บทที่ 60 ขุมนรก (ปลาย)
มีญาติพี่น้องและญาติมากมายจากกิ่งก้านสาขาของตระกูลฉู่ร่ำเรียนอยู่ที่นั่นมากมายซึ่ง ซูอันพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าสถานะลูกเขยไร้ประโยชน์ของเขา มันจะสร้างปัญหาให้กับเขาอย่างแน่นอนเมื่อเข้าไป
ที่สถาบัน เพราะพล็อตเรื่องในนิยายกำลังภายในแทบทั้งหมดมันก็เป็นแบบนั้น
สิ่งที่ซูอันกลัวในตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาแต่สิ่งที่เขากลัวคือมันทำให้เขาเสียเวลา เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องทำให้สำเร็จให้เร็วที่สุด
“เมื่อเจ้าเข้าไปที่สถาบันจงมองหาเด็กที่ชื่อ ‘เว่ยหงเต๋อ’ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรอย่าลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา และมันจะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าสามารถเป็นสหายกับเขาได้” ผู้เฒ่ามี่ กล่าวช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เว่ยหงเต๋อ?” ซูอันทวนชื่อนั้นอีกครั้งด้วยสีหน้าสงสัย “เขาเป็นใครงั้นเหรอผู้อาวุโส? หรือว่าเขาเป็นหลานของท่าน? แล้วท่านจะให้ข้าไปใกล้ชิดกับเขาเพื่ออะไร?
“เจ้าไม่จำเป็นต้องอยากรู้อะไรให้มันมากมายเอาเป็นว่าทำตามที่ข้าแนะนำก็พอ อ้อ…อีกอย่างจำเอาไว้ว่าอย่าเปิดเผยตัวตนของข้ากับคนอื่น” ผู้เฒ่ามี่ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ดูน่าขนลุกเป็นพิเศษ “ข้าเป็นคนมอบ
สุดยอดเคล็ดวิชาลับให้กับเจ้า ดังนั้นมันคงไม่มากเกินไปใช่ไหมหากข้าจะบอกให้เจ้าทำตามที่ข้าสั่ง?”
“ไม่แน่นอนผู้อาวุโส! ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเข้าใกล้เขา!” ซูอันแสดงท่าทีรับปากอย่างจริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม ในใจของเขาก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าสถาบันของตระกูลฉู่ยอมรับคนนอก
ที่มีนามสกุลต่างกันจริง ๆ ด้วยงั้นเหรอ หรือว่าเว่ยหงเต๋อผู้นั้นก็เป็นลูกเขยที่ถูกเกณฑ์เหมือนเขา?
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าพักผ่อนเถอะ” เฒ่ามี่ตบไหล่ก่อนจะเดินออกไปอย่างสั่นเทา
หลังจากส่งเฒ่ามี่ออกไป ซูอันก็ล้างหน้าล้างตาอีกรอบและเดินไปนอนที่เตียงของเขาพร้อมกับ
ลองพยายามวางแผนขอชุดชั้นในจากอวี้เหยียนลั่วแต่ถึงแม้จะใช้สมองจนถึงจุดที่หัวแทบจะระเบิด เขาก็ยัง
คิดไม่ออกว่าต้องทำยังไงจนในท้ายที่สุดเขาก็พึมพำสาปแช่งหมอเทวะจี้ จนค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเฉิงโซวผิงเข้ามาในห้องของเขาเพื่อปลุกเขาด้วยอาหารเช้าในมือ
เมื่อเห็นอาหารที่นำมาให้เขา ซูอันก็รู้สึกว่าเฉิงโซวผิงไม่ใช่ไอ้ตัวแสบที่เอาแต่คอยปั่นประสาทเขาเพียงอย่างเดียว อย่างน้อย ๆ ไอ้เด็กคนนี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง!
หลังจากทานอาหารเสร็จซูอันก็สั่งให้เฉิงโซวผิงพาเขาไปที่สำนักจันทร์กระจ่างทันที เนื่องจากเป็นคำสั่งจากพ่อตาของเขา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติตามแต่โดยดี ในเวลาเดียวกันเขาก็วางแผนเอาไว้ในใจแล้วว่าหลังจากเข้าไปด้านในสักพักเขาจะหาโอกาสหลบออกมาเพื่อทำธุระของเขา
“หืม? ทำไมเราถึงออกจากพื้นที่ของตระกูล?”
“สำนักจันทร์กระจ่างตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองนายน้อย”
“อ้อ…” ซูอันรู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่าทำไมสถาบันส่วนตัวของตระกูลฉู่ ถึงตั้งอยู่ห่างไกลจากที่ดินของ
พวกเขาแบบนี้ด้วย?
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพบว่าตัวเองยืนอยู่ข้างหน้าสิ่งก่อสร้างที่งดงามหาที่ใดเปรียบ ซูอันก็ต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ซุ้มประตูทางเข้านั้นสูงตระหง่านและสง่างามและมีแผ่นโลหะที่มีคำว่า ‘สำนักจันทร์กระจ่าง’ แขวนอยู่ด้านบน อักษรทุกตัวที่สลักเอาไว้ดูราวกับว่ามันสร้างมาจากพลังชี่ ซึ่งให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามและอันตราย
เมื่อมองจากระยะไกล ๆ สถาบันแห่งนี้มีหอพักและอาคารต่าง ๆ มากมาย ทำให้เขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมันเลยว่าสถาบันแห่งนี้กว้างใหญ่มากขนาดไหน
อย่างไรก็ตามภาพนี้ทำให้เขานึกย้อนไปถึงสมัยที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อชีวิตที่แล้ว เพียงแต่ว่าสำนักจันทร์กระจ่างนี้ใหญ่โตกว่ามหาวิทยาลัยใด ๆ ที่เขารู้จักอย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นสถาบันเอกชนที่ใหญ่โตขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?” ซูอันถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“สถาบันเอกชน?” เฉิงโซวผิงสับสนกับคำพูดนั้น
“ก็สำนักจันทร์กระจ่างไม่ใช่สำนักที่สร้างโดยอ๋องฉู่ไม่ใช่รึไง?” ซูอันเริ่มตระหนักว่าเขาอาจเข้าใจผิดบางอย่างที่นี่
“นายน้อย ท่านอย่าพูดแบบนี้อีกเป็นอันขาดคำพูดเช่นนี้อาจนำหายนะมาสู่นายท่านได้!” ใบหน้าของเฉิงโซวผิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดพร้อมกับเขารีบดึงซูอันออกไปอย่างรวดเร็วเพื่ออธิบายให้ฟัง “สำนักจันทร์กระจ่าง อยู่ภายใต้การดูแลของผู้นำของเสนาบดีเจ้ากรมทั้งเก้า ‘ไท่ฉาง’ หรือพูดได้อีกอย่างก็คือสถานศึกษาที่เอาไว้ปลุกปั้นเลี้ยงดูเหล่าผู้คนที่มีความสามารถสำหรับราชสำนัก…”
ภายใต้คำอธิบายของเฉิงโซวผิงในที่สุดซูอันก็เข้าใจสถานการณ์นี้แล้ว ปรากฏว่าในโลกนี้ตั้งแต่สาม
ขุนนางใหญ่และเสนาบดีเจ้ากรมทั้งเก้าไปจนถึงครูธรรมดาและเจ้าหน้าที่ทางการทั้งหมด ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะ
เพื่อลดปัญหาการผูกขาดตำแหน่งใหญ่ ๆ โดยพวกลูกหลานของคนใหญ่คนโต จักรพรรดิจึงได้สั่งให้มีการสร้างสถานศึกษาทั่วประเทศ ส่งเสริมแนวคิดเรื่องการศึกษาโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ด้วยเหตุนี้พลเรือนทั่วไปที่มีความสามารถจึงได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในสถาบันได้เช่นกัน และนั่นเป็นโอกาสทำให้พวกเขาสามารถได้รับตำแหน่งต่าง ๆ ในราชสำนักได้ หากมีความสามารถมากพอโดย
ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเบื้องหลังว่ามาจากตระกูลชาวนาหรือคนธรรมดา
ทุกคนไม่ว่าจะเกิดในตระกูลสูงศักดิ์หรือเกิดในครอบครัวคนธรรมดา ก็ต้องเรียนในสำนักระดับ
เทศมณฑลเพื่อที่จะผ่านการคัดเลือกสามชั้น ได้แก่ การสอบสามัญ การสอบบัณฑิต และสุดท้ายการสอบ
วังหลวง
การสอบสามัญครั้งแรกจะจัดขึ้นในสำนักระดับเทศมณฑลที่ตั้งอยู่ในเมืองขนาดใหญ่ เช่น สำนัก
จันทร์กระจ่าง
ผู้ที่ทำข้อสอบได้ยอดเยี่ยมจะถูกคัดเลือกและส่งไปยังศูนย์บริหารที่ถูกดูแลโดยเจ้ามณฑลเพื่อแข่งขันกับผู้มีความสามารถจากมณฑลอื่น ๆ ในเวลาเดียวกันผู้ที่ผ่านการสอบมาถึงระดับนี้ได้จะได้รับการยืนยันคุณสมบัติแล้วแน่นอนว่าสามารถเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการได้ แต่ตำแหน่งหน้าที่ยังถูกจำกัดให้อยู่ในตำแหน่งระดับต่ำอยู่
ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบบัณฑิต ที่นั่นพวกเขาจะแข่งขันกับผู้เป็นเลิศจากมณฑลต่าง ๆ เพื่อชิงตำแหน่ง ‘บัณฑิตหลวง’
บรรดาผู้ที่ได้เป็นบัณฑิตหลวงก็จะเข้าร่วมการสอบวังหลวงซึ่งจักรพรรดิรับหน้าที่ดูแลการสอบนี้
ด้วยตนเอง หากมีใครทำได้ดีที่นั่น อนาคตของคนผู้นั้นจะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งระดับสูงในราชสำนักอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่านี่เป็นเส้นทางที่บุคคลที่มีความสามารถมากที่สุดเลือกเดิน ส่วนเส้นทางของคนส่วนใหญ่
ที่เหลือที่ถูกคัดออกตั้งแต่การสอบสามัญจะเปลี่ยนไปเลือกที่จะหาความรู้มากขึ้นเพื่อเข้าร่วมการสอบในปีหน้าหรือเลือกตำแหน่งทางวิชาการแทน
เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทางการทั้งหมดเป็นผู้บ่มเพาะดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับ
การสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองไม่สนใจพวกงานเอกสารหรือการบริหารระบบราชการที่ยุ่งยาก
สักเท่าไหร่ ดังนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการแทบทั้งหมดจึงเลือกที่จะจ้างพวกที่ปรึกษาทางวิชาการเพื่อช่วยงานพวกเขา
ที่ปรึกษาทางวิชาการเหล่านี้คือพวกที่ล้มเหลวจากการสอบสามัญหรือไม่มีพรสวรรค์ในด้านการ
บ่มเพาะ พวกเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางเลือกศึกษาในศาสตร์ต่าง ๆ เช่น การเงิน กฎหมาย การค้าขาย และอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการบ่มเพาะ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเจตนาของฉู่จงเทียนที่ให้ซูอันเข้าร่วมสำนักจันทร์กระจ่าง
คือต้องการให้ซูอันเดินไปตามเส้นทางบัณฑิตทั่วไปแทน
“นายน้อย ท่านเลิกทำหน้างุนงงแล้วเข้าไปได้แล้ว!”เฉิงโซวผิงเอ่ยกระตุ้น “ข้าจะรอท่านที่ทางเข้าจนกว่าท่านจะออกมาตอนเย็น”
ซูอัน “…”
บัดซบเอ๊ย! เมื่อชีวิตที่แล้วกว่าจะเรียนจบข้าก็แทบตาย พอมาถึงโลกนี้ ข้ายังต้องกลับมาเรียนอีกรอบงั้นเหรอเนี่ย!?
นี่สวรรค์ส่งให้ข้ามาตกอยู่ในขุมนรกชัด ๆ!