ตอนที่ 88 ชั่วช้า!
เสียงที่ดังขึ้นนั้นเป็นเสียงที่น่ารำคาญ แล้วก็น่ารังเกียจมากในความรู้สึกของเย่ชิงเฉิง และเสียงนั้นก็สามารถดึงเธอให้หลุดจากห้วงความคิด กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ในทันที!
เย่ชิงเฉิงรีบหันมองออกไปนอกกระจกรถอย่างรวดเร็ว และเธอก็พบเห็นใบหน้า และรอยยิ้มที่เธอแสนจะเกลียดชัง จะเป็นใครไปได้อีกเล่า ถ้าไม่ใช่หลินหนาน?
ผู้ชายคนนี้มีเหงื่อท่วมตัว พูดไปก็หัวเราะไป ทำให้คนที่พบเห็นอยู่รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก!
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เย่ชิงเฉิงเปิดกระจกรถลง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย
“ผมก็วิ่งมาน่ะ! คุณไม่เห็นหรือยังไงว่าตัวผมมีแต่เหงื่อ?”
หลินหนานโกหก และเพื่อให้ดูสมจริง เขาก็ได้ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตามใบหน้าให้เห็นด้วย แม้เย่ชิงเฉิงจะรู้สึกรังเกียจผู้ชายคนนี้มากเพียงใด แต่ใบหน้างดงามนั้นก็ยังคงเย็นชาราวกับน้ำแข็งเช่นเคย
“นี่นายวิ่งมาถึงที่นี่เชียวเหรอ?”
เย่ชิงเฉิงถามกลับไปทันที และแน่นอนว่าเธอไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของหลินหนานนัก เพราะที่นี่อยู่ห่างจากบ้านตระกูลเย่เกือบสิบกิโลเมตร
“นี่คุณไม่เชื่อผมล่ะสิ! คุณลืมไปแล้วหรือยังไง ผมวิ่งออกมาจากบ้านคุณตั้งแต่เมื่อคืน..” หลินหนานขยิบตาให้..
เย่จิงเฉิงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มวิ่งออกมาจากบ้านของเธอจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาพบเขาเข้าที่นี่
“แล้วนี่นายอยากจะทำงานที่บริษัทของฉันต่อ หรือไม่อยากทำกันแน่?” เย่ชิงเฉิงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“คุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าทำไมผมถึงต้องไปทำงานที่นั่น เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองคิดหาวิธีไล่ผมออกให้เสียเวลา ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่..?” หลินหนาเอ่ยตอบ พร้อมกับย้อนถามกลับไป
เย่ชิงเฉิงไม่ตอบ แต่กลับจ้องมองหลินหนานอยู่เช่นนั้น เธอลังเลคล้ายจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจนิ่งเงียบ
เพราะเวลานี้ จิตใจของเธอกำลังคิดถึงแต่เรื่องของคนผู้นั้นอยู่!
อีกอย่าง.. ทุกครั้งที่เห็นหน้าหลินหนาน มักจะทำให้เธอคิดถึงแต่คำว่า ‘สามีในนาม’ แล้วหลังจากนั้นเธอก็จะต้องทั้งโกรธ และรังเกียจเขาจนแทบเป็นบ้า!
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอไม่อาจยอมรับได้จริงๆ และเป็นเรื่องที่คอยกวนจิตใจของเธออยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ความรู้สึกของเธอที่มีต่อหลินหนานจึงไม่เคยเปลี่ยนไป!
“ฉันไม่จำเป็นต้องรายงานนาย แล้วนายก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน ยุ่งเรื่องของตัวเองก็พอ..”
หลังจากพูดจบ เย่ชิงเฉิงก็เหยียบคันเร่ง แล้วรถเฟอรารี่หรูก็พุ่งทะยานออกไปทันที..
“เกรี้ยวกราดไม่เท่าไหร่แฮะ.. ดูท่าทุกอย่างคงจะเป็นไปด้วยดี!” หลินหนานพึมพำพร้อมกับยิ้มออกมา
หลังจากนั้น หลินหนานก็หันมองไปรอบตัว และเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย เขาจึงรีบวิ่งตามรถเฟอรารี่หรูไป พร้อมกับร้องตะโกนว่า
“ภรรยา.. ให้ผมติดรถกลับไปด้วยคนสิ! ที่นี่ไม่มีรถวิ่งผ่านเลย..”
……
“เฮ้อ!! ผู้เฒ่าถังนะผู้เฒ่าถัง.. ตอนอยากให้มาก็ส่งรถไปรับฉันอย่างยิ่งใหญ่ แต่ตอนกลับ ดันให้ฉันเดินกลับเองอย่างน่าสมเพชนี่นะ!!” หลินหนานเดินบ่นไปตลอดทาง
ตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว ลมเย็นที่พัดผ่านก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายนัก หลินหนานเดินมาจนกระทั่งถึงสะพานลอยแห่งหนึ่ง
สะพานลอยนี้มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาไม่มากนัก และทางขึ้นก็มีผู้ชายสวมแว่นตาสีดำนั่งร้องเพลงอยู่ ด้านหน้าของเขามีชามกระเบื้องบิ่นๆวางอยู่ ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นขอทาน..
หลินหนานโยนธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนลงไปในชามกระเบื้องที่วางอยู่ด้านหน้าของชายตาบอด ส่วนตัวเขาก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนราวจับของสะพานลอย พร้อมกับจ้องมองเมืองเจียงไฮวในยามค่ำคืนอยู่เงียบๆ
บ้านทุกบ้านเปิดไฟสว่างไสว การจราจรยังคงหนาแน่น ผู้คนยังคงเดินพลุกพล่าน เมืองนี้เป็นเมืองที่งดงาม และน่าอยู่เมืองหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่สมาชิกหน่วยมังกรซ่อนกายคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้เห็น..
การต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังนั้น นับเป็นความโหดร้ายมากอย่างหนึ่ง!
แต่หลินหนานก็ต้องอยู่ให้ได้ และจะต้องมีชีวิตที่ดีด้วย!
เขาต้องสืบหาคนร้ายตัวจริงให้ได้ และต้องสืบให้รู้ว่า ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของหน่วยมังกรซ่อนกาย และเขาจะต้องล้างแค้นพวกมันให้กับพี่น้องในทีม!
แต่ในระหว่างที่หลินหนานกำลังนั่งหลับตาดูลมหายใจอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ และด้วยสัญชาติญาณ หลินหนานจึงหันมองไปทางคนสี่คน ที่กำลังเดินตรงเข้ามาที่สะพานลอย
คนที่เดินนำหน้ามานั้นตัวสูงที่สุด และมีผมยาวประบ่า สวมเสื้อหนังสีดำ และแว่นตากันแดด มือข้างหนึ่งโอบเอวหญิงสาวร่างเล็กไว้ หญิงสาวคนนี้แม้จะไม่สูงนัก แต่รูปร่างนับว่าดีใช้ได้ทีเดียว
ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างเย็น เธอกลับสวมเพียงแค่เสื้อยืดเกาะอกตัวจิ๋ว ที่เน้นให้เห็นหน้าอกใหญ่โต และเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบ
ภายใต้ผมยาวสีน้ำตาลทองนั้น คือใบหน้าสวยงามไร้ที่ติราวกับตุ๊กตา..
ด้านหลังของหญิงชายคู่นี้ ยังมีชายหนุ่มร่างกายกำยำสูงใหญ่ราวกับตึก ผิวพรรณของเขาค่อนข้างคล้ำ ใบหน้าดุร้าย สวมเสื้อสีขาวตัวโคล่ง และสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่พะรุงพะรังไว้ข้างตัว ซึ่งไม่รู้ว่าข้างในใส่อะไรไว้กันแน่
ส่วนคนสุดท้ายนั้นรูปร่างสูงปานกลาง สวมหมวกและผ้าปิดหน้าไว้ เผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตาหรี่เล็กทั้งสองข้างเท่านั้น
หากเปรียบเทียบรูปร่างกับคนอื่นๆ รูปร่างของชายหนุ่มคนสุดท้ายนับว่าธรรมดาที่สุด และหลินหนานสัมผัสได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้เดินกะเผลกด้วย
เดินกะเผลก.. แต่ไม่ได้เดินเหมือนคนขาพิการ มันดูเหมือนเป็นท่าทางการเดินเฉพาะตัวเสียมากกว่า และด้วยประสาทสัมผัสในการได้ยินที่คมชัดของหลินหนาน จึงทำให้เขาได้ยินเสียงเดินของชายหนุ่มคนนั้นอย่างชัดเจน
และในระหว่างที่หลินหนานกำลังจ้องมองชายคนที่สี่อยู่นั้น จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาหรี่เล็กคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวนั้นกระพริบ และรีบหลบสายตาในทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหนานเห็นคนที่สามารถยิ้มทางดวงตาได้ อีกทั้งดวงตาของชายหนุ่มผู้นั้นยังให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเล็กน้อย
“สี่คนนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่ ฉันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นคาวเลือด!” หลินหนานบอกกับตัวเอง

ดูจากลักษณะท่าทางของผู้ชายตัวสูงผมยาว หมอนี่น่าจะเชี่ยวชาญในการใช้ปืน ส่วนแม่สาวนั่นก็น่าจะเป็นนักฆ่า เพราะดูเหมือนจะระมัดระวังตัว และพร้อมที่จะจู่โจมตลอดได้เวลา

หลินหนานผ่านสนามต่อสู้นองเลือดมานับไม่ถ้วน และอย่างยาวนานจึงสามารถสัมผัสสัญชาติญาณการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนชายร่างสูงใหญ่เหมือนตึกนั้น คงจะแข็งแกร่งไม่ต่างจากรถถัง!
แต่คนที่หลินหนานคาดเดาได้ยากที่สุดก็คือชายหนุ่มคนสุดท้าย เพราะเขาดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปมาก แต่ละย่างก้าวค่อนข้างเชื่องช้า ราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน
และหากไม่ใช่เพราะดวงตาคู่นั้น และท่าทางการเดินที่แปลกประหลาด หลินหนานคงคิดว่า ชายหนุ่มคนนี้คงจะไม่ได้มาด้วยกันกับสามคนข้างหน้าเป็นแน่
หลินหนานหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ และยังคงอยู่ในท่าเดิม..
ในขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้มากเท่าใด หลินหนานก็ยิ่งได้กลิ่นคาวเลือดชัดขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าหลินหนานจะห่างหายจากสนามต่อสู้มานานถึงสามปี แต่จมูกของเขายังคงไวต่อกลิ่นคาวเลือดเช่นเคย
“ดูสิ! มีคนขอทานเล่นซออยู่ตรงนั้นด้วย!”
หญิงสาวร่างเล็กร้องตะโกนออกมา พร้อมกับวิ่งไปนั่งยองๆลงตรงหน้าชายตาบอด พร้อมกับยกมือขึ้นเท้าคางฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยไม่สนใจว่าตนเองสวมใส่กระโปรงเลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงหันไปทางชายหนุ่มร่างสูง พร้อมกับขยิบตาและบุ้ยปากส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย
ทั้งสี่คนในแก๊งจึงหยุดทันที ในขณะที่หลินหนานเองก็เลื่อนตัวลงจากราวบันได้ พร้อมกับเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ชายหนุ่มผมยาวเดินไปนั่งยองๆข้างหญิงสาวเช่นกัน หลังจากที่นั่งสังเกตชายตาบอดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ล้วงมือลงไปในชามกระเบื้องของชายตาบอด พร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ส่วนมือนั้นก็ค่อยๆ แอบหยิบธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนออกมาจากชามกระเบื้องของชายตาบอด
แต่ก่อนที่ชายผมยาวจะทันได้หยิบธนบัตรใบนั้นพ้นขอบชาม มือของเขาก็ถูกมือของใครบางคนคว้าข้อมือไว้แน่น
“นี่ถึงกับขโมยเงินคนตาบอดเลยเหรอ? ทำไมถึงได้ชั่วช้าขนาดนี้!”