ตอนที่ 64 โทษคุกเข่าบนกระดานไม้ซักผ้า

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

เสียงหวีดร้องดังของสตรีด้านนอกค่อยๆ เบาลง หลินซือเย่ากลับเข้าไปในห้องครัวชงน้ำชามาอีกกา ก่อนจะออกไปดึงตัวเถียนต้าเป่าที่ทบทวนตัวเองอยู่บนลานฝึกตอไม้อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย บอกว่า “รีบกลับบ้าน” จากนั้นก็ปิดประตูลงกลอน

“อาจารย์ อาจารย์หญิงจะลงโทษท่านให้คุกเข่าบนกระดานไม้ซักผ้าไหม” เถียนต้าเป่าแนบตัวเองเข้ากับประตูด้านหน้าแอบมองลอดช่องเข้าไป มองไปทางหลินซือเย่าพลางตะโกนอย่างอยากรู้อยากเห็น

หลินซือเย่าได้ยินก็พยายามระงับอารมณ์ แทบจะยกเท้าถีบ กัดฟันกล่าวว่า “กลับ บ้าน ไป” แอบสาบานกับตัวเองว่า หากเจ้าเด็กบ้านี่ยังงี่เง่าอย่างนี้ต่อไป คงมีสักวันหนึ่งที่จะถูกเขาโยนลงคูเมือง ดีที่สุดให้ลอยออกไปนอกเมืองไกลออกไปเลย ไม่ต้องกลับมาอีก

“เอาเหอะ อาจารย์ พรุ่งนี้ก็ได้แต่หวังว่าอาจารย์หญิงจะไม่ลงโทษอาจารย์ให้คุกเข่าบนไม้กระดานซักผ้า ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าก็คงแย่แน่แล้ว” เถียนต้าเป่าโบกมือให้กับประตูเสร็จก็ถอยออกไปสองสามก้าว ก้มลงงึมงำกล่าวกับตนเอง ก่อนจะแตะปลายเท้ากระโดดมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ตลอดทางมายังคงแอบขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครอง อย่าให้อาจารย์ต้องเหมือนท่านพ่อที่บ้าน ถูกแม่ลงโทษคุกเข่า ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ตนเองมาฝึกวิชาย่อมต้องแย่แน่ๆ…

……

“ต้องการตะเกียงมั้ย หรือว่าพรุ่งนี้ค่อยปักต่อ” หลินซือเย่าเข้ามาในเรือนตะวันตก เปิดม่านหน้าต่างทางเหนือใต้ขึ้นสูงมาก แต่ก็ยังคงไม่อาจทำให้ภายในห้องช่วงยามเซินในฤดูหนาวนี้สว่างขึ้นสักเท่าไร ในห้องยังคงสลัว

“ไม่ละ ปักถึงตรงนี้ก็จะพักแล้ว จุดตะเกียงปักเมื่อยตา” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่เงยหน้า ยังคงก้มหน้าปักผ้าสองด้านบนผ้าไหม ฝีเข็มไวราวกับกระสวยพุ่งไปมา

“เย็นนี้อยากกินอะไร” หลินซือเย่าลากเก้าอี้มีพนักหน้าโต๊ะออกนั่งมองนางปักผ้าไปมารวดเร็วหน้าแท่นปักผ้า แม้ว่าไม่ได้ชมนางปักผ้าระยะใกล้เพียงนี้ครั้งแรก แต่ทุกครั้งล้วนทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ

“แล้วแต่เจ้าละกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนทำงานปักผ้าของวันนี้เสร็จก็เก็บอุปกรณ์ เงยหน้ามองเขาที่เหมือนตกในภวังค์ พลันหัวเราะขึ้นเบาๆ “วางใจได้ ข้าไม่ลงโทษเจ้าไปคุกเข่าบนกระดานไม้ซักผ้าหรอก” เพราะที่บ้านไม่มีไม้กระดานซักผ้าให้เขาคุกเข่าอย่างไร ซูสุ่ยเลี่ยนแอบลอบหัวเราะในใจ

“เจ้าได้ยินหรือ” หลินซือเย่าเลิกคิ้ว โชคดีที่ยามโพล้เพล้แสงสลัว น่าจะมองไม่เห็นว่าเขาหน้าแดง ดีมาก เจ้าเถียนต้าเป่า การฝึกพรุ่งนี้จะได้เพิ่มอัตรากำลังตามที่เจ้าปรารถนา เขากัดฟันสาบานกับตัวเอง

พรืด ซูสุ่ยเลี่ยนหลุดหัวเราะขำดังออกมา “ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ท่าทางเขาน่ารักจริงๆ และหากนางเดาไม่ผิด เขาย่อมกำลังสบถด่าต้าเป่าอยู่ในใจ

“ไม่ เจ้าจงใจ” หลินซือเย่างึมงำพลางเดินอ้อมแท่นปักผ้า อุ้มนางขึ้นรัดแน่นอยู่ในอ้อมกอด ใช้แรงรัดรึงให้นางไม่อาจขยับได้

“อาเย่า…อืม…” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ก็รู้ว่านาง ‘แย่แล้ว’

ตามคาด ริมฝีปากนางถูกเขารุกล้ำเข้ามา ดึงดูดนางไว้ไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งนางเริ่มหายใจไม่ออก หมดแรงในอ้อมกอดเขา เขาจึงปล่อยนาง หน้าอกกระเพื่อมแรงค่อยๆ หายใจเป็นปกติ

“ไม่ยุติธรรม” นางหายใจเป็นปกติก็ทุบหน้าอกเขาเต็มแรง อดยู่ปากบ่นไม่ได้ “ที่ควรโดนลงโทษเห็นๆ ว่าเป็นเจ้า ทำไมมากลายเป็นข้า?”

“ได้ เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ลงโทษข้า” หลินซือเย่ามองนางอย่างนึกขำ ยกนิ้วไปแตะริมฝีปากร้อนผ่าวหนาอบอุ่นของเขา แสดงท่าทางบอกให้ซูสุ่ยเลี่ยน ‘ลงโทษ’ เขาได้เลย

“หลินซือเย่า” ซูสุ่ยเลี่ยนอับอายจนทนไม่ไหวร้องเรียกชื่อเต็มๆ เขาออกมา

“ข้าอยู่นี่” เขายิ้มรับ ก่อนจะแนบกายลงจุมพิตหว่างคิ้วนางที่กำลังอับอายจนกลายเป็นโมโห “สุ่ยเลี่ยน ข้าขอเพียงมีเจ้าก็พอ” ส่วนสตรีที่ไม่เกี่ยวข้อง หากนางต้องการ เอ่ยออกมาสักคำ เขาก็จะจับสตรีเหล่านั้นโยนออกไปให้ไกลหลายจั้ง ไหนเลยจะปล่อยให้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาด้วยท่าทีเหิมเกริมเช่นนี้

ที่แท้เขาก็รู้ รู้ว่าในใจนางแอบมีความกังวลที่ไม่อาจสลัดทิ้ง รู้ว่าในแววตานางมีความสับสนวุ่นวายใจ

“อาเย่า ข้าเชื่อเจ้า” นางก้มหน้าลงซุกอ้อมอกเขาพลางกระซิบ รู้สึกละอายที่นางอยู่ๆ ก็เกิดความสงสัยในตัวเขาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

“หากยังมีครั้งหน้า ที่ข้าจะลงโทษย่อมไม่ใช่แค่ที่นี่” เขายกมือขึ้นลูบริมฝีปากแดงงดงามน่ารักของนางเบาๆ พลางกระซิบเตือนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

ซูสุ่ยเลี่ยนฟังน้ำเสียงร้อนแรงของเขาออก ก็หน้าแดงร้อนผ่าวขึ้นทันที สองแก้มแดงลามไปถึงใบหูและลำคอ

“ลงโทษคุกเข่าบนกระดานไม้ซักผ้า?” นางคิดถึงคำที่ต้าเป่าตะโกนขึ้นมาก็อดขำออกมาไม่ได้

“เจ้าเด็กนั่นตอนนี้นับวันยิ่งไม่กลัวข้าแล้ว” หลินซือเย่าถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร

น่าจะบอกว่าเถียนต้าเป่าแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยกลัวเขาจริงๆ สักที ตอนที่เขาเชื่อฟังที่สุดก็น่าจะเป็นตอนที่มาขอฝากตัวเป็นศิษย์ ย่อมต้องยอมเชื่อฟังทุกอย่าง อาจารย์บอกขวา ศิษย์ก็ไม่กล้าซ้าย อาจารย์บอกยืน ศิษย์ก็ไม่กล้ายอง เพียงแต่การฝึกต่อเนื่องมาได้ไม่ถึงครึ่งเดือนดี ก็กลับไปสู่สภาพหน้ายิ้มระรื่น ไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม

แน่นอนเป็นเพราะต้าเป่าคุ้นเคยกับใบหน้าของอาจารย์ตนเองแล้ว ย่อมเดาออกได้แปดเก้าส่วน ตอนไหนดีใจ ตอนไหนควรนั่งเงียบๆ เขาล้วนจับได้หมดแล้ว ไม่น่าเดาผิดเท่าไร ดังนั้นหลินซือเย่าก็แทบจะทำอะไรไม่ได้อีก ได้แต่ทนจนทนไม่ไหว ได้แต่ทำเหมือนเมื่อครู่ โยนเขาไปให้พ้นสายตา

“เห็นได้ว่าแท้จริงแล้วอาจารย์คนดีก็แค่ภายนอกเย็นชา” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่ค่อยได้แสดงท่าทางกะพริบตาหยอกเย้าเช่นนี้ โอกาสดีๆ อย่างนี้อย่างไรต้องจัดการเขาสักหน่อย

ตามคาด หลินซือเย่าหน้าแอบแดงขึ้นมาทันที

ดีมาก ซูสุ่ยเลี่ยนแอบตบมือชอบใจดังลั่นในใจ นางค่อยๆ เดานิสัยเขาออกแล้ว ที่จริงเขานั้นเขินอายง่ายมาก และมักจะพึงพอใจกับอะไรไม่ยากด้วย ขอเพียงกล้าแซวกล้าชมเขา เขาก็จะหน้าแดงทันที อืม เมื่อก่อนทำไม่รู้นะ

“แค่ก…เอาล่ะ เจ้าทะเล้นเหมือนต้าเป่าแล้ว” หลินซือเย่าหรี่ตาก่อนจะหลบใบหน้าเขินอาย มือยังคงกอดนางไว้ไม่ปล่อย

“คืนนี้ทำปลาหลีเปรี้ยวหวานดีไหม” ดึงนางเดินออกไปนอกห้องด้วยกัน ตลอดทางก็เอาแต่บีบมือน้อยนุ่มนิ่มของนางไปพลาง แอมยิ้มถามความเห็นถึงอาหารเย็นนี้

“ได้” สำหรับซูสุ่ยเลี่ยนที่กินอย่างเดียวไม่ต้องทำ ขอเพียงเป็นอาหารไม่เผ็ดมากไป นางล้วนชอบหมด

“ใช่แล้ว อาเย่า เจ้าว่าลู่หว่านเอ๋อร์นั่นจะมาอีกไหม” นางถามอย่างนึกกังวล เพราะไม่มีเหตุย่อมไม่เกิดผล

แม้ว่าไม่เข้าใจลู่หว่านเอ๋อร์ แต่จากการได้สัมผัสกันสองสามครั้งก็พอจะให้ข้อสรุปได้ว่า นางเป็นคนที่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ย่อมไม่เลิกรา ตอนนี้ยังโดนหลินซือเย่าหลู่เกียรตินางอีก ถูกลูกหมาป่าไล่ออกจากบ้านไป นางจะต้องไปหาคนมาแก้แค้นที่บ้านไหมนะ

“วางใจ แม้นางมา ข้าก็มีวิธี” หลินซือเย่าปลอบนาง

อย่างมากก็หิ้วนางโง่งมกลับไปที่ตระกูลลู่ ไปทิ้งไว้หน้าเจ้าบ้านตระกูลลู่ แล้วก็สำทับด่าไปว่า หากยังกล้ามาตอแยไม่เลิกอีก ก็จะให้ตระกูลลู่ต้องรองรับเพลิงโทสะของเขาไปด้วยกัน เขาไม่เชื่อว่าเจ้าบ้านตระกูลลู่จะมองสถานการณ์ไม่ออก ทิ้งตระกูลใหญ่เพื่อสตรีเล็กๆ