่ว์ของเธอ…
คงถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้วว่าเธอและเสด็จแม่จะต้องมาที่นี่ และทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ดังนั้นตอนนี้เธอจึงมีความรู้สึกสบายใจ และไม่คิดอีกต่อไปว่าดวงวิญญาณดั้งเดิมทั้งของเย่ว์เลี่ยงและเย่ว์จืออิ๋งหายไปอยู่ที่ไหน บางทีพวกเธออาจจะได้ไปอยู่ในที่ที่ควรไปแล้ว
“หลานสาวตัวน้อย เธอต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้พี่รองของเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบสามปีเท่านั้น แต่เขาก็ขึ้นมานั่งอยู่ในตำแหน่งที่ทัดเทียมกันกับตาเฒ่าอายุเจ็ดแปดสิบปีพวกนั้นแล้ว!”
อวิ๋นไป๋อยากเห็นเด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้แสดงสีหน้าเทิดทูนพี่ชายของเธอจริงๆ
มู่เถาเยายังคงยิ้มบางๆ
อันที่จริงเธอรู้เรื่องที่น้าเล็กอวิ๋นพูดดี ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เธอสนใจเผ่าหมาป่าพระจันทร์มากล่ะ
เมื่อเห็นว่ามู่เถาเยาไม่มีสีหน้าอื่นจริงๆ อวิ๋นไป๋ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายในการกล่าวถึงแล้วพูดต่อว่า
“หลานสาวตัวน้อย ฉันจะเล่าอะไรให้เธอฟังนะ อาของเธอกับฉันเราอายุเท่ากัน แต่ตอนนี้เธอกลับยังดูเหมือนครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเธอเป๊ะๆ! ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทิ้งร่องรอยของกาลเวลาใดๆ ไว้บนร่างกายของเธอเลย ดูเหมือนว่าเวลาเองก็รักเธอเหมือนกับที่ฉันรัก…”
เมื่ออวิ๋นไป๋พูดถึงเย่ว์เลี่ยง ร่างทั้งร่างของเขาก็คล้ายกับจะเปล่งแสงได้
ความสุขที่เกินคำบรรยาย และเขาได้ลืมไปเสียสนิทว่าจุดประสงค์ของเขาที่พูดเช่นนี้ก็เพื่อให้เด็กสาวตัวเล็กตรงหน้ามีความประทับใจที่ดีและรู้สึกชื่นชมตระกูลเย่ว์
“หลานสาว อาของเธอน่ะสุดยอดจริงๆ นะ! ตอนเธอเรียนอยู่…” บลาๆๆ
มู่เถาเยามองดูนาฬิกาของเธอ และน้าเล็กอวิ๋นก็ชมเชยเสด็จแม่ของเธอมานานกว่าสามชั่วโมงแล้ว! จนถึงตอนนี้ เขายังไม่มีท่าทีจะหยุดและยิ่งมีแนวโน้มว่าจะพูดต่อไปอีกสามวันสามคืน!
ทั้งๆ ที่เวลาพูดถึงพี่ชายทั้งสองของเธอเพียงไม่กี่คำเท่านั้น…
“น้าเล็กอวิ๋น ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว…” มู่เถาเยาชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า
“อ๊ะ ว่าไงนะ ทำไมเวลาผ่านไปเร็วจัง ฉันเพิ่งเริ่มเล่าเรื่องอาของเธอให้ฟังเอง”
“…”
“หลานสาว งั้นเรากลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านตระกูลตี้ด้วยกันเป็นไง ฉันจะได้เล่าเรื่องอาของเธอให้ฟังต่อหลังมื้ออาหารเย็น เธอไม่รู้หรอกว่าเย่ว์เลี่ยงน่ะเป็นผู้หญิงที่ใจดีมากๆ…”
“อาเล็กคะ อันที่จริงฉันรู้จักอาดีกว่าที่คุณเล่าให้ฟังอีก”
มู่เถาเยามีความสุขมากเมื่อเห็นใครสักคนหนึ่งคิดถึงเสด็จแม่ของเธอมากขนาดนี้
“จะเป็นไปได้ยังไง! ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้จักเย่ว์เลี่ยงดีมากไปกว่าฉันแล้ว!” อวิ๋นไป๋มั่นใจเอามากๆ เขารู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย
“พูดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อเธอเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นลูกสาวของตระกูลเย่ว์ ทำไมถึงไม่กลับไปล่ะ แม่ของเธอ…อ้อ จริงสิ สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยนี่นะ…รอไปอีกหน่อยแล้วกัน ฉันเชื่อว่ามันจะต้องกลับมาเป็นปกติในไม่ช้า เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเอาแต่ทุ่มกำลังทั้งหมดในการค้นหาตัวเธอ แต่ตอนนี้ ฮึ่ม!”
อวิ๋นไป๋อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงขณะที่เขาพูดขึ้น
“หลานสาว เธออย่าได้เกลียดทุกคนในตระกูลเย่ว์เลยนะ ทั้งตระกูลเย่ว์และตระกูลเป่ยต่างก็โทษตัวเองและต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหาที่เปรียบมิได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา…”
“ค่ะ” ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มีเจตนาทิ้งเธอตั้งแต่แรก เธอก็จะไม่เกลียดพวกเขา
หลังจากผ่านประสบการณ์จากทั้งราชวงศ์มู่และราชวงศ์เทียนเย่ว์ มู่เถาเยารู้ดีว่าบางสิ่งบางอย่างหลายครั้งก็ยากที่จะป้องกันอย่างสมบูรณ์แบบได้ เพราะร่างกายของเธอในชาติก่อนถูกวางยาพิษและบาดเจ็บมานับไม่ถ้วนจนทรุดโทรมมาก ในท้ายที่สุดเพราะไม่อาจรักษาได้อีกต่อไป เธอจึงจากมาเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเธอจะถูกทอดทิ้งจริงๆ แต่อย่างมากสุดก็แค่ไม่นับพวกเขาเป็นญาติ ไม่มีความจำเป็นต้องเกลียดชังกันจริงๆ
อารมณ์ที่รุนแรงของ ‘ความเกลียดชัง’ สามารถทำลายคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะได้กลับมาพบกับเสด็จแม่อีกครั้ง ก่อนที่เธอจะได้เห็นเสด็จแม่มีความสุข และยังหาตัวลู่จือฉินอาจารย์ในชาติก่อนของเธอไม่พบ เธอจะไม่ยอมให้อารมณ์ความรู้สึกด้านลบใดๆ มาสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของมู่เถาเยาไม่มีความขุ่นเคืองเคียดแค้นใดๆ อวิ๋นไป๋ก็วกกลับไปที่หัวข้อสนทนาเดิม
“หลานสาว เธอว่าฉันควรให้ของขวัญพบหน้าเธอเป็นอะไรดี เครื่องประดับดีไหม หรือว่าอสังหาริมทรัพย์ เกาะ หรือให้เงินตรงๆ เลย เธออยากได้อะไร”
มู่เถาเยา “…น้าเล็กอวิ๋นคะ ฉันมีทุกอย่างแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลือง”
เธอยังมีวิธีการหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอีกเต็มกระบุง!
“คนเราหาเงินก็เพื่อใช้ ถ้าไม่ใช้เงินจะมีแรงจูงใจในการหาเงินได้ยังไง เธอว่างั้นไหม”
อวิ๋นไป๋เลือกที่จะเพิกเฉยต่อทุกคำที่มู่เถาเยาพูด
ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยหมู่บ้านเถาหยวนซานนั้นดี แต่ก็มีคนแบ่งกำไรออกไปเป็นจำนวนมาก เธอจะได้รับเงินส่วนที่เหลือเท่าไหร่กันเชียว
มู่เถาเยายิ้มและถามว่า “นอกจากหาเงินแล้ว น้าเล็กอวิ๋นยังชอบอะไรอีกเหรอคะ”
“อาของเธอ! บอกเลยว่าฉันชอบเธอยิ่งกว่าชอบหาเงินซะอีก!”
“…”
ยอดเยี่ยม! ตอนนี้เขาชัดเจนมากแล้ว!
“หลานสาว ฉันจะเล่าให้เธอฟังอีกนะ อาของเธอ…”
โทรศัพท์มือถือของอวิ๋นไป๋ดังขึ้น
มู่เถาเยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อวิ๋นไป๋รับโทรศัพท์
“อู๋เปียน”
“…”
“ฉันกับหลานสาวตัวน้อยกำลังจะกลับไป เธอกับปู่ย่าของเธอ และอันเหยี่ยกินกันก่อนได้เลย”
“…”
“อืม”
หลังจากวางสายแล้ว อวิ๋นไป๋ก็หันมาพูดกับมู่เถาเยาว่าอีกเดี๋ยวเราจะถึงบ้านตระกูลตี้แล้ว
ทันทีที่มู่เถาเยาเดินเข้าประตูไป เธอก็ได้รับการต้อนรับจากเจ้าตัวเล็กน่ารักที่วิ่งเข้ามากระโดดเกาะขาเธอ
“พี่สาว”
ถุงลมน้อยกอดขายาวของมู่เถาเยาไว้แน่น แหงนศีรษะเล็กๆ นั้นขึ้นมองเธออย่างน่ารัก
อวิ๋นไป๋มองลงไปที่ขายาวของเขา แล้วถามไปด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “เห็นได้ชัดว่าฉันกับหลานสาวตัวน้อยเราเดินเข้ามาพร้อมกัน แล้วทำไมอันเหยี่ยถึงไม่กอดขาฉันบ้างล่ะ”
เสี่ยวอันเหยี่ยแหงนหน้าขึ้นมองตาเล็กของเขาด้วยความไร้เดียงสา ดวงตาคู่เล็กๆ กะพริบปริบๆ
“อย่างน้อยๆ ฉันก็สูงร้อยแปดสิบกว่า และขาของฉันก็ยาวกว่าขาของหลานสาวอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะขาของฉันหนาเกินไปที่จะกอดหรือเปล่าเธอเลยเมินน่ะ” อวิ๋นไป๋มองไปที่หลานชายตัวน้อยของเขาแล้วก้มลงมองขาของตัวเอง
มู่เถาเยาก้มลงอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมา
ถุงลมน้อยโอบแขนอวบของเขารอบคอเรียวของเธอทันที และถูไถหัวเล็กๆ ไปกับไหล่เธอเบาๆ ด้วยความออดอ้อนใกล้ชิด
หัวใจของมู่เถาเยาเหลวจนแทบละลายเป็นน้ำ
ตี้อู๋เปียนมองความใกล้ชิดระหว่างทั้งสอง ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังไม่สบอารมณ์เพราะเรื่องอะไร