ตอนที่ 81 พ่ายแพ้
มู่ฉิงใช้กำลังภายในทั้งหมดของตนเอง ในขณะที่หลินหนานกลับดูเหมือนยังไม่ได้ลงมืออย่างเต็มที่เลยด้วยซ้ำไป
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ การต่อสู้ของทั้งสองคนเวลานี้ คงจะไม่ต่างจากนักบาสเก็ตบอลมืออาชีพ ที่กำลังแข่งขันกับนักบาสเก็ตบอลมือใหม่
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงลูกแบบมีลูกเล่น การส่งลูก การเลี้ยงลูกผ่านการสกัดกั้นของฝ่ายตรงข้าม จนกระทั่งกระโดดเข้าชู้ตทำคะแนน ทุกขั้นตอนล้วนเป็นไปอย่างง่ายดาย และราบรื่น
ยิ่งเกมการแข่งขันดำเนินไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างมืออาชีพ กับมือสมัครเล่นมากยิ่งขึ้น
นักบาสเก็ตบอลมืออาชีพนั้น ต้องผ่านการซ้อมชู้ตกับเครื่องยิงลูก และมีการเก็บสถิติไว้สำหรับพัฒนาต่อไป อีกทั้งยั้งต้องฝึกฝนการเลี้ยงลูกแบบเดี่ยวๆ การส่งลูกรับลูกแบบทีมเวิร์ค รวมถึงแทคติคต่างๆในการเล่นอีกมากมาย
ทุกอย่างล้วนผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เล่นไปแบบมั่วๆเหมือนมวยวัด..
เวลานี้ มู่ฉิงยังไม่เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์อย่างเต็มรูปแบบ กำลังภายในที่เขารวบรวม และปลดปล่อยออกมานั้น จึงอยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว
หลินหนานยิ้มบางด้วยความรู้สึกที่ไร้กังวล เข้าก้าวเท้าฝ่าห้วงอากาศไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเป็นปกติ พร้อมกับชกหมัดของตนออกไป กำปั้นของมู่ฉิงจึงถูกกระแทกกลับ
กร๊อบ.. กร๊อบ..
เสียงกระดูกลั่นดังขึ้น และเวลานี้ใบหน้าของมู่ฉิงก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว เขาจ้องมองหลินหนานด้วยแววตาหวาดผวา..
นี่มันอะไรกัน?
ไม่เพียงชายหนุ่มผู้นี้ไม่ถอยหนี มิหนำซ้ำยังก้าวเท้าเข้ามารอรับพลังปราณในขั้นปรมาจารย์ครึ่งระดับด้วยงั้นรึ?
หรือว่า.. ชายหนุ่มผู้นี้จะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ครึ่งระดับแล้วเช่นกัน?
แต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น?!
ในเมืองเจียงไฮว มีปรมาจารย์ครึ่งระดับอยู่หลายคน แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครอายุน้อยเช่นนี้!
ถังจินซ่งซึ่งยืนดูการต่อสู้ของทั้งสองคนมาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจสภาพจิตใจของมู่ฉิงในเวลานี้ได้ และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ถังจินซ่งจึงได้แต่รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง..
แม้ทั้งสองคนจะต่อสู้กันอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ก่อนหน้านี้มู่ฉิงก็ประกาศกร้าวว่า หลินหนานรนหาที่ตายไม่ใช่เหรอ?
แต่แล้วเพราะเหตุใดตอนนี้จึงดูเหมือนหลินหนานกำลังข่มเหงอีกฝ่ายอยู่ และเวลานี้ร่างของหลินหนานก็เคลื่อนไปข้างหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มู่ฉิงกลับเป็นฝ่ายถูกจู่โจมจนต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ
อีกทั้งระเบื้องที่อยู่ใต้เท้าหลินหนานเวลานี้ ก็เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นเป็นทาง ราวกับว่าอีกเพียงแค่เล็กน้อยก็จะแตกละเอียด
พลังที่น่าสะพรึงกลัวของหลินหนานนั้น ไม่ได้แข็งแกร่งดุดัน แต่ก็ไม่ได้อ่อนด้อยไร้กำลัง แต่มันเสมือนการบีบต้อนให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถปัดป้องได้
ใบหน้าของมู่ฉิงเริ่มเปลี่ยนเป็นเขียวขึ้นเล็กน้อย..
ฉันคือมู่ฉิง.. ปรมาจารย์แห่งตระกูลถัง!
ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้ชายหนุ่มผู้นี้สร้างความอัปยศให้กับตนเองได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จู่ๆความคับแค้นใจก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างของมู่ฉิงสั่นเทิ้ม ราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น หลินหนานก็ได้แต่ยิ้มหยัน และคิดในใจว่า เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าแลกเลยเชียวหรือ?
แต่ในระหว่างนั้นเอง เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น..
“ท่านลุง.. หยุดก่อน!!!”
หากไม่ใช่เพราะใครบางคนร้องตะโกนห้ามขึ้นมาก่อน เหตุการณ์อาจจะลุกลาม และบานปลายไปมากกว่านี้แน่
อาเฉิงที่เข้าไปรายงานนายผู้เฒ่าเรื่องหลินหนานเป็นผู้ร้องตะโกนห้าม เขาคิดไม่ถึงว่า ตนเองเพียงแค่เข้าไปไม่นาน ออกมากลับพบหลินหนานกับมู่ฉิงประมือกันจริงจังเช่นนี้ จึงได้แต่ร้องตะโกนห้ามมู่ฉิงผู้เป็นลุง..
อาเฉิงกับมู่ฉิงนั้น มีความสนิทสนมใกล้ชิดกันประหนึ่งลุงกับหลานชาย1
หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนห้ามของหลานชาย มู่ฉิงก็รีบดึงหมัดของตนกลับออกมาทันที แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงที่ตีย้อนกลับเข้าร่าง และพลังรุนแรงนั้นก็ได้กระจายเข้าสู่หัวใจและปอดอย่างรวดเร็ว
มู่ฉิงถึงกับกระอักเลือดออกมา ใบหน้าที่เขียวอยู่แล้วกลับคล้ำมากขึ้น และถึงกับเซถอยหลังออกไปถึงสองก้าว
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น หลินหนานก็ไม่ลังเลที่จะก้าวตรงไปข้างหน้า พร้อมกับเอื้อมมือออกไปกำหมัดของมู่ฉิงไว้ แล้วดึงกลับเข้ามาหาตนเองในทันที
พลังรุนแรงที่ตีย้อนกลับเข้าร่างของมู่ฉิงก่อนหน้า คล้ายกับพบช่องระบาย และถูกปลดปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว
ร่างของหลินหนานยังคงยืนแน่นิ่งดั่งขุนเขาอยู่เช่นนั้น ในขณะที่มืออีกข้างของเขาซัดออกไปด้านข้างอย่างเงียบ
ฟิ้ว..
พลังรุนแรงที่ตีกลับนั้น ถูกปลดปล่อยออกจากร่างของหลินหนาน แล้วต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในบริเวณนั้นก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง จนใบไม้ร่วงหล่นลงเต็มพื้น
เวลาล่วงเลยไปครู่หนึ่ง ทั่วทั้งสวนมีเพียงความเงียบสงัด และเวลานี้มู่ฉิงก็เริ่มรู้สึกถึงความโล่งโปร่งสบายในร่างกายอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
หลังจากใคร่ครวญเพียงเล็กน้อย มู่ฉิงก็เข้าใจเจตนาของหลินหนานในเวลานี้ได้ จึงรีบผสานมือเข้าหากัน พร้อมบอกกับหลินหนานว่า
“ขอบคุณ ขอบคุณมาก!”
“ไม่เป็นไร” หลินหนานที่ถอนฝ่ามือออกแล้ว ตอบกลับไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
อาเฉิงที่เห็นอากัปกิริยาของคนทั้งคู่ จึงเข้าใจว่าทั้งสองเพียงแค่ประลองกันสนุกๆเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เดินเข้าไปหามู่ฉิง พร้อมบอกไปว่า
“ท่านลุง คุณชายหลินหนานเป็นแขกของนายผู้เฒ่า!”
“ห๊ะ?!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่เพียงมู่ฉิงที่ตกตะลึง แม้แต่ถังจินซ่งยังร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ทำไมท่านปู่ถึงเรียกคนแบบนี้มาพบ?
“อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่รู้จริงๆว่าคุณชายหลินเป็นแขกของนายผู้เฒ่า!” มู่ฉิงรีบผสานมือพร้อมกับโค้งศรีษะลง และเอ่ยขอโทษหลินหนานทันที
“ผู้ไม่รู้ไม่ผิด!” หลินหนานตอบกลับยิ้มๆ พร้อมกับโบกมือไปมา
“คุณชายหลิน นายผู้เฒ่ากำลังรอคุณอยู่ด้านใน นี่เป็นการพบปะส่วนตัวระหว่างคุณชายหลินกับนายผู้เฒ่า ผมคงไม่สามารถตามเข้าไปได้ ขอเชิญคุณชายหลินเดินตรงไปทางนี้เลยได้เลยครับ” อาเฉิงร้องบอกกับหลินหนานด้วยความสุภาพ พร้อมผายมือบอกเส้นทาง
หลินหนายพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปตามเส้นทางนั้นทันที แต่หลังจากก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หลินหนานก็หันหลังกลับไปมองมู่ฉิง พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“บางสิ่งไม่อาจเร่งเร้าให้เป็นไปดั่งใจ มีเพียงรักษาจิตใจให้สงบนิ่ง เมื่อถึงเวลาจะสามารถทำลายรังไหมที่ห่อหุ้มได้ และกลายเป็นผีเสื้อที่งดงาม..”
หลังจากพูดจบ หลินหนานก็หันหลังกลับ และเดินหายเข้าไปในบ้านทันที ส่วนมู่ฉิงได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง คล้ายกับกำลังใคร่ครวญถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น
จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในใจของมู่ฉิงพลันสว่างไสว ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ปากก็พึมพำออกมาว่า
“ช่างเป็นคำสอนที่ล้ำลึกยิ่งนัก ขอบคุณ ขอบคุณมาก!”
อาเฉิงได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงุนงง..
มู่ฉิงเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลถัง และปกตินิสัยเป็นคนเย็นชา ไม่เสวนากับใคร แม้แต่เขาเอง มู่ฉิงยังแทบพูดคุยด้วยน้อยมาก
กระทั่งคนตระกูลถังเอง มู่ฉิงยังพูดคุยกับถังชวงเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้ลุงมู่ฉิงผู้เฉยชา กลับเอ่ยขอบคุณหลินหนานอย่างนั้นหรือ?
ไม่เพียงเท่านั้น สีหน้าท่าทางของมู่ฉิงยังดูเคารพหลินหนานมากอีกด้วย!
ถังจินซ่งเห็นท่าทางของมู่ฉิงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ลุงมู่ฉิง อย่าไปหลงกลหมอนั่นเชียวล่ะ มันก็แค่นักเลงขี้โม้คนหนึ่งเท่านั้น!”
“หุบปาก!” มู่ฉิงหันไปตวาดใส่ถังจินซ่งทันที
ถังจินซ่งถึงกับตกใจ เพราะไม่เคยเห็นมู่ฉิงแสดงอาการโกรธเกรี้ยวกับตนเองมากมายเช่นนี้มาก่อน
มู่ฉิงมันอยู่ข้างใครกันแน่? ทำไมจู่ๆไปช่วยคนนอกอย่างหลินหนานแบบนี้?
ฉันต่างหากที่เป็นคุณชายของตระกูลถัง!
“หึ! ฉันจะหาทางคิดบัญชีกับแกด้วยตัวเองแน่!” ถังจินซ่งบ่นพึมพำพร้อมกับเดินหน้าตาบูดบึ้งออกไปทันที
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางโกรธเกรี้ยวของถังจินซ่ง อาเฉิงเองก็ได้หันกลับไปถามมู่ฉิงด้วยสีหน้างุนงงเช่นกัน
“ท่านลุง ทำไมท่านต้องโกรธคุณชายขนาดนั้นด้วย?”
“พวกเขาสองคนจะต้องมีเรื่องผิดใจอะไรมาก่อนแน่!” มู่ฉิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
“แต่ครั้งนี้นายน้อยคงต้องผิดหวัง เพราะคุณชายหลินเป็นถึงผู้มีพระคุณของนายผู้เฒ่า พวกเราต้องใช้เวลาตามหาตัวเขาถึงสองวันเต็มๆกว่าจะพบตัว..”
อาเฉิงนั่งลงพร้อมกับพูดต่อว่า “ดูจากท่าทางของนายผู้เฒ่า คุณชายหลินนับเป็นแขกที่นายผู้เฒ่าให้เกียรติมากทีเดียว!”
“อืมม..” มู่ฉิงตอบกลับเพียงแค่สั้นๆ
“ท่านลุง เมื่อครู่ท่านกับคุณชายหลินประลองกัน ใครเป็นฝ่ายแพ้เหรอครับ?” อาเฉิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ฉันเป็นฝ่ายแพ้!”
มู่ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดูไม่เหมือนผู้แพ้เลยสักนิด
อาเฉิงได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง พร้อมกับอ้าปากกว้าง และไม่อยากจะเชื่อว่าลุงมู่ฉิงผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใคร แต่กลับพ่านแพ้ให้คุณชายหลิน!
“ท่านลุงแพ้เหรอ? แต่ทำไม่สีหน้าของท่านลุงกลับดูมีความสุขล่ะครับ?” อาเฉิงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
มู่ฉิงชี้ไปที่ต้นไม้บริเวณที่พวกเขาทั้งสองต่อสู้กัน พร้อมกับบอกอาเฉิงว่า “แกไปดูที่ต้นไม้พวกนั้นสิ แล้วแกก็จะเข้าใจเอง!”

***********

ฝากนิยายของทีมงานด้วยนะคะ

เรื่อง : เทพปีศาจผงาดฟ้า

เขาฟื้นสติตื่นขึ้นมาในร่างและผืนพิภพแห่งใหม่ หลังจากที่ล่วงลับตายจากไปในโลกก่อนหน้า

หลงเฉินเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ในผืนพิภพที่เต็มไปด้วยเทพเซียนและมารปีศาจ สิ่งมีชีวิตลึกลับมากมายหลายหลาก และมนุษย์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน พร้อมผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งผืนพิภพทั้งมวล

หนทางเบื้องหน้าของเขามิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด จำต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเกินคณานับ สังหารทุกคนที่เข้าขัดขวาง ยอดผู้ฝึกยุทธ์พเนจรท่องโลกาท้ายุทธภพสุดขอบฟ้า จนกลายเป็นที่รู้จักในนามเทพปีศาจแห่งจักรวาล ปกครองความเป็นและความตาย

แม้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องก้มกราบต่อหน้าเขา!