ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล

ตอนที่ 17 ผู้ใดกันแน่ที่เป็นนกขมิ้น?
วัตถุประสงค์ของเทศกาลล่าสัตว์ก็คือ การเก็บรวบรวมแต้มโดยการนับจากศีรษะของสัตว์ปีศาจ
สัตว์ปีศาจระดับหนึ่งจะได้รับสามแต้ม ระดับสองจะได้รับห้าแต้ม ระดับสามจะได้รับสิบแต้ม ระดับสี่จะได้รับห้าสิบแต้มและสัตว์ปีศาจระดับห้าที่มีแก่นจะได้รับหนึ่งพันแต้ม กระนั้นตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันนี้ขึ้นมาก้ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถล่าสัตว์ปีศาจระดับห้าได้
ฉินเทียนและอวิ๋นม่านสังหารสัตว์ปีศาจไปสามสิบหกตัวภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสัตว์ปีศาจระดับสอง นั่นทำให้ทั้งคู่ได้รับแต้มประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบแต้ม
การเก็บเกี่ยวที่มหาศาลเช่นนี้ทำให้ใครต่อใครต่างอิจฉาตาร้อนขึ้นมาหากได้ทราบ
กระนั้นฉินเทียนกลับไม่ได้ใส่ใจแต้มการล่าเลย เขาหันไปกล่าวกับอวิ๋นม่าน “เจ้าเอาศีรษะไปทั้งหมดก็ได้”
“ไม่มีทาง! ข้าจะต้องตัดศีรษะพวกมันออกเลยนะ! เลือดจะต้องมากมายแน่ๆ! มันโหดร้ายเกินไป ข้ากลัว” อวิ๋นม่านกล่าวเสียงอ่อยขณะกระเถิบหนีไปอยู่ด้านข้าง ท่าทีของนางแตกต่างจาก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่านางเป็นโรคสองบุคคลิก
ฉินเทียนมองดูอวิ๋นม่านด้วยสายตาจริงจังและพบว่านางไม่มีความปรารถนาในศีรษะของสัตว์ปีศาจจริงๆ เขาหันไปฟันศีรษะของหมาป่าเขี้ยวเขียวลงมาและโยนมันเข้าไปในป้ายไม้
“ช่างโหดร้ายนัก! อำมหิตที่สุด!” อวิ๋นม่านยกมือบีบจมูกและถอยห่างไปอีกหลายก้าว เมื่อเห็นป่าเจิ่งนองไปด้วยเลือดแล้ว นางก็อดคิดถึงฉากที่ฉินหยางสังหารฉินซานขึ้นมาไม่ได้จนสยิวกายขึ้นมา
ขณะที่กำลังจัดการศีรษะของพวกสัตว์ปีศาจอยู่นั้น ฉินเทียนก็ลอบชำเลืองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งขณะคิดขึ้นในใจ ‘ช่างมีความอดทนเสียจริง’
ตอนที่ฉินเทียนถูกพวกสัตว์ปีศาจล้อมกรอบอยู่นั้น เขาก็พบเห็นเงาร่างร่างหนึ่งหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางใบไม้ แม้ว่าคนผู้นั้นจะหลบซ่อนตัวเป็นอย่างดี หากแต่เขาก็ยังคงรับรู้ได้ ทั้งหมดทั้งมวลต้องขอบคุณสัตว์ปีศาจบางตัวที่แหงนมองขึ้นไปด้านบนต้นไม้ด้วยดวงตาแวววับ นั่นทำให้ฉินเทียนคิดว่าจะต้องมีคนซ่อนตัวอยู่ สำหรับตัวตนของคนผู้นั้น เขายังไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย
หลังจากจัดการศีรษะของพวกสัตว์ปีศาจไปได้มากกว่าสามสิบตัว ฉินเทียนก็พลันทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นขณะที่ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและเริ่มหอบหายใจอย่างหนักหน่วงออกมา
เขาหันไปกวักมือเรียกอวิ๋นม่านและกล่าวว่า “ข้าถูกแมงมุมพิษกัด ตอนนี้ขาทั้งสองของข้าขยับไม่ได้แล้ว เจ้ามีเม็ดยาต้านทานพิษบ้างหรือไม่?”
ร่างครึ่งท่อนของฉินเทียนหมอบราบไปกับพื้น ใบหน้าของเขาแสดงออกว่ากำลังข่มกลั้นอาการเจ็บปวดเอาไว้ มือข้างหนึ่งนวดเฟ้นขาขณะที่อีกข้างทุบต้นขาเบาๆ มีโลหิตสีดำไหลออกมาจากขาของเขาไม่หยุด ราวกับว่าพิษของแมงมุมนั่นกำลังจะคร่าชีวิตของเขาไป
“ข้า…เจ้า…ไฉนเจ้าไม่บอกตั้งแต่แรก!” อวิ๋นม่านพลัยวิตกกังวลขึ้นมา นางรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของฉินเทียน เมื่อเข้ามาใกล้แล้ว นางก็พบว่าทั้งขาของเขาถูกย้อมเป็นสีดำจนนางเริ่มกระสับกระส่ายแล้ว “ข้าจะช่วยพยุงเจ้าไปที่ถ้ำ”
“ไม่ทันแล้ว….ขา…ขาของข้าไร้ความรู้สึกไปแล้ว…” ฉินเทียนหอบหายใจราวกับโคถึกขณะที่ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
ใบหน้าที่แสดงความเจ็บปวดของเขาทำให้อวิ๋นม่านแตกตื่นจนเกือบจะร้องไห้ออกมา นางไม่ทราบว่าควรทำเช่นไร นางไม่มียาต้านพิษพกติดตัวเอาไว้เพราะนางไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอันตรายเช่นนี้เกิดขึ้น หากว่านางทราบล่วงหน้าว่ามันอันตรายเช่นนี้ นางคงไม่เข้าร่วมตั้งแต่แรก
“ไม่เป็นไร เพียงแค่คอยเฝ้าคุ้มครองข้า ข้าจะใช้พลังปราณขับพิษออกไป อย่าให้ผู้ใดเข้ามารบกวนข้าได้” ฉินเทียนแผดเสียงร้องออกมา ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาศลอบมองไปที่ต้นไม้ต้นนั้น
เมื่อกล่าวจบ ฉินเทียนก็ลุกขึ้นนั่งณาน
“ได้ ได้ รีบขับพิษออกโดยเร็ว ข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง” อวิ๋นม่านเฝ้าระมัดระวังโดยรอบไม่ให้เกิดเหตุแทรกซ้อน
“ฮ่าฮ่า….ฟ้าเข้าข้างข้าแล้ว! ฮ่าฮ่า…” ฉินหยางเหินร่างลงมาจากบนต้นไม้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา มันเดินเข้าหาฉินเทียนพร้อมชักกระบี่ออกจากฝัก
“เจ้า…เป็นเจ้า..” เมื่ออวิ๋นม่านเห็นฉินหยางใบหน้าของนางก็กลายเป็นซีดเผือด ฉากที่มันได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมต่อฉินซานพลันผุดขึ้นมาในความทรงจำจนทำให้นางสั่นสะท้าน
นางหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ฉินหยางตวัดลิ้นเลียริมฝีปากขณะจ้องมองอวิ๋นม่านด้วยสายตาหยาบช้า “ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะปกปิดความสามารถที่แท้จริงเอาไว้มาเนิ่นนาน เป็นเพียงศิษย์สายนอกอันต่ำต้อย…กลับมีการบ่มเพาะที่ลึกล้ำเช่นนี้….เจ้าปิดซ่อนได้ดีจริงๆ
หากว่าวันนี้เจ้าติดตามรับใช้ข้า ข้าจะแนะนำเจ้าต่อผู้อาวุโสหลังจากจบเทศกาลล่าสัตว์ เจ้าจะได้กลายเป็นยอดฝีมือของตระกูลฉิน ว่าอย่างไร? หากว่าติดตามข้าก็ไม่ต้องเกรงกลัวอีกต่อไป ในตระกูลฉิน…ไม่สิ กระทั่งภายในเมืองชิงเหอ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าข่มเหงรังแกเจ้าอีก”
ฉินหยางก้าวเข้าหาอวิ๋นม่านด้วยท่าทางสบายๆ มองดูร่างกายที่สั่นเทิ้มของนางแล้ว รอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายในการแข่งขันครั้งนี้ ตระกูลฉินก็จะไม่สอดมือเข้ายุ่ง
พวกมันไม่สนใจอยู่แล้วหากเกิดการเข่นฆ่ากันเอง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการข่มขืน โดยเฉพาะมันที่เป็นบุตรของผู้อาวุโสตระกูลแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าตอแยมันอีก?
“เจ้า…อย่าเข้ามานะ! ขะ..ข้าจะโจมตีหากว่าเจ้ากล้าเข้ามา!” อวิ๋นม่านรวบรวมความกล้าและกล่าวออกไป จากนั้นนางก็หันมามองฉินเทียนที่อยู่ด้านข้างด้วยความกังวล
เวลานั้นเอง ฉินเทียนที่กำลังนัั่งเข้าณานอยู่เริ่มปลดปล่อยพลังปราณจางๆออกมา เหงื่อเม็ดเป้งปรากฏขึ้นที่ผากราวกับเม็ดถั่ว ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในช่วงที่สำคัญยิ่ง
“ฮ่าฮ่า…” ฉินหยางเพิ่มความเร็วขึ้นและสะบัดกระบี่ออกมา มันทราบว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือแล้ว มันได้รับทราบความแข็งแกร่งของอวิ๋นม่านแล้ว หากว่าทั้งสองร่วมมือกัน แพ้ชนะก็ยากที่จะตัดสินแล้ว หากว่าฉินเทียนฟื้นตัวกลับมา มันอาจจะต้องพ่ายแพ้
สิ่งที่มันต้องการตอนนี้คือจบชีวิตฉินเทียนเสียก่อน จากนั้นค่อยไปจัดการอวิ๋นม่าน มองดูใบหน้าอันงดงามของอวิ๋นม่านแล้ว ความคิดชั่วร้ายก็เริ่มผุดขึ้นมาภายในจิตใจ หลังจากจัดการตัวปัญหาออกไปแล้ว มันก็จะเสาะหาสถานที่ดีๆสักแห่งในการเสพพ์สุข
ยิ่งมันคิดถึงเรื่องนั้น รอยยิ้มของมันก็ยิ่งดูชั่วร้ายจนทำให้อวิ๋นม่านต้องก้าวถอยหลังไป มือขวาของมันกุมกระบี่ขณะที่กำลังรวบรวมปราณอย่างเงียบเชียบ
กระบี่ของมันแผ่รังสีคุกคามออกมา ทำให้อวิ๋นม่านเคร่งเครียดอย่างมาก นางไม่อาจตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด นี่ทำให้นางรู้สึกเกลียดชังตัวเองขึ้นมา นางไม่กล้าลงมือกับมนุษย์ด้วยกัน มิเช่นนั้นนางยังจะปล่อยให้มันข่มขู่เช่นนี้อีกหรือ?
สาเหตุที่อวิ๋นม่านไม่ได้เป้นที่สนใจภายในตระกูลฉินก็เพราะว่านางไม่กล้าต่อสู้กับคนอื่น นางกลัวจะพลั้งมือทำร้ายอีกฝ่ายไป นางไม่อาจควบคุมความกลัวนี้ได้
นางตวัดผ้าแพรออกไปเป็นระยะเกือบสิบก้าว ฉินหยางตกใจแต่แล้วก็แค่นสียงออกมา ผ้าแพรนี้ไม่ได้ห่อหุ้มด้วยพลังปราณแต่อย่างใด แม้ว่ามันดูสง่างาม แต่มันก็ไม่มีอำนาจทำลายล้างแต่อย่างใด
“นางงามน้อย ไม่ต้องกลัวไป พี่ชายท่านนี้จะดูแลเจ้าทุกซอกทุกมุมในภายหลัง” ดูเหมือนว่าฉินหยางจะมองข้ามอวิ๋นม่านไปแล้ว มันยิ่งมายิ่งตื่นเต้น กระทั่งไม่ใส่ใจต่อฉินเทียนที่กำลังเข้าณานว่าอาจจะคุกคามมันได้
สำหรับมันแล้ว ฉินเทียนนับเป็นคนตายคนหนึ่ง เพียงตวัดกระบี่ออกไป ศีรษะของเขาก็จะหลุดลอยไป
อวิ๋นม่านยืนขวางอยู่เบื้องหน้าฉินเทียน จนทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากร่างของนาง ทำให้สดชื่นและผ่อนคลาย….
“ผู้ใดกันแน่ที่เป็นนกขมิ้น?*” มุมปากของฉินเทียนยกขึ้นจนเผยรอยยิ้มออกมา
———————————————————————————
*มาจากสำนวน “ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง”