ตอนที่ 68 กินไปก็เสียเปล่า
ตี้อู๋เปียนจ้องไปที่ใบหน้างดงามราวกับตุ๊กตาของมู่เถาเยาด้วยสายตาเหม่อลอย
เธอกินไม่เร็วหรือช้าเกินไป การเคลื่อนไหวของเธอก็ดูสง่างามมากเหมือนกับจะมีบรรยากาศของชนชั้นสูงในยุคโบราณปกคลุมอยู่จางๆ อีกทั้งมารยาทของเธอก็เหมาะสมถูกต้อง มองแล้วเจริญตามาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขามองไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ แต่เมื่ออาหารถูกส่งเข้าไปในปากของเธอ ดวงตาลูกกวางที่สดใสและสวยงามคู่นั้นก็จะเปล่งแสงระยิบระยับ
มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าสิ่งที่เธอกินอยู่ไม่ใช่ข้าว แต่เป็นน้ำอมฤตจากสวรรค์ยังไงยังงั้น!
นอกจากนี้ เธอยังแสดงให้พวกเขาเห็นแล้วว่า ‘คนกินจุ’ คืออะไร!
จานที่ไว้ใส่กระดูกถูกเปลี่ยนมาแล้วสองครั้ง และครั้งที่สามที่เพิ่งถูกเปลี่ยนเข้าไปใหม่ก็กำลังจะถูกเปลี่ยนอีกรอบเพราะกระดูกกองโตนั่น!
“ซาลาเปาน้อย กินเยอะขนาดนี้ไม่จุกเหรอ” ซุปสองถ้วย ข้าวอีกสองชามปูนๆ แถมกับข้าวทั้งโต๊ะที่มีครบทั้งผักและเนื้อนับไม่ถ้วนนั่นอีก!
เขาที่เป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ยังกินได้ไม่ถึงหนึ่งในสามของเด็กสาวตัวเล็กๆ ตรงหน้า แถมดูเหมือนเธอจะยังกินไม่อิ่มด้วย นี่มันน่าโมโหหรือเปล่าล่ะ!
“ไม่จุกเลย ฉันยังกินต่อได้อยู่”
“…ทำไมเธอถึงได้กินเก่งอย่างกับลูกหมูแบบนี้!”
“ไม่หรอก หมูกินได้มากกว่าฉันอีก คุณคงไม่เคยเห็นหมูกินจริงๆ เลยไม่รู้” เธอเคยเลี้ยงหมูกับป้าๆ และบรรดาสะใภ้ทั้งหลายในหมู่บ้านตอนเธอยังเด็ก!
หมูกินเยอะ! กับข้าวเพียงแค่นี้มันจะไปพอได้ยังไง!
ตี้อู๋เปียน “…” นี่ใช่สิ่งที่เขากำลังหมายถึงเหรอ
แต่หลังจากได้พูดคุยใกล้ชิดหลายครั้ง เขาก็พบว่ามู่เถาเยาไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาจริงๆ
ความไร้เดียงสาของเด็กสาวอัจฉริยะ ช่างน่ารักจนชวนให้ตกตะลึงเสียจริง!
และก็เพราะเป็นแบบนี้ เธอถึงดูเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งก้าวออกมาจากหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ย่าตี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “เสี่ยวเถาเยาเพิ่งจะอายุสิบแปดปีเท่านั้น เด็กวัยนี้กำลังโต ใครๆ ก็กินจุ อู๋เปียน เป็นหลานเองมากกว่าที่ไม่ไหว กินได้น้อยกว่าคนอื่น”
คำพูดของย่าตี้กระแทกใจเขาหนักมาก แถมความรู้สึกที่เหมือนกับถูกสบประมาทนั่นก็ยังรุนแรงมากกว่าด้วย!
ตี้อู๋เปียนถูกกระตุ้นจนต้องหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับข้าวบนโต๊ะ แถมเขายังสั่งให้คนเติมซุปอีกครึ่งชาม!
เขาไหว! เขาต้องไหว!
ปู่ตี้หัวเราะอย่างร่าเริง “พอเสี่ยวเถาเยามา เราทุกคนก็กินได้มากกว่าปกติเล็กน้อย”
“ความอยากอาหารของหลานสาวตัวน้อยน่าพอใจจริงๆ เธอควรมาให้บ่อยกว่านี้นะ” ใบหน้าหล่อเหลาของอวิ๋นไป๋แสดงสีหน้าหยอกล้อ
กับคนที่ยับยั้งชั่งใจอย่างเขา ยังกินข้าวมากกว่าปกติถึงครึ่งชาม
มู่เถาเยา “…”
ตี้อู๋เปียน “ซาลาเปาน้อย ในช่วงสิบแปดปีที่ผ่านมา อาจารย์เธอออกจากหมู่บ้านเถาหยวนซานมารักษาให้ฉันที่นี่หลายครั้ง ทำไมเขาถึงไม่พาเธอมาที่นี่บ้างเลยล่ะ”
ตอนเด็กๆ เธอต้องอ้วนกลมเหมือนซาลาเปาลูกเล็กๆ และก็ต้องน่ารักน่ากอดมากกว่าหลานชายตัวน้อยของเขาหลายเท่าแน่นอน!
“โอ้ ที่แท้ที่อาจารย์ใหญ่ไม่ยอมพาฉันติดตามไปด้วยทั้งๆ ที่ก็ออกมาจากหมู่บ้านด้วยกันแท้ๆ ก็เพื่อมารักษาคุณนี่เอง!” มู่เถาเยาเข้าใจทันที
ย่าตี้ถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมอาจารย์หนูถึงไม่พาหนูมาด้วยล่ะ ออกมาข้างนอกด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงไม่พาหนูมาที่นี่”
มู่เถาเยามองไปที่ตี้อู๋เปียนและตอบอย่างตรงไปตรงมา “อาจารย์ใหญ่บอกว่าผู้ป่วยมีอารมณ์ร้ายค่ะ และเขาก็ชอบรังแกเด็กที่น่ารักว่าง่ายเป็นพิเศษ อาจารย์คงไม่อยากเห็นหนูถูกรังแก”
แม้ว่าเธอจะไม่ถูกรังแกอย่างแน่นอน แต่เธอก็จะเชื่อฟังและยอมรับความหวังดีของอาจารย์แต่โดยดี
ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าอาการป่วยของคนไข้น่าสนใจขนาดนี้ ถ้ารู้แต่แรก ต่อให้ต้องจ้องตากับอาจารย์สักยก เธอก็จะเกาะติดเขาไม่ยอมปล่อยและขอมาที่นี่ด้วยกันให้ได้แน่ๆ
แต่ก็นั่นแหละ อาจารย์จะเล่าอาการป่วยที่ซับซ้อนขนาดนี้ให้เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งฟังได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว ‘พรสวรรค์’ ของเธอก็เป็นแบบที่ค่อยๆ เปิดเผยออกมา ไม่มีใครเข้าใจทุกอย่างได้ในครั้งเดียวหรอกนะ!
ลองคิดดูสิว่าเด็กอายุไม่กี่ขวบคนหนึ่งแต่กลับมีทักษะทางการแพทย์เทียบเท่ากับหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงก้องโลก ใครๆ ก็คงคิดว่ามันผิดปกติ
เธอเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าเธอย่อมไม่เปิดเผยตัวเอง
หลังจากได้ฟังคำพูดของมู่เถาเยา คนทั้งโต๊ะก็หันไปมองตี้อู๋เปียนโดยพร้อมเพรียงกัน
ใช่สิ ไม่ว่าจะตอนเด็กหรือตอนโต ใครที่เห็นเขาก็ต้องวิ่งหนีหลบไปซ่อนตัวให้ไกลทั้งนั้น!
เอ๋ ไม่พูดถึงคงไม่สังเกตเห็น แต่พักนี้ดูเหมือนราชาปีศาจที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นคนนี้จะสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ ที่พบบ่อยสุดคือไปอ่านหนังสือที่ห้องอ่านหนังสือหรือเปล่านะ
คนตระกูลตี้เหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว
ติ่งหูสีขาวหยกของตี้อู๋เปียนขึ้นสีชมพูระเรื่อ
ที่เขากลั่นแกล้งผู้อื่นบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะต้องการพิสูจน์ว่าเขายังมีชีวิตอยู่และไม่ยอมแพ้ต่อความตายหรอกเหรอ แต่คำพูดนี้พูดออกมาไม่ได้…
อนิจจา ใครใช้ให้เขาเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวที่สุดและงดงามที่สุดในโลกกัน จึงต้องแบกรับสิ่งต่างๆ มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป!
หลังทุกคนลุกจากโต๊ะอาหารและเข้าไปพักผ่อนในห้องนั่งเล่นเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง มู่เถาเยาก็จับชีพจรให้ตี้อู๋เปียน
“ความเร็วในการไหลออกของพลังชีวิตดูเหมือนจะชะลอตัวลงเยอะเลย”
ทุกคนมีสีหน้าปลื้มปริ่มใจ
ปู่ตี้ยิ้มและถามว่า “เสี่ยวเถาเยา อู๋เปียนไม่ต้องกินยาเหรอ”
“ไม่ต้องค่ะ กินไปก็เสียเปล่า ร่างกายเขาไม่สามารถดูดซับยาได้เอง จำเป็นต้องถูกแทรกแซงจากภายนอก อีกอย่างตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ครั้งหน้าที่หนูมาหนูจะฝังเข็มให้เขาสองรอบนะคะ”
ไป๋เฮ่าอวี๋ถามอย่างกระวนกระวายว่า “ต้องใช้ทักษะฝังเข็มหุยหยางทั้งสองรอบเลยเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ แต่เป็นทักษะซูเสวียที่เป็นเทคนิคฝังเข็มที่ใช้เพื่อสนับสนุนทักษะหุยหยางอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และจุดชีพจรต่างๆ ในร่างกายเขาถูกกระตุ้นด้วยพลังจนฟื้นคืนมาเกือบจะทั้งหมดแล้ว การฝังเข็มโดยใช้ทักษะซูเสวียจะเข้าไปแทรกแซงและทำให้ส่วนที่ยังติดขัดอยู่ในร่างกายทั้งหมดถูกเปิดออก ทักษะนี้จะช่วยให้ทักษะหุยหยางแสดงผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
ทุกคนร้องโอ้ออกมาพร้อมกัน
“ถ้างั้นทำไมก่อนหน้านี้คุณถึงไม่ใช้มันล่ะครับ” ไป๋เฮ่าอวี๋ฉงนใจ
“ร่างกายเขาในตอนนั้นใกล้ตายแล้ว ถ้าไม่มีแรงกระตุ้นจากภายนอก ต่อให้ใช้ทักษะซูเสวียสักสิบรอบก็ไร้ประโยชน์”
ตี้อู๋เปียน “…”
ช่วยแทนที่คำว่า ‘ใกล้ตาย’ เป็นคำที่ดีกว่านี้หน่อยจะได้ไหม เธอเคยคิดถึงความรู้สึกของคนใกล้ตายอย่างฉันบ้างหรือเปล่า
ตี้อู๋เปียนก้มศีรษะลงและเล่นกับพืชสีขาวบนโต๊ะ ถามไปว่า “ซาลาเปาน้อย ผู้อาวุโสหยวนรู้จักดอกฉยงฮวารึเปล่า”
ย่าตี้ “อู๋เปียน อย่าเสียมารยาท”
“โอ้ ซาลาเปาน้อย คุณปู่หยวนรู้จักดอกฉยงฮวาหรือเปล่า”
มู่เถาเยาส่ายหัว “อาจารย์ใหญ่เองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน”
แต่เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าดอกฉยงฮวาให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่าง แต่ก็มั่นใจมากว่าเธอไม่เคยเห็นพืชชนิดนี้เลยตลอดทั้งสองชาติพบของตัวเอง
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะ มีพืชที่ไม่รู้ชนิดมากกว่าสองพันกว่าสายพันธุ์ในป่าเซียนโหยว และมากกว่าสี่พันสายพันธุ์ทั่วโลก บางทีดอกฉยงฮวาอาจเป็นหนึ่งในนั้น”
มู่เถาเยาเริ่มสงสัย “ในเมื่อเราไม่รู้จัก ทำไมคุณถึงเรียกมันว่าดอกฉยงฮวา”
“…เธอไม่คิดว่าเพราะดีเหรอ” ก็มันบอกเขามาแบบนั้นเอง
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เป็นพืชแต่กลับไม่ออกดอก ฉันว่าเรียกมันว่าเสี่ยวไป๋ไป๋ดูจะเหมาะสมกว่า”
มู่เถาเยาชอบชื่อที่ถุงลมน้อยตั้งให้มากกว่า
ถุงลมน้อยชูแขนอวบขึ้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ นิ้วเล็กๆ หันไปสะกิดต้นไม้สีขาวแล้วพูดอย่างเด็กๆ ว่า “เสี่ยวไป๋ไป๋ไม่สวยเลย ไม่ยอมออกดอกด้วย”
ดอกฉยงฮวา “…” ต้องเป็นเพราะข้ายังเป็นพืชทารกอยู่แน่ๆ!
ไม่สิ ข้าคือดอกฉยงฮวา ไม่ใช่เสี่ยวไป๋ไป๋! อย่ามาตั้งชื่อให้ข้าซี้ซั้วนะ!
อวิ๋นไป๋ “อู๋เปียนเก็บต้นไม้นี้มาตอนที่เธอยังเด็กใช่ไหม ฉันจำได้ว่าพาเธอไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะและเธอก็เก็บกลับมา”
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า
อวิ๋นไป๋มองไปที่ดอกฉยงฮวาแล้วพูดว่า “ตอนแรกฉันไม่รู้ว่ามันเป็นพืช ยังคิดอยู่เลยว่าตี้อู๋เปียนผู้รักสะอาดคิดยังไงถึงไปเล่นขยะ” ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กซนมักจะเล่นอะไรที่ไม่ค่อยสะอาด
ดอกฉยงฮวา “…” เจ้าสิขยะ!
ปู่ตี้หัวเราะอย่างร่าเริงพูดว่า “ในตอนแรกที่อู๋เปียนมาขอคริสตัลจากฉัน ฉันเองยังคิดว่าเขาอาจจะชอบสิ่งที่แวววาวแบบนี้ ใครจะรู้ว่าเขาจะขอมันไปปลูกพืช”
ย่าตี้ “แต่มันก็แปลกจริงๆ นะที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่อาศัยดิน นี่ดูไม่เหมือนพืชเลยสักนิด”
“ดีไม่ดีอาจเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ใครจะรู้ หรือไม่เราถอนมันออกมาแล้วเอาไปต้มยาให้อู๋เปียนดื่มดีไหม ยังไงซะมันก็ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีพิษ” อวิ๋นไป๋จ้องไปที่ดอกฉยงฮวาด้วยท่าทางครุ่นคิดจริงจัง
ดอกฉยงฮวาตกใจจนตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว
ถุงลมน้อยยกมือสั้นๆ ของเขาขึ้นปกป้องกระถางดอกคริสตัลตรงหน้าทันที “ปู่เล็กครับ อย่าต้มเสี่ยวไป๋ไป๋ได้ไหม มันเจ็บ”
แม้ว่ามันจะไม่สวย ออกดอกก็ไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากเห็นมันทุกวัน
ดอกฉยงฮวารู้สึกตื้นตันใจมากจนแทบอยากจะหลั่งน้ำตาออกมา
ถ้ามันออกดอกได้ในอนาคต คนแรกที่มันจะให้ก็คือเจ้าตัวเล็กที่ใจดีคนนี้ แม้แต่เจ้านายของมันก็ยังต้องรอเป็นอันดับที่สอง!